ตอนที่ 121 ประธานจิ่งยังมีศีลธรรมอยู่ไหม
อันโหรววางถุงอาหารในมือของเธอแล้วเข้าไปกอดอันหน่วน ความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก โชคดีที่เธอเห็นประตูด้านหลังเข้าพอดี แต่ไม่รู้ว่าจิ่งเป่ยเฉินนั้นคิดอะไรอยู่จึงไม่ทันสังเกตเห็นตอนที่เธอออกมา
“พรุ่งนี้ก็นอนพักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะ!” เธอยังคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาที่ดีไม่ได้
มือเล็ก ๆ ของอันหน่วนผลักประตูห้องหนังสือออก ตะโกนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “พี่ชาย……”
“แม่จ๋า” อันหยางปิดคอมพิวเตอร์ตรงหน้า พลางกระโดดลงจากเก้าอี้ “แม่จ๋า วันนี้ทำงานเป็นยังไงบ้างครับ”
“ผ่านไปด้วยดีเลยจ้ะ” อันโหรวลูบผมของอันหยาง “เล่นกับหน่วนหน่วนไปก่อนนะ แม่ไปทำกับข้าวก่อน”
“ครับ” อันโหรวจึงเดินออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน หลินจื่อเซี๋ยวก็กลับมาจากข้างนอกพอดี เมื่อเห็นเด็กน้อยสองคนนั่งดื่มน้ำผลไม้อยู่บนโซฟา ดวงตาของเธอก็พลันสว่างขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นมาทาบอกด้วยความโล่งใจ โชคดีที่กลับกันมาอย่างปลอดภัย ไม่ถูกกินไปซะก่อน
“คุณป้าจื่อเซี๋ยวครับ ทำหน้าโล่งใจขนาดนั้นมีอะไรหรือเปล่าครับ?” อันหยางมองเธออย่างงงงวย
“เปล่าจ้ะ ๆ พวกหนูเล่นกันไปก่อนนะ” หลินจื่อเซี๋ยวรีบวิ่งเข้าไปยังห้องครัว ยิ่งรู้สึกโล่งใจมากขึ้นเมื่อเห็นอันโหรวกำลังหั่นผักอยู่
“โหรวโหรว เธอหนีออกมาจากกรงเล็บของบิ๊กบอสได้ยังไงกัน?” เธอหยิบแตงกวาสดที่ฝานแล้วเข้าปากด้วยสีหน้าท่าทางอยากรู้อยากเห็น
“ล้างมือให้สะอาดก่อน!” อันโหรวเหลือบไปมองเธอก่อนจะหั่นผักต่อ
“เธอรีบบอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ อยากรู้จะแย่อยู่แล้ว!” เธอที่อยู่ในบริษัทจิ่ง กว่าจะรู้ว่าอันโหรวออกไปกับจิ่งเป่ยเฉิน พวกเขาก็ออกไปได้ครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว
“บิ๊กบอสก็มีมุมใจดีด้วยนะ ยิ่งกว่านั้นไม่จับตาดูฉันตลอดด้วย” ไม่อย่างนั้นฉันก็คงหนีออกมาไม่ได้ง่าย ๆ แบบนี้หรอก
“แบบนี้ก็ดี!” หลินจื่อเซี๋ยวเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างมือ แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
หลังอาหารเย็น อันโหรวก็ให้เด็กน้อยทั้งสองไปอาบน้ำและดูพวกเขาหลับ จากนั้นเธอจึงไปอาบน้ำ เปลี่ยนเป็นชุดนอนและเอนนอนลงบนเตียงอย่างสบาย
ในที่สุดก็หลับได้อย่างเต็มอิ่มสักที!
ในขณะที่เคลิ้มหลับอยู่นั้นเธอก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธองัวเงียหันมองไปรอบ ๆ ด้วยความรำคาญเล็กน้อย ก่อนซุกตัวใต้ผ้าห่มอีกครั้ง
แต่เหมือนว่าเสียงโทรศัพท์จะเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“อ๊าก…” เธอลุกขึ้นมาจากที่นอน ก่อนจะยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์ที่อยู่บนหัวนอน
เธอจับพลัดจับผลูใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์กดรับอย่างเย็นเยือก ก่อนจะเอาโทรศัพท์มาแนบหู
“ฮัลโหล?”
“อันอีหาน!เธอสะดวกออกมาสักแป๊บได้ไหม?” ฉีเซิงเทียนเอ่ยขึ้นพลางมองไปที่จิ่งเป่ยเฉินที่นั่งสงบนิ่งอยู่ข้าง ๆ “จิ่งเป่ยเฉินเขาเมาอยู่ ฉันไม่รู้จะทำยังไง”
เธอรู้ว่าจิ่งเป่ยเฉินต้องมีเล่ห์เหลี่ยมแน่ ๆ เขาดื่มจนเมาแบบนี้ หากฉีเซิงเทียนเองยังไม่รู้ว่าจะจัดการยังไง เธอก็หมดปัญญา
ส่วนเรื่องจิ่งเป่ยเฉินดื่มจนเมานั้น เธอขออยู่ห่าง ๆ ดีกว่า
“ฉันนอนแล้ว ไม่สะดวกหรอกค่ะ” เธอพูดจบก็วางสายและปิดโทรศัพท์ด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
โทรศัพท์ถูกโยนไปที่หัวเตียง ก่อนเธอจะล้มตัวลงนอนต่อ
เพียงไม่กี่นาทีที่เธอล้มตัวลงนอน ประตูห้องก็ถูกเปิดออก หลินจื่อเซี๋ยวผลักออกมาจากด้านนอก
เธอลุกขึ้นอย่างอารมณ์เสีย เมื่อเห็นหลินจื่อเซี๋ยวชี้ไปที่โทรศัพท์ที่โทรเข้ามา พลางเอ่ยถามเธออย่างตื่นตระหนก “อี อีหาน โทรศัพท์เธออยู่ไหน”
“ผู้จัดการฉี” เธอมองหน้าคนพูด แทบอยากจะปิดโทรศัพท์ของหลินจื่อเซี๋ยวเช่นกัน
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกดรับโทรศัพท์ “ผู้จัดการฉีคะ ประธานจิ่งอยู่กับคุณน่าจะทำคุณลำบาก คุณช่วยบอกเขาทีว่าพรุ่งนี้ฉันจะชงชาแก้เมาค้างให้ คืนนี้ให้เขาสนุกไปก่อนนะคะ”
“เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งวาง!” ฉีเซิงเทียนกุมขมับด้วยมือหนึ่งข้าง เป็นผู้จัดการก็ยากอยู่แล้ว แต่เป็นผู้จัดการของจิ่งเป่ยเฉินนั้นยากยิ่งกว่า
ไม่คิดเลยว่าจะต้องช่วยเขาลงอ่าง ยิ่งเป็นหญิงที่มีลูกและแต่งงานแล้วด้วย หนำซ้ำยังดูแก่และน่าเกลียดอีกต่างหาก ประธานจิ่งนี่คุณยังมีศีลธรรมอยู่ไหม?
“ผู้จัดการฉียังมีเรื่องอะไรอีกไหมคะ?“ เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย เสียงแหบแห้งของเธอทำเอาคนที่ได้ยินถึงกับแสบหู
หากเธอออกไปก็ต้องแต่งหน้าใหม่อีกครั้ง ทำวนไปวนมาแบบนี้มันเกินไปแล้ว เธอไม่ยอมไปอย่างแน่นอน
“คุณมาเถอะ! แล้วจะเลื่อนตำแหน่งและขึ้นเงินเดือนให้!” ฉีเซิงเทียนพูดจบก็เหลือบไปมองจิ่งเป่ยเฉินที่ถือแก้วไวน์แต่ไม่ได้ดื่มสักแก้วด้วยสีหน้าอย่างช่วยไม่ได้
ทางเดียวที่เขาคิดออกก็คือทางนี้แหละ!
……………….
ตอนที่ 122 เห็นแฟนดีกว่าเพื่อน
“ฉันเพิ่งจะทำงานที่บริษัทได้ไม่นาน จะให้เลื่อนขั้นเร็วแบบนั้นมันไม่ดีต่อฉันเลยนะคะ ผู้จัดการฉีเก่งอยู่แล้ว แค่ประธานจิ่งเอง คุณจัดการได้อยู่แล้วค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะ” เธอกดวางสายหลังจากที่พูดจบและล็อกหน้าจอโทรศัพท์ทันที
หลินจื่อเซี๋ยวมองด้วยความสับสน มือข้างขวาที่รับโทรศัพท์กลับมาสั่นเล็กน้อย “โหรวโหรว ฉันเป็นเลขาของประธานจิ่ง โทรศัพท์มือถือต้องเปิดไว้ตลอดเพื่อรอคำสั่ง”
“ไม่เป็นไรหรอก เขาเมาแล้ว ไม่โทรศัพท์กลับมาหาเธอหรอก ไปนอนเถอะ! ราตรีสวัสดิ์!” เธอล้มตัวลงนอนอีกครั้งพลางพลิกตัวหันหลังให้เพื่อนรัก ก่อนจะหลับไป
ตอนเช้าก็ต้องรับมือกับบอส ตกกลางคืนก็ต้องเติมพลัง ไม่เช่นนั้นจะเบื่อกับการรับมือและความพ่ายแพ้ไม่ช้าก็เร็ว
หลินจื่อเซี๋ยวถอยออกจากห้องไปอย่างช้า ๆ พลางมองอันโหรวด้วยสายตาที่นับถือ
หลายปีที่ผ่านมานี้มีแค่เธอเท่านั้นที่กล้าเผชิญหน้ากับจิ่งเป่ยเฉินแบบนี้
เธออยากจะรู้จริง ๆ หากจิ่งเป่ยเฉินรู้เรื่องนี้ เขาจะทำยังไง?
ที่นั่งชั้นพิเศษในโรงแรมนั่วเทียน ฉีเซิงเทียนถือโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายนิ่ง ก่อนจะมองไปยังจิ่งเป่ยเฉิ่น “ปิดเครื่องไปแล้ว!”
อันอีหานอวดดีเกินไปแล้ว จิ่งเป่ยเฉินยังสนใจเธออีก ทำขนาดนี้แล้วยังกล้าปฏิเสธกัน!
ถูกเซลล์สมองกัดกินไปหมดแล้วหรือยังไง?
“ดีมาก” จิ่งเป่ยเฉินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย เขาค่อย ๆ จิบไวน์แดงที่อยู่ในมือของเขาอย่างละเมียดละไม
น้อยคนนักที่กล้าทำแบบนี้ มีแค่ผู้หญิงคนนี้เท่านั้นที่กล้าได้ขนาดนี้!
อันอีหาน อันโหรว……
ดีมากงั้นเหรอ? เขาถูกปฏิเสธแต่กลับบอกว่าดีงั้นเหรอ? ฉีเซิงเทียนขมวดคิ้วและเริ่มงงขึ้นเรื่อยๆ
เขาอดไม่ได้ที่จะเดินก้าวเข้าไปหาจิ่งเป่ยเฉิน พลางเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของเขา ก่อนจะแตะไปที่หน้าผากของตัวเอง “ไม่มีไข้นี่นา!”
จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่เขาและวางแก้วไวน์ในมือลง “นายจะไปไหนก็ไป”
“ไปเลยเหรอ?” ฉีเซิงเทียนเบิกดวงตากว้างมองเขา “ล้อกันเล่นหรือเปล่า แค่ผู้หญิงคนนั้นไม่มา นายก็ไม่ดื่มเป็นเพื่อนฉันเลยงั้นเหรอ!”
“ฉันช่วยเรียกหมินลี่ให้”
ฉีเซิงเทียนมองจิ่งเป่ยเฉินเดินจากไป ก่อนจะบ่นพึมพำเบา ๆ “เห็นแฟนดีกว่าเพื่อน!”
วันต่อมา ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศก็ดี อารมณ์ก็ดี
แต่หลินจื่อเซี๋ยวที่ขับรถอยู่นั้นมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเมื่อรู้ว่ากำลังไปยังลานประหาร เธอเก็บความหวังดีของอันโหรวไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
“หลินจื่อเซี๋ยวสดใสหน่อย เชื่อฉันสิ จิ่งเป่ยเฉินเขาเมา จำอะไรไม่ได้หรอก โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาก็เป็นฉีเซิงเทียน ไม่ใช่จิ่งเป่ยเฉินสักหน่อย ไม่เป็นไรหรอก” อันโหรวใช้สายตาปลอบเธอ พลางตบไปที่ไหล่ของเธอเพื่อให้เธอผ่อนคลาย
“โหรวโหรว เธอพูดได้ดีนี่ เธอไม่ต้องอยู่ชั้นสิบห้าแบบฉันนี่นา” เธอรวบรวมจิตวิญญาณความฮึกเหิมทั้งหมด หากเธอเสียสละได้ต่อจากนี้คงต้องให้อันโหรวดูแลเธอแทนในอนาคต
“ก็จริงของเธอ” พอนึกถึงตรงนี้อันโหรวก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย
“เธออย่าทำแบบนี้ ฉันกลัวนะ” หลินจื่อเซี๋ยวมองด้วยใบหน้าที่หมดคำพูด แต่เมื่อคืนเธอก็ดูหลับสบายดี แต่ทำไมตอนนี้กลับเปลี่ยนไป
“เอาแบบนี้ ฉันจะไปสำรวจก่อน เธอไปที่ห้องของเธอ” เมื่อคืนเธอพูดว่าจะเอาชาแก้เมาค้างไปให้เขา หากฉีเซิงเทียนพูดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ค่อยเอาให้จิ่งเป่ยเฉิน ยิ่งเธอไม่ได้ไป นั่นแหละได้จบชีวิตแน่ ๆ
“มันไม่ดูเสี่ยงไปหน่อยเหรอ?” ภายในใจของเธอตกอยู่ในความยุ่งเหยิงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอไม่สามารถปล่อยให้อันโหรวเสี่ยงอันตรายได้
“ฉันไม่เป็นอะไร จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน” อยู่ในบริษัทกลางวันแสก ๆ แบบนี้ จิ่งเป่ยเฉินจะทำอะไรได้
เมื่อถึงชั้นที่สิบห้า เธอก็เดินมุ่งหน้าไปยังประตูห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉินอย่างใจเย็น เคาะประตูหนึ่งครั้งแต่กลับไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมา
ดวงตาของเธอเบิกกว้าง แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เตรียมชาที่ชงไว้ให้เขา แล้วฉวยโอกาสตอนที่เขายังไม่มารีบออกไป แบบนี้จะได้ไม่เป็นขี้ปากคนด้วย
เมื่อคิดถึงข้อนี้ เธอจึงรีบผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานของเขา และรีบหยิบถ้วยน้ำชาและชาที่เธอเตรียมมาด้วยความรวดเร็ว ในขณะที่รอน้ำเดือดอยู่นั้น เธอมองไปรอบ ๆ ห้องทำงานอย่างเบื่อหน่าย แต่เธอก็ต้องประหลาดใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า บนเก้าอี้หนังมีเสื้อสูทสีดำวางอยู่
จิ่งเป่ยเฉินมาแล้วเหรอ?
เมื่อน้ำชาเดือด ไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เสียงน้ำที่เดือดดังขึ้นราวกับคำสาปแช่งภายในใจ ดวงเธอตาหรี่ลงเล็กน้อย หรือว่าเมื่อคืนเขาเมาแล้วกลับมานอนที่ห้องทำงาน?
เธอค่อย ๆ วางถ้วยชาลงบนโต๊ะทำงานอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินไปด้านข้างโต๊ะและหยิบเสื้อสูทสีดำของจิ่งเป่ยเฉินขึ้นมาดม ได้กลิ่นไวน์จริง ๆ ด้วย
ผู้ชายคนนี้เป็นบ้าอะไรกัน ดื่มจนเมาแล้วไม่กลับบ้าน มาที่บริษัททำไมกัน?