ตอนที่ 133 ฝืนลำบากแต่งงานกับคุณก็ได้
“ประธานจิ่งคะ ถ้าหากมีเรื่องอะไรจะพูดคุยละก็ ไว้พรุ่งนี้เราไปที่บริษัทค่อยคุยก็ได้ค่ะ หรือถ้าหากเป็นเรื่องส่วนตัวจริง ๆ พวกเราก็ไม่น่ามีเรื่องส่วนตัวอะไรต้องพูดคุยกันนะคะ” เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเช้านั้นจิ่งเป่ยเฉินล้วนเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน
“ไม่มีอะไรอย่างนั้นเหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินจู่ ๆ ก็ลุกขึ้นและเดินไปหาเธอ พลางพูดว่า “เธอแน่ใจนะว่าไม่มีอะไร?”
เธอกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะค่อย ๆ ถอยหลังไป “ประธานจิ่งคะ เรื่องตอนเช้าดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด คุณเองก็ถือว่าไม่ได้เสียเปรียบอะไรเลยไม่ใช่เหรอ?”
เธอถูกเขาบีบบังคับ ถูกเขากระทำแบบนั้นด้วยซ้ำนะ
“ผมรู้สึกว่าไม่เลวเลยนะ เพราะงั้นเราคงต้องค่อย ๆ ศึกษากันหน่อยแล้ว” จิ่งเป่ยเฉินเดินไปหาเธออย่างไม่สะทกสะท้าน พลางมองเธอที่ถอยหลังออกไปเรื่อย ๆ ราวกับเห็นภาพที่น่าขบขันอยู่ตรงเบื้องหน้า
เธอเกือบจะเอ่ยหนึ่งประโยคให้จิ่งเป่ยเฉินเลิกพูดอะไรแบบนี้ซะที
“ประธานจิ่ง ถ้าหากคุณยังเป็นแบบนี้อีกละก็ สามีฉันอาจจะรู้เข้าจริง ๆ ก็ได้นะคะ เขาคงจะหย่ากับฉันแน่ ๆ ประธานจิ่งชื่นชอบหน่วนหน่วนขนาดนี้ คงไม่อยากเห็นเธอกลายเป็นเด็กที่มีผู้ปกครองคนเดียวหรอก! มันน่าสงสารนะคะ!” เธอทนไม่ไหวจึงแอบอ้างลูกสาวไป
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ถ้าหากสามีของคุณคิดจะหย่า ผมก็จะพยายามฝืนลำบากแต่งงานกับคุณก็ได้ แค่นี้เอง?” จิ่งเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้น ทำท่าทางเหมือนจริงจัง แต่เธอกลับรู้สึกว่ามันไม่ตลกเลยสักนิด
ในที่สุดแผ่นหลังของอันโหรวก็ชนกับกำแพงสีขาว ตรงหน้าเหลือแค่กำแพงมนุษย์ที่มีชื่อว่าจิ่งเป่ยเฉินที่ตอนนี้กำลังดันเธอเข้ามาเรื่อย ๆ เธอแทบอยากจะร้องไห้แต่น้ำตาก็ไม่ไหล!
“คุณไม่คิดถึงชื่อเสียงของคุณหน่อยเลยเหรอ มันจะดีกว่านะถ้าไม่ทำเรื่องแบบนี้” เธอค่อย ๆ ยกมือขึ้นบังหน้าอกของตัวเองและพูดไปว่า “ประธานจิ่ง ประตูอยู่ข้างหลังคุณ ฉันขอไม่ส่งนะคะ”
“ไม่คิดจะจูบลากันเลย?” จิ่งเป่ยเฉินก้มหน้าลงต่ำมาใกล้เธอมากขึ้น ก่อนจะจูบไปที่ริมฝีปากของเธอ ไออุ่นค่อย ๆ ซึมซับ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่หอมหวานของคนตรงหน้า รสชาติมันหวานละมุนจนไม่อยากรับรู้อะไรเลย
เกมที่สามารถเล่นกับเธอได้! ความสุขชนิดนี้ไม่ได้มีน้อย ๆ!
“อืมมม……” เธออยากจะเตะเขาออกไปจริง ๆ แต่ทว่าตอนนี้เธอก็ทำอะไรไม่ได้ ร่างกายก็ถูกเบียดบัง เขาเป็นถึงเจ้านาย มีหรือเธอจะล่วงเกินไหว
คงมีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าบิ๊กบอสของเธอคงหาวิธีทรมานเธอด้วยวิธีอื่น ๆ ในวันพรุ่งนี้แน่ ๆ
เมื่อผ่านไปได้สักพัก จิ่งเป่ยเฉินก็ปล่อยเธอด้วยสีหน้าที่กรุ่มกริ่ม ก่อนจะพูดว่า “พรุ่งนี้เจอกัน”
“โชคดีค่ะประธานจิ่ง!” เธอลูบไปที่ริมฝีปากอย่างแรง ก่อนจะมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินออกไป เธอทำท่ากำหมัดก่อนจะทำท่าชกไปที่หลังของเขาอย่างไม่หยุด
แต่แล้วจู่ ๆ จิ่งเป่ยเฉินก็หยุดเดินก่อนจะหันหลังกลับมา ก็พบเธอที่แกล้งทำทีว่ากำลังม้วนผมไปมา เธอจึงเอ่ยถามว่า “ประธานจิ่งยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ?”
จิ่งเป่ยเฉินเหลือบตามองไปที่กล่องสามใบบนโต๊ะและพูดว่า “ของพวกนั้น อันที่จริงมอบให้คุณ ไม่จำเป็นต้องมอบให้เลขาหลินหรอก”
“ลูกน้องทราบแล้วเจ้าค่ะ” เธอยืนอยู่นิ่ง ๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตู เธอจึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินไปที่โซฟา
เธอทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา ก่อนจะมองไปที่กล่องที่มีดอกไม้สลักไว้อยู่ด้านหน้า เธอไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะคิดเอื้อมมือไปเปิดดู
ตระกูลอันที่ล่มสลายลงไปในชั่วข้ามคืน เธอที่เป็นลูกสาวของตระกูลอันก็ทำได้เพียงหลบหนีและจากมาแสนไกล ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะกลับไป
เธอรู้ดีว่าเธอไม่อาจมีความสัมพันธ์กับตระกูลโอวหยางได้ แต่เธอจะติดต่อกับพวกกลุ่มโอวหยางยังไงดี?
เธอนั่งนิ่ง ๆ อยู่บนโซฟาสักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตู เมื่อเธอหันไปมองก็พบจิ่งเป่ยเฉินตัวน้อยกำลังเดินเข้ามาหา “แม่จ๋า!!”
“แม่อุ้มหน่อย” อันโหรวอุ้มเขามาวางที่ตักของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังหลินจื่อเซี๋ยวและพูดขึ้นว่า “ลำบากเธอแล้วสิ”
“ไม่เท่าไรหรอก ว่าแต่ของนั่นมันอะไรเหรอ?” หลินจื่อเซี๋ยวงุนงงเมื่อเห็นกล่องสามใบที่วางอยู่ เปิดกล่องหนึ่งใบก็ตกใจทันที “โหรวโหรว นี่มัน….”
อันหยางเมื่อได้เข้ามาก็มองเห็นของที่อยู่ด้านใน หนึ่งชิ้นเป็นเจ้าแม่กวนอิมหยกขาวที่มองดูเพียงแวบเดียวก็รับรู้ได้เลยว่านี่เป็นหยกคุณภาพดี
“อืม“ เธอพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ของตระกูลอัน”
“ทำไมของตระกูลอันถึงได้มาอยู่ที่นี่?” เธอเปิดอีกสองกล่องทันที ก่อนจะรับรู้ว่าข้างในนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหยกคุณภาพชั้นสูงของตระกูลอันทั้งหมด
“ยกป้ายประมูลมา” เธอถอนหายใจและตอบกลับไป
“เป็นประธานจิ่งยก?” เธอรู้ดีว่าบอสของเธอคิดตามใจอันโหรวอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องมันจะง่ายขนาดนี้
“อืม” ตอนแรกเธอก็คิดว่าจะไม่ได้เห็นของพวกนี้อีกแล้ว แต่ในเมื่อได้ของพวกนี้กลับมามันก็ค่อนข้างสำคัญสำหรับตัวเธอเหมือนกัน
“เอาเถอะ แม่จ๋าจะอุ้มหนูไปอาบน้ำนะ พรุ่งนี้หนูต้องไปโรงเรียนนะคะ ดีไหม?” เธอพูดพลางก้มหน้ามองอันหยางด้วยรอยยิ้ม
“อือ” อันหยางเหลือบมองไปยังของบนโต๊ะ แววตาสีดำนั้นกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
………………..
ตอนที่ 134 ทดสอบความเป็นพ่อ
หลังจากที่ดูแลอันหยางเข้านอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว อันโหรวก็บิดขี้เกียจสักพัก ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไป มองเห็นหลินจื่อเซี๋ยวที่ยังนั่งอยู่บนโซฟา เธอจึงเดินเข้าไปหาช้า ๆ
“มองอะไรอยู่ ถ้าชอบก็เอาไปได้นะ” สำหรับสิ่งที่จิ่งเป่ยเฉินพูดนั้น เธอล้วนแล้วไม่อยากจะฟังเท่าไร ถ้าหากเขามอบให้เธอจริง เธอจะมอบให้ใครต่อก็ได้ทั้งนั้น
“ไม่ใช่หรอก ฉันคิดไม่ออกเลยว่าแบบนี้มันหมายความว่ายังไง” หลินจื่อเซี๋ยวเขยิบออกไปที่ข้าง ๆ และพูดว่า “งานประมูลแบบนี้ ฉันก็พอทราบมาบ้าง แต่นี่หลายปีมาแล้ว นี่นับเป็นครั้งแรกที่ประธานจิ่งสนใจเรื่องพวกนี้ แต่ก่อนเขาไม่เคยสนใจเลย”
“อาจจะทดสอบดูก็ได้” อันโหรวกวาดสายตามองไปที่หยกสองสามชิ้นนั้น พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา ๆ
“อะไรนะ! ทดสอบดู?” หลินจื่อเซี๋ยวพูดจบก็ตกใจกับน้ำเสียงของตัวเอง ก่อนจะเอามือมาปิดปากและพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “ประธานจิ่งเขาสงสัยฐานะและตัวตนของเธออย่างนั้นเหรอ? วันนี้ตอนที่เธอไปที่ห้องทำงานเขา และตอนเช้าก็ไม่ยอมออกมา นี่พวกเธอ…..”
อันโหรวมองดูการเคลื่อนไหวของเพื่อนตนที่ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วนางทำท่าแปลก ๆ แม้เธอจะพยายามปิดบังหรือซ่อนเอาไว้ แต่ว่าวันนี้ตอนเช้าเธอก็อยู่ในห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉินจริง และไม่ใช่แค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่รู้
เธอพยักหน้าด้วยความหงุดหงิดใจ
“นี่มันระ…เรื่องใหญ่แล้ว! เพราะงั้น…..” หลินจื่อเซี๋ยวมองไปที่ใบหน้าของเพื่อน ก่อนจะใช้ศอกแตะ ๆ ดัน ๆ ตัวเธอ “เธอชอบประธานไหม?”
“อย่าพูดไร้สาระ!” เธอแทบอยากจะไปซ่อนตัวอยู่ไกล ๆ ด้วยซ้ำ
“ฉันพูดไร้สาระตรงไหน? ชอบหรือไม่ชอบขึ้นอยู่กับตัวเธอตัดสิน! เพียงแต่ฉันคิดว่าบอสของเราจริง ๆ แล้วก็เป็นคนดีไม่เลว เท่าที่ฉันรู้มานะว่าห้องทำงานของเขามีผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ได้นานแบบนั้น มีแค่เธอคนเดียวนะ” หลินจื่อเซี๋ยวรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ก่อนจะพูดว่า “นานสุดตั้งหลายสิบนาทีเชียว”
“ไม่ถึงสิบนาทีคงเป็นเธอสินะ?” อันโหรวยิ้มตอบกลับไป
“ถูกรู้จนได้!” หลินจื่อเซี๋ยวถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อ “มีครั้งหนึ่งนะที่อยู่ได้นาน ตอนนั้นเป็นช่วงที่ประธานจิ่งสอนงานให้ฉัน”
“ฉันพอนึกออกอยู่นะ เธอคงทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่” เพราะปกติแล้วจิ่งเป่ยเฉินมักไม่ค่อยบ่นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าไรนัก
“ตอนนั้นทำให้ประธานจิ่งผิดพลาดในการประชุมระหว่างประเทศ เพราะว่าฉันแจ้งเวลาเที่ยวบินผิดไป” หลินจื่อเซี๋ยวเมื่อคิดถึงเรื่องอดีตที่เคยผิดพลาด เธอก็ส่ายหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “โหรวโหรว ถ้าเธอได้เป็นภรรยาของประธานจิ่งในอนาคต เธอต้องช่วยฉันด้วยนะ!”
“อย่าคิดถึงเรื่องที่มองไม่เห็นนักเลย ไปอาบน้ำแล้วนอนเถอะ!” เธอพูดจบก็ลุกขึ้นยืน “ง่วงนอนแล้ว! ฝันดีนะ!”
“ฝันดี!” หลินจื่อเซี๋ยวมองไปที่หยกบนโต๊ะกาแฟ ก่อนจะปิดกล่องให้เรียบร้อยและลุกเข้าห้องไป
……
เนื่องจากเมื่อวานตอนบ่ายออกจากสตูดิโอไปชั่วคราว เพราะงั้นอันโหรวก็รอแทบไม่ไหว เมื่อมาถึงบริษัทก็ได้เปิดคอมพิวเตอร์และตรวจสอบภาพถ่ายของเมื่อวานที่ถูกส่งมาทันที ภาพลักษณ์ของเหอเฉ่านี่ดูโดดเด่นและดูดีไม่ใช่น้อย หนำซ้ำยังเข้ากับตัวหยกได้เป็นอย่างดี
“พอใจไหม?” จู่ ๆ ฉิวซีก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง เธอถือถ้วยชาไว้ในมือก่อนจะจับจ้องไปที่หน้าจอของอันโหรว
ประธานจิ่งเมื่อวานได้เข้ามาตรวจสอบเธอ แต่วันนี้อันอีหานก็ยังมาทำงานปกติได้ สรุปตรวจสอบผลเป็นยังไงกันแน่?
“ก็ใช้ได้นะ แต่ถึงฉันจะไม่พอใจ ประธานจิ่งพอใจก็พอแล้ว” เธอปิดหน้ารูป ก่อนจะชูแก้วน้ำไปตรงหน้าของเธอและพูดว่า “รูปถ่ายออกมาแล้ว ฉันจะเอาไปให้ประธานจิ่งดูก่อนละกัน”
เธอมองไปที่แก้วน้ำและก็จดจำได้ทันทีว่าแก้วนั้นจิ่งเป่ยเฉินเคยดื่มแก้วเดียวกันกับเธอ ซึ่งเธอดื่มน้ำมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกไม่เพียงพออยู่ดี
“เธอมีเสียงแบบไหนกันแน่? ทำไมต้องใช้เสียงที่ชวนไม่น่าฟังแบบนี้ด้วย?” ฉิวซีเหลือบตามองไปยังอันโหรวพลางพูดขึ้น เธอทำท่าราวกับไม่ได้ยินอะไร ก่อนจะเอ่ยว่า
“ดูเหมือนบริษัทจะไม่ได้ระบุกฎว่าห้ามใช้เสียงอื่นนะ” ต่อให้มีกฎแบบนั้นจริง ๆ เธอก็สามารถเปลี่ยนเสียงต้นฉบับที่แตกต่างกว่านั้นได้อยู่แล้ว
ฉิวซีมองไปที่ตัวเธอ ก่อนจะพาตัวเองออกไปจากที่แห่งนี้ด้วยความโกรธเคือง
ทำไมอันอีหานถึงได้ใจเย็นขนาดนี้? เมื่อนึกถึงข่าวลือในบริษัท ตัวเธอก็เริ่มที่จะหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่น่าใช่ ไม่จริงหรอก ที่ประธานจิ่งอยู่กับเธอตลอดเวลาแบบนี้ มันต้องเป็นข่าวลือที่ผิดแน่ ๆ
เมื่อมาถึงชั้นที่สิบห้า ภายในห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉิน ฉีเซิงเทียนมองไปยังถุงพลาสติกใสด้วยความงุนงง ก่อนจะมองไปที่ผมสองสามเส้นที่อยู่ในนั้น มันเป็นสีทองและสีดำ
“พี่เฉิน! นี่นายมีลูกข้างนอกอย่างนั้นเหรอ?” ฉีเซิงเทียนคว้าถุงพลาสติกมาไว้ในมือ และพูดว่า “จะให้ตรวจสอบความเป็นพ่อคนสินะ ฉันจะรีบไปตรวจสอบทันทีเลยแล้วกัน!”
“เดี๋ยวก่อน!” จิ่งเป่ยเฉินหยิบถุงพลาสติกมาจากมือของเขาและวางลงบนโต๊ะ พลางมองไปที่เส้นผมที่อยู่ด้านในด้วยความลังเล