ตอนที่ 131 ประธานจิ่งจะไปส่งฉันที่บ้าน
ด้านข้างตัวของเหลียวเว่ย โอวหยางลี่ที่ไม่ได้คิดว่าเธอจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาอย่างกะทันหัน แม้ว่าทั้งคู่จะแซ่เดียวกันคือ แซ่อัน แต่ความแตกต่างระหว่างอันโหรวและอันอีหานที่อยู่ตรงหน้านี้ ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิด พวกเขาจะมาเหมือนกันได้ยังไง?
แต่อีกวิธีหนึ่ง ถ้าเกิดว่าพวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ทำไมจิ่งเป่ยเฉินถึงได้ยอมออกตัวขนาดนี้ ตามใจขนาดนี้?
“บางทีอาจจะเป็นเพราะหลายร้อยปีก่อนเป็นครอบครัวเดียวกันก็ได้…..” เสียงแหบแห้งของอันอีหานยังคงเหมือนเดิม หลังจากที่พูดเสร็จก็หันเดินตามจิ่งเป่ยเฉินไป
เหลียวเว่ยไม่ได้คิดจะได้รับประโยชน์ใด ๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าโอวหยางลี่ เธอก็ไม่ได้ทำหน้าเย็นชา พร้อมกับเกาะเขาเดินลงไปข้างล่างด้วยรอยยิ้ม
บริกรนำสินค้าประมูลมาให้พวกเขา จิ่งเป่ยเฉินเอามือไพล่หลังก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างช้า ๆ เหลือไว้เพียงแผ่นหลังที่ไม่แยแสตัวเธอแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าไม่มีแผนที่จะช่วยเหลือด้วยซ้ำ
มันน่าเสียจริง ๆ! เห็นได้ชัดว่าเขาจ่าย แล้วทำไมถึงได้เปลี่ยนให้เธอเป็นแรงงานยกของไปซะได้?
อันโหรวห่อกล่องบรรจุอย่างประณีตทั้งสามกล่องที่ได้มาจากโรงแรมฮวาเหม่ย จิ่งเป่ยเฉินนั่งรออยู่ในรถแล้ว ประตูด้านหลังถูกเปิดออกเพื่อให้อันโหรวเก็บของ
เธอโค้งตัวเล็กน้อย ก่อนจะวางกล่องทั้งสามกล่องไว้ที่ข้าง ๆ เขาและพูดขึ้น “ประธานจิ่ง ฉันเก็บของให้คุณเสร็จแล้ว ฉันขอตัวนะคะ”
“กลับมา!” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
อันโหรวก้มหน้าต่ำลง อดทนต่อความโกรธที่จิ่งเป่ยเฉินแสดงออกมาแบบนี้ ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มไปว่า “ประธานจิ่งมีอะไรให้ทำอีกเหรอคะ?”
“ขึ้นรถ!”
“ไม่ ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันเรียกรถแท็กซี่กลับเองได้” เธอพูดจบก็ยืนตรง พลางก้าวเท้าเพื่อจะเดินออกไป
แต่ทว่าเมื่อหันหน้ากลับไปเล็กน้อยก็เห็นจิ่งเป่ยเฉินลงมาจากรถ ดวงตาสีดำที่มืดครึ้มจับจ้องมาที่ตัวเธอและพูดขึ้น “ขึ้นรถ”
น้ำเสียงฟังดูเบาหวิวและน่าเคลิบเคลิ้ม ฟังดูสบาย ๆ แต่เผยให้เห็นถึงความสง่างามในด้านของความเย็นชา นั่นทำให้เธอไม่กล้าสบตาและมองไปที่ใบหน้าของเขา ก่อนจะรีบขึ้นรถอย่างไม่อาจปฏิเสธ
ทันทีที่เธอขึ้นไปบนรถ ประตูรถก็ถูกปิดลงทันที จิ่งเป่ยเฉินนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอ โดยมีกล่องสามใบคั่นอยู่ ก่อนที่รถจะขับเคลื่อนไปยังอพาร์ตเมนต์ของหลินจื่อเซี๋ยว
หลังจากที่เงียบอยู่ในรถมาสักพัก จิ่งเป่ยเฉินก็ได้เอ่ยคำพูดข้าง ๆ หูของเธอว่า “ดูคุณประหม่าจังนะ”
บ้าบอสิ้นดี เรื่องหยางหยางเธอจะทำยังไงดี
ภายในรถนั้นมืดมาก โทรศัพท์ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเปิด เธอเหลือบมองเห็นแสงสว่างเพียงนิดเดียว ไม่กล้าที่จะแจ้งให้หลินจื่อเซี๋ยวรับทราบ เธอหดหู่ใจเป็นอย่างมาก คิดอยากจะลงจากรถซะตอนนี้เลย
“มันอาจจะร้อนไปหน่อย” เธอยกมือขึ้นตบแก้ม พลางคิดว่าควรทำยังไงดี
“เปิดแอร์เย็น ๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ” จิ่งเป่ยเฉินกล่าวอย่างใจเย็น
“หือ ประธานจิ่งคุณจะพูดอะไรกันแน่” เธอยิ้ม แต่ภายในใจนั้นคิดอยากจะบีบคอตัวเองเสียจริง ๆ
ทันใดนั้นเองโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
ก่อนที่เธอจะรับโทรศัพท์ก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่แผดเผากำลังจับจ้องมาที่เธอ อันโหรวหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างเงียบ ๆ พลันเห็นว่าเป็นสายจากหลินจื่อเซี๋ยว
เธอระงับความตื่นเต้นไว้ภายในใจ ก่อนจะกดรับโทรศัพท์อย่างปกติที่สุด เพราะตอนแรกเธอโทรไปหาหลินจื่อเซี๋ยว ซึ่งก็เหมือนกับการเรียกให้เธอโทรกลับมา จิ่งเป่ยเฉินก็ไม่อาจตำหนิเธอได้ที่แอบส่งข้อความเช่นนี้
“จื่อเซี๋ยว ฉันอยู่ระหว่างทางกำลังจะกลับ ประธานจิ่งจะไปส่งฉันที่บ้าน” เธอยิ้มและพูดขึ้น สายตาเหลือบมองไปยังจิ่งเป่ยเฉิน รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยิ่งชัดเจนมากขึ้น
“น่าจะถึงบ้านเร็ว ๆ นี้แหละ อืม กลับบ้านค่อยว่ากันนะ” เธอรีบพูดรีบวางสายหลินจื่อเซี๋ยวไป พลางเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า
ตอนนี้ก็เริ่มผ่อนคลายลงได้แล้ว หลินจื่อเซี๋ยวคงจะคิดหาทางพาหยางหยางออกไปแล้ว แต่เมื่อคิดถึงแผนที่ชั่วร้ายของจิ่งเป่ยเฉินที่จะไม่สำเร็จ เธอก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น
“ตอนนี้ไม่ร้อนแล้วสินะ?” ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นและตอบสนองก่อนจะเห็นว่าภายในบ้านของเธอนั้นเป็นยังไง
ถ้าหากเขาได้เจอหยางหยางละก็ คงทำให้เธอรับรู้ถึงความรู้สึกผิดที่คิดจะปิดบังหลบซ่อนจากเขา?
หึ อันโหรวชอบเล่นเกมแบบนี้ ดูเหมือนจะคิดว่าตัวเองชนะแล้วสินะ
อันโหรวไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่จิ่งเป่ยเฉินคิดอยู่ในใจ แต่ว่าเขานั้นไม่รู้ตัวเลยว่าเขาจะไม่ได้เห็นหยางหยาง ส่วนหน่วนหน่วน…..
ให้ตายสิ เธอเกือบจะลืมไปแล้วว่าตอนนั้นเขาพูดว่าย่าของเขาเป็นคนอังกฤษ เพราะงั้นหน่วนหน่วนเลยดูเหมือนคนชาติ
เรื่องใหญ่แบบนี้ถ้าหากพวกเขาได้พบหน้ากันด้วยการที่รู้จักกับเขามาถึงสิบปี มีหรือจะหลบซ่อนจากจิ่งเป่ยเฉินได้!
รถหยุดลงที่หน้าอพาร์ตเมนต์ เธอเปิดประตูและลงจากรถทันที “ถึงบ้านแล้ว แต่บ้านเราค่อนข้างที่จะรก ไม่รู้จะเชิญประธานจิ่งยังไง เพราะฉะนั้นราตรีสวัสดิ์ค่ะประธานจิ่ง!”
“ผมไม่ได้รังเกียจ” ประธานจิ่งเปิดประตูรถและเดินอ้อมไปตรงหน้าของอันโหรวที่กำลังตะลึงงัน ก่อนจะก้มหน้ากระซิบข้างหูของเธอว่า “เอาของข้างในออกมาสิ คิดซะว่าของพวกนั้นผมมอบให้กับเลขาหลินเป็นของขวัญ”
หึ ทำไมนายไม่มอบของขวัญให้ตัวเองไปเลย!
รู้แต่วิธีกดขี่เธออยู่นั่นแหละ!
แต่ในบริษัทบิ๊กบอสที่เปรียบดังราชาปีศาจ ต่อให้เลิกงานหรือนอกเวลางานก็ไม่มีข้อยกเว้น แน่นอนว่าไม่ว่าเขาจะไปไหน เขาก็ยังเป็นฝ่ายที่สูงส่งกว่าอยู่เสมอ
อันโหรวเป็นกังวล แต่ก็ทำอะไรไม่ถูก จึงทำได้เพียงหันหลังกลับและเดินตามหลังเขาไปพร้อมกับกล่องสามใบในมือ
…………….
ตอนที่ 132 คุณลุงจะค้างที่นี่เหรอคะ
จิ่งเป่ยเฉินรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย พร้อมกับรู้สึกกระวนกระวายใจ ถ้าหากเขาได้เห็นหยางหยาง เช่นนั้นอันอีหานกับอันโหรวคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันหรอกใช่ไหม?
แต่ถ้าหากหยางหยางดูเหมือนเขา…. หากพบเจอแล้วคงไม่ใช่ว่าหนีไปหรอกนะ
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว สิ่งที่อยู่ในหัวของเขาก็เริ่มขัดแย้งกันไปหมด ก่อนหน้านั้นไม่ว่าจะเป็นการเจรจา สัญญา หรือว่าอะไรเขาก็ไม่เคยรู้สึกตึงเครียดและกระวนกระวายใจแบบนี้มาก่อนเลย
อันโหรวถือกล่องและเดินขึ้นไป “ประธานจิ่งช่วยกดกริ่งให้ทีค่ะ ฉันไม่มีมือ”
“ไม่มีมือเหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินรู้สึกขบขันเล็กน้อยกับคำพูดของเธอ หัวใจของเขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เธอบอกว่าตัวเองไม่มีมือแบบนี้ก็แอบคล้ายกับคำพูดด่าแช่งแซะตัวเขาหรือเปล่านะ?
เขาเอื้อมมือไปกดกริ่ง ไม่ช้าก็มีเสียงฝีเท้ารีบวิ่งมาที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดแง้มออกเล็กน้อย
แสงสว่างที่อยู่ภายในสาดส่องออกมาตามทางประตูที่ถูกเปิดออก
จิ่งเป่ยเฉินมองต่ำลงไปก็เห็นอันหน่วนในชุดนอนยืนอยู่หน้าประตู เธอยิ้มก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองที่พวกเขาและพูดว่า “แม่จ๋า คุณลุง!”
“หน่วนหน่วน” จิ่งเป่ยเฉินลดตัวลงก่อนจะอุ้มเธอขึ้นมา พลางเดินเข้าไปข้างในราวกับว่าไม่ใช่คนนอกแต่อย่างใด
ทันใดนั้นใบหน้าของอันหน่วนก็เต็มไปด้วยความสุขเมื่อได้เห็นจิ่งเป่ยเฉิน แต่ใบหน้าเล็ก ๆ ของหน่วนหน่วนยังคงจับจ้องไปที่สีหน้าของแม่ตัวเอง เมื่อเห็นอันโหรวไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด เธอจึงพูดคุยเล่นกับจิ่งเป่ยเฉินอย่างมีความสุข
อันโหรววางกล่องลงบนโต๊ะอาหาร ก่อนจะรินน้ำไปให้จิ่งเป่ยเฉินหนึ่งแก้ว ส่วนตัวเองก็รินมาหนึ่งแก้วเช่นกัน เมื่อดื่มชาก็จับจ้องไปยังทั้งสองคนที่กำลังหัวเราะเอิ้กอ้าก ทำให้เธอคิดว่านั่นคือจิ่งเป่ยเฉินจริง ๆ เหรอ?
“หน่วนหน่วน น้าจื่อเซี๋ยวกับพี่ชายไปไหน?” เธอรู้สึกแค่ว่าจำเป็นต้องแกล้งถามหน่วนหน่วนต่อหน้าจิ่งเป่ยเฉินไปเท่านั้น
“ออกไปซื้อของข้างนอกค่ะ!” หน่วนหน่วนนั่งบนตักของจิ่งเป่ยเฉิน ก่อนจะหันไปมองแม่ของตน และก็หันหน้าไปเล่นกับจิ่งเป่ยเฉินต่อ
“พวกเขาไม่ได้บอกเหรอว่าจะกลับมาตอนไหน?” จิ่งเป่ยเฉินถามด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงยังคงนุ่มนวลราวกับสายน้ำไหล
อันโหรวตกใจจนเกือบจะสำลักน้ำออกมา
“หน่วนหน่วนก็ไม่รู้เหมือนกัน! คุณลุงวันนี้คุณลุงจะค้างที่นี่เหรอคะ?” เธอดึงเสื้อราคาแพงของจิ่งเป่ยเฉินด้วยมือเล็กๆ ของเธอ ก่อนจะเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตากลมโตเบิกกว้าง พลางเอ่ยถามอย่างเฝ้ารอคำตอบ
“แค่กแค่ก…..” ครั้งนี้เธอได้สำลักของจริง
“หน่วนหน่วน!” อยู่ ๆ ก็พูดจาส่งเดชไปแบบนี้ ถ้าเกิดว่าจิ่งเป่ยเฉินเห็นด้วยขึ้นมาจะทำยังไง? หรือจะให้หลินจื่อเซี๋ยวพาหยางหยางไปนอนค้างข้างนอกหนึ่งคืนอย่างนั้นเหรอ?
จิ่งเป่ยเฉินเห็นเธอไม่ได้อะไร ก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยและพูดว่า “ลูกสาวคุณนี่ฉลาดเป็นกรดกว่าคุณอีกนะ”
“ประธานจิ่งล้อเล่นใหญ่แล้ว ที่พักของเราเล็กแบบนี้จะให้ประธานจิ่งพักได้ยังไง! นี่ก็ดึกมากแล้วด้วย! ประธานจิ่งทำไมไม่กลับเลยคะ?” เธอชี้นิ้วไปทางประตู ก่อนที่ภายในหัวของเธอจะสั่งว่ารีบกลับไปซะ รีบกลับไป
“คุณลุงยังไม่ได้ดื่มน้ำเลยนะคะแม่!” หน่วนหน่วนมองไปที่แก้วน้ำบนโต๊ะด้านข้าง ก่อนจะพูดว่า “คุณลุงหิวน้ำไหมคะ?”
“นิดหน่อย” จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่ท่าทางของอันโหรวที่ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูก หัวใจของเขาก็พลอยมีความสุขเล็ก ๆ เกิดขึ้น
หน่วนหน่วน เด็กน้อยคนนี้ที่มีพ่อ แต่ไม่ต้องการแม่ อันโหรวก็แทบสิ้นหวังกับคำอวยพรจากฟากฟ้า ไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ จึงทำได้เพียงแค่ยื่นแก้วน้ำให้จิ่งเป่ยเฉิน
“ประธานจิ่งเชิญค่ะ”
จิ่งเป่ยเฉินรับแก้วน้ำมา แต่ไม่ได้ดื่มโดยทันที ก่อนจะก้มหน้ามองไปยังหน่วนหน่วนและพูดขึ้นว่า “หน่วนหน่วนไม่ดื่มเหรอ?”
“หน่วนหน่วนไม่หิวน้ำ คุณลุงดื่มเลยค่ะ” อันหน่วนเงยหน้ามองเขา ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย ราวกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทั้งยังดูคล้ายกับเคยเห็นทุก ๆ วัน
“พี่ชาย พี่ชาย” ทันใดนั้นอันหน่วนก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง
อันโหรวลอบถอนหายใจทันที ก่อนจะรีบเดินไปข้างหน้าเพื่ออุ้มหน่วนหน่วนออกมาจากจิ่งเป่ยเฉินและพูดขึ้น “หน่วนหน่วน ได้เวลาที่เด็กดีต้องนอนแล้วนะคะ!”
“แต่ว่าแม่จ๋า คุณลุงเขา……”
อันหน่วนจับจ้องไปที่จิ่งเป่ยเฉินที่ตอนนี้กำลังวางแก้วน้ำลง พลางคิดว่าคุณลุงกับพี่ชายนี่ดูเหมือนกันจัง!
“คุณลุงเขาจะไม่พักค้างคืนที่นี่หรอก เอาไว้พวกหนูค่อยเจอกับเขาวันหลังก็ได้” อันโหรวมองไปที่จิ่งเป่ยเฉินอย่างขัดเขิน และพูดขึ้นว่า “แม่จะอุ้มหนูไปเข้านอนนะ ประธานจิ่งทำตัวตามสบายนะคะ”
อันโหรวอุ้มอันหน่วนเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะวางลงที่เตียง เมื่อเดินออกมาจึงได้รู้ว่าจิ่งเป่ยเฉินยังไม่กลับไป
“ประธานจิ่งนี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีกนะคะ” เธอยิ้มและพูดขึ้น ความหมายของเธอคือไล่เขาอย่างชัดเจน คิดไม่ถึงว่าเขาจะฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก นั่งลงสักพักก่อนก็ได้” จิ่งเป่ยเฉินนั่งไขว้ห้าง ทำท่าเป็นเจ้านายแม้กระทั่งเวลาเลิกงาน เขาดูสบายๆ ไม่รีบร้อนอะไร ทั้งยังดูสงบมากด้วย