ตอนที่ 129 ดูท่าสิ่งดี ๆ ใกล้จะมาแล้ว
เหลียวเว่ยสวมชุดรัดรูปสีดำเปิดไหล่ ดูแล้วเซ็กซี่ไม่เบา ใบหน้าที่สวยงามถูกเติมแต่งด้วยเครื่องสำอางที่ละเอียดอ่อนชั้นดี เธอเดินควงแขนมากับโอวหยางลี่ ก่อนจะจ้องมาที่พวกเขา ริมฝีปากที่ถูกทาด้วยลิปสติกสีแดงเพลิง มองดูแล้วสวยงามมากจริง ๆ “ประธานจิ่ง คุณอัน บังเอิญอะไรแบบนี้!”
“คุณโอวหยาง คุณนายโอวหยางนี่เอง บังเอิญจริง ๆ!” อันโหรวคิดได้ว่าจิ่งเป่ยเฉินนั้นมีปัญหาเรื่องจดจำใบหน้า เธอจึงเอ่ยเรียกพวกเขาไปเสียก่อน
โอวหยางลี่จ้องมองไปยังอันโหรว แสงไฟสลัว ๆ จากโรงแรมสาดส่องมาที่ตัวเธอ ใบหน้าซีดเซียวที่เดิมทีดูน่าเกลียด แต่ทว่าตอนนี้กลับเผยถึงความสวยงามอย่างอ่อนโยน โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น มันเหมือนกับว่า…..
“ประธานจิ่งกับคุณอันดูแล้วเหมือนจะสนิทกันมาก ทั้งยังใส่ชุดคู่เหมือนกันอีก ดูท่าสิ่งดี ๆ ใกล้จะมาแล้วสินะคะ” เหลียวเว่ยมองพวกเขาทั้งสองคน พลางเผยรอยยิ้มที่สวยงามออกมา
คำพูดที่เอ่ยออกมาทำให้อันโหรวอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังจิ่งเป่ยเฉิน แต่ว่าตรงกันข้าม จิ่งเป่ยเฉินกลับรู้สึกชอบใจค่อนข้างมาก โดยเฉพาะคำพูดที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่
บอสใหญ่มีความสุข ก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบมองไปที่พวกเขาทั้งสองอีกครั้ง “นับว่าเป็นเรื่องดีที่จะเชิญคุณทั้งสองคนเข้าร่วมงาน”
“พวกเราต้องมาอยู่แล้ว” โอวหยางลี่รีบตอบกลับโดยทันที
เขาไม่มีอะไรจะพูด จิ่งเป่ยเฉินกับอันโหรวจึงหันหลังกลับ ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงแรมฮวาเหม่ย และทันทีที่ก้าวเข้ามาถึง บริกรต่างก็เดินมาให้การต้อนรับพวกเขาในทันที
อันโหรวเหลือบมองไปด้านข้าง ก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้ม พร้อมยิงฟันราวกับโกรธเคือง “ดูท่าเรื่องตลกพวกนี้ ประธานจิ่งหลังจากนี้คงไม่ต้องพูดแล้วละนะ”
อันที่จริงภายในใจเธอคือ จิ่งเป่ยเฉินเป็นเจ้าบ้า พูดจาไร้สาระอยู่ได้ หัดเงียบซะบ้าง
“ผมจริงจังนะ” จิ่งเป่ยเฉินตอบกลับอย่างไม่สนใจ
เธอกลืนน้ำลายลงคอ แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอได้ยิน นี่มันหมายความว่ายังไงกัน? จริงจังอะไร ความหมายก็คงมีแค่อย่างเดียว!
“ฉันเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วนะคะ”
“ผมไม่สน”
“แต่ฉันสน! สามีของฉันเองก็เช่นกัน!” เธอปล่อยแขนที่เกาะเขาออกทันที เพื่อแสดงจุดยืนที่มั่นคงของตัวเธอ
“พวกคุณจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ช่าง” จู่ ๆ เจ้าของแขนที่ว่างเปล่าก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที
ความไม่พอใจของหัวหน้าใหญ่ทำให้อันโหรวเข้าใจโดยทันที แต่ดูแล้วไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ไม่นานทั้งสองคนก็เข้ามาถึงงาน พนักงานเสิร์ฟยื่นโบรชัวร์ที่มีกรอบสวยงามและตัวอักษรคำว่า “ฮวาเหม่ย” ให้ หนึ่งคือเมนู ส่วนอีกอันหนึ่งคือรายการเปิดตัว
จิ่งเป่ยเฉินหยิบเมนูขึ้นมา ส่วนเธอก็หยิบอีกเล่มหนึ่งพลางมองมันอย่างจริงจังโดยไม่ลังเล
แม้ว่าคอลเลกชันก่อนหน้านี้จะมีค่ามากสำหรับการสะสม แต่ก็ไม่ใช่ของตระกูลอันแต่อย่างใด เมื่อพลิกไปจนถึงสามหน้าสุดท้ายก็พบว่าเป็นสิ่งของบางอย่างของตระกูลอัน เจ้าแม่กวนอิมหยกสีขาว หยกดอกบัวกบ ปี่เซียะหยกมันแพะ
ของทั้งสามอย่างนี้แม้ว่าจะไม่ใช่ของล้ำค่าที่สุดในบรรดาเครื่องภัณฑ์ของตระกูลอัน แต่ก็เป็นของที่พ่อของเธอชอบมากที่สุด
หรือว่าโอวหยางลี่จะมาที่นี่เพื่อสิ่งของเหล่านี้? ประมาณว่าคนส่วนใหญ่ต่างก็มาที่นี่เพื่อดูสิ่งนี้เช่นกัน
ระหว่างที่คิดอยู่นั้น จิ่งเป่ยเฉินก็ได้สั่งอาหารมา ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มเล็กขึ้นมาพลิกอ่านไปเรื่อย ๆ พลางเอ่ยถามอย่างส่งเดชไปว่า “มีอันไหนที่ชอบบ้าง”
“ไม่มีค่ะ”
“จริงเหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินเหลือบสายตามองไปยังภาพหยกเจ้าแม่กวนอิมและพูดว่า “คุณยกป้าย ผมจ่ายเงิน”
“ประธานจิ่งไม่กลัวว่าฉันจะยกป้ายตามอำเภอใจเหรอคะ?” เธอถามด้วยรอยยิ้ม
“ก็แล้วแต่เลย ตามที่คุณสบายใจ” เขาปิดหนังสือเล่มเล็ก ๆ ตรงหน้าลง ก่อนจะมันวางไว้เฉย ๆ
การประมูลยังไม่เริ่มต้น แต่อาหารกำลังถูกลำเลียงออกมาส่งอยู่ตลอด เธอกำลังเริ่มกินอย่างมีความสุข โดยไม่ได้คิดจะยกป้ายประมูลแต่อย่างใด
นอกจากสิ่งเหล่านั้น ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้สนใจ
ส่วนจิ่งเป่ยเฉินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ไม่ได้สนใจที่จะยกป้ายประมูลเช่นกัน อาหารหรูหราที่เต็มไปด้วยรูปลักษณ์สวยงามของคุณชายผู้สูงศักดิ์
กระทั่งมาถึงจุดสิ้นสุดของการประมูลโดยไม่รู้ตัว และจุดสูงสุดของการประมูลนี้ได้ทำให้ผู้คนต่างเริ่มมีชีวิตชีวาและตื่นเต้นมากขึ้น
อันโหรวดึงกระดาษมาเช็ดมือและเช็ดไปที่ริมฝีปากของเธออย่างช้า ๆ เมื่อได้ยินเสียงของการ์ดดังขึ้นมาจากด้านล่างอย่างต่อเนื่อง จิตใจของเธอเริ่มที่จะปั่นป่วน
“ยกได้ก็ยก ซื้อได้ก็ซื้อ” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยขึ้น เขาหวังจะให้เธอยกป้ายสีขาวที่อยู่ตรงหน้านั้นขึ้น
……………..
ตอนที่ 130 ความสัมพันธ์ก่อนหน้านั้นกับคุณหนูอันเกี่ยวข้องกันยังไง
เธอละสายตาไปมองป้ายตรงหน้า พลางกำทิชชูในมือแน่น คิดอยากจะยกป้ายประมูล แต่ที่จิ่งเป่ยเฉินพูดนั้น… เธอถูกจับได้ยังงั้นเหรอ?
ก่อนที่จะถูกจับได้เหมือนครั้งที่แล้ว เธอคงไม่อาจจะปฏิเสธทั้งหมดได้ จึงได้แต่กัดฟันยอมรับ ถ้าหากถูกจับได้อีกครั้งละก็ เธอคงหนีไม่พ้นจริง ๆ แน่!
“ฉันซื้อมันไม่ได้หรอกค่ะ!” อันโหรวคืนป้ายสีขาวให้กับจิ่งเป่ยเฉิน
จิ่งเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมองบริกรที่ยืนอยู่ด้านข้างและพูดขึ้นว่า “ฉันขี้เกียจยก นายมานี่ที”
“ครับ คุณชายจิ่ง” บริกรเดินไปที่หน้าต่างพลางยกป้ายขึ้น
ตราบใดที่มีคนยกราคาขึ้น จิ่งเป่ยเฉินก็จะยกมันต่อไป
ในไม่ช้าเมื่อสองคนแรกได้ยกป้ายขึ้น จิ่งเป่ยเฉินก็ยกขึ้นเป็นคนสุดท้าย พวกเขาเริ่มที่จะดุเดือดมากขึ้น ก่อนจะมองไปที่กล่องที่มีบริการเพียงคนเดียว อยากรู้ว่าด้านบนมีใครอยู่บ้าง?
เมื่อครู่ฝ่ายตรงข้ามของเขามีแค่จิ่งเป่ยเฉิน เขาเค้นเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา ก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ “นอกจากจิ่งเป่ยเฉินแล้วยังมีใครอีก”
เหลียวเว่ยที่อยู่ตรงข้ามเขาเหลือบมองไปที่บริกรด้วยสีหน้างงงวย “มันไม่น่าเป็นไปได้สิ! ในปีนั้นที่ตรวจสอบจิ่งเป่ยเฉินก็ไม่ได้ไปที่นั่นไม่ใช่เหรอ? ที่นั่นมีตั้งยี่สิบคนที่คอยคุ้มกันตระกูลอัน ไม่มีใครลงมือ แล้วทำไมสิ่งของของตระกูลอันถึงได้ตกขายทอดอยู่ในตลาดแบบนี้?”
“อาจจะเป็นเพราะจิ่งเป่ยเฉินหยิบมันออกมาเองก็ได้” นิ้วของเขาคลำไปที่แก้วไวน์ ดวงตาที่ลุ่มลึกกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง
หรือว่าอันอีหานคนนั้นจะทำให้เขารู้สึกคล้ายกับโหรวโหรว?
“จิ่งเป่ยเฉินคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้เอาของตัวเองมาขายแบบนี้ แล้วยังมาซื้อเองอีก คงไม่ใช่มาปั่นราคาหรอกนะ”เหลียวเว่ยมองไปยังบริกรที่ถือป้ายอยู่อีกด้านอย่างไม่พอใจ ก่อนจะจ้องไปที่จิ่งเป่ยเฉินที่คิดอยากจะเอาของคืน แล้วเขาจะเอาของมาวางขายทำไมกัน
แต่ทันใดนั้นเองเธอก็ได้ยกป้ายยื่นไปให้บริกรที่อยู่ข้าง ๆ “ไปช่วยฉันที!”
โอวหยางลี่หรี่ตามองไปที่เธอ “เธอสนใจยังงั้นเหรอ?”
“จิ่งเป่ยเฉิน ไม่ใช่ว่าแย่งสกุลเห่อจากคุณไปหรือไง? ไม่ว่าเขาจะได้สกุลเห่อหรือไม่ก็ตาม แต่ในเมื่อหายใจอยู่บนเส้นทางเดียวกันแล้ว พวกเราก็ควรลงมือ” เหลียวเว่ยยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบก่อนจะสัมผัสด้วยนิ้ววนไปมาและพูดขึ้นว่า “หรือว่าคุณยังโกรธเรื่องของเหอเหมียวเมื่อตอนนั้นอีกกัน? คุณคงชอบเธอมากเลยสินะ!?”
หรือว่าคำพูดที่เหอเหมียวกล่าวมาจะเป็นจริง โอวหยางลี่ชื่นชอบหญิงแก่ที่น่าเกลียดคนนั้น
แม้จะรับรู้ว่าเขานั้นชอบอันโหรวมากแค่ไหน ซึ่งตัวเธอนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่ถ้าหากเป็นหญิงแก่อย่างอันอีหานคนนั้นละก็ ตัวเธอคงรู้สึกอับอายมากแน่ ๆ
“เธอคิดมากไปแล้ว” โอวหยางลี่เหลือบมองเธอเล็กน้อย เหอเหมียวสำหรับตัวเขานั้นเป็นแค่ของเล่นริมทางเท่านั้น
แต่เดิมเธอเคยทำตัวดีมาก แต่ทว่าตอนนี้กลับไม่เคยคิดจะฟังคำสั่ง ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ชอบผู้หญิงสไตล์แบบนี้ด้วย
อันโหรวมองไปยังฝั่งตรงข้ามที่ยกป้ายขึ้น ในใจเธออดไม่ได้จึงต้องเอ่ยปากว่า “ประธานจิ่งจะประมูลให้ถึงที่สุดเลยหรือเปล่าคะ?”
“แต่เดิมตามนิสัยของฉันไม่ใช่พวกที่ชอบยอมแพ้กลางคันด้วยสิ” จิ่งเป่ยเฉินเผยอริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาสีดำของเขาจะจ้องมองเธอและพูดขึ้นว่า “ฉันคิดว่าเธอน่าจะรู้จักฉันดีนะ”
“ประธานจิ่งเป็นพวกชอบเอาแต่ใจ ทำตามใจตัวเองไปเรื่อยนี่คะ?” เธอตอบด้วยรอยยิ้ม
“นี่ไม่ถูกนับด้วยสิ” จิ่งเป่ยเฉินหันหน้าไปเหลือบมองฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย ราวกับว่าเขาจะไม่ยกป้ายอีกต่อไป
จิ่งเป่ยเฉินหยิบกระเป๋าเงินสีดำของเขาออกมา เขายื่นการ์ดสีดำไปให้บริกรที่อยู่ด้านข้าง เมื่อหยิบบัตรออกมาแล้วเขาจึงลุกขึ้น
“ไปกันเถอะ! ไปรับของรางวัลของคุณกัน” จิ่งเป่ยเฉินพูดพร้อมกับลุกขึ้น ก่อนจะเดินนำหน้าออกไปก่อน
ของรางวัลอะไร? เธอไม่เคยเอ่ยปากขอสิ่งของเหล่านั้นซะหน่อย
“ประธานจิ่ง นั่นคือของรางวัลของคุณสินะ” เธอเอ่ยเตือนเขาอยู่ด้านหลัง
“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”
อะไรคือเหมือนกัน ใครจะเหมือนกับนายกัน เจ้าบ้า คิดแต่จะเอารัดเอาเปรียบกัน
ทั้งสองคนหันหน้าและเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีสายตาของโอวหยางลี่และเหลียวเว่ยเฝ้ามองดูพวกเขาอยู่ ถนนหนทางที่มีศัตรูนี่มันช่างคับแคบเสียเหลือเกิน!
“ประธานจิ่งช่างปฏิบัติกับคุณอันดีเหลือเกิน ดูแล้วออกหน้าออกตาให้แบบนี้ เกรงว่าคุณอันคนนั้นคงเป็นอาหารโอชะชั้นเลิศ!” เหลียวเว่ยเกาะไปที่แขนของโอวหยางลี่พร้อมกับหัวเราะยิ้มเยาะ
“ฉันว่าการแสดงออกมันก็ดูไม่เลว พอใช้ได้” เธอพูดจบก็หันกลับไป โดยไม่สนใจแม้แต่จิ่งเป่ยเฉินหรือคนอื่น ๆ เดินออกไปสามสี่ก้าว ก่อนที่จะเผยสีหน้าที่เย็นชาออกมา
“ถ้าหากฉันจำไม่ผิดละก็ คืนนี้ประธานจิ่งยกป้ายคู่กับคนแซ่อันด้วย ไม่รู้ว่าใช่คุณหนูอันหรือเปล่า หรือจะเป็นคุณหนูอันเมื่อตอนนั้น พวกเขาเกี่ยวข้องกันยังไงนะ?” เหลียวเว่ยเอ่ยด้วยเสียงที่ไม่ดังหรือเบาจนเกินไป ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาที่อยู่ไม่ไกลย่อมได้ยินอย่างชัดเจน