ตอนที่ 135 เด็กที่ยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
เมื่อคืนตอนที่เขาอุ้มหน่วนหน่วน เดิมทีเขาแค่อยากจะลูบหัวเล็กน้อย แต่ไม่ทันระวังผมสองเส้นจึงร่วงติดออกมาบนมือ เขาจึงเก็บเส้นผมนั้นไว้ในกระเป๋า
หากไม่พิสูจน์ อันโหรวอาจจะยังเล่นเกมตบตาเขาแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แต่หากพิสูจน์แล้วเขาไม่ใช่พ่อของเด็กขึ้นมา เขาควรทำอย่างไร?
ฉีเซิงเทียนเพิ่งเคยเห็นจิ่งเป่ยเฉินลังเลแบบนี้ คาดว่าคงใช้เวลาอีกนานในการคิดทบทวนเรื่องนี้ เขาจึงนั่งลงตรงฝั่งข้ามและมองไปที่เส้นผมตรงหน้าเช่นกัน
“เป็นไปได้ยังไง! ทำไมถึงมีผมสีทองได้ กลายพันธุ์ได้งั้นเหรอ?” ฉีเซิงเทียนมองเขาอย่างสงสัย โชคดีที่เขาไม่ถือไปพิสูจน์อย่างโง่ ๆ ไม่งั้นได้อับอายอย่างแน่นอน
“นายสิกลายพันธุ์” จิ่งเป่ยเฉินหยิบถุงพลาสติกที่มีเส้นผมอยู่ในนั้นขึ้นมาอีกครั้ง หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวังไว้ เขาจะไม่พิสูจน์อะไรอีกต่อไป
“ถ้าไม่ได้กลายพันธุ์แล้วจะเป็นอะไรไปได้ นายอายุ 29 ถ้าเป็นลูกของนายก็ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนอายุ 14 สิ….” ฉีเซิงเทียนที่ยังอยู่ในห้วงจินตนาการของตัวเองพูดขึ้นโดยไม่รู้เลยว่าสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามเริ่มมืดมนลงเรื่อย ๆ
“ในความเป็นจริงมันก็ยังมีความเป็นไปได้ หรือว่าลูกของนายย้อมผม!” ฉีเซิงเทียนเอียงศีรษะและหัวเราะ อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย “แค่ล้อเล่นนะ อย่าจริงจังไปหน่อยเลย ตอนอายุ 14 นายยังเป็นเด็กไร้เดียงสาอยู่เลย!”
ช่วงนี้อากาศในแอฟริกาเป็นยังไงบ้าง? ร้อนไหม? จิ่งเป่ยเฉินเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน พลางโยนถุงพลาสติกที่ปิดสนิทนั้นลงไป
“เอ่อ… ฉันยังมีงานที่ต้องทำอีกเยอะเลย ในเมื่อนายไม่อยากพิสูจน์มันแล้ว งั้นฉันไปก่อนนะ!” ฉีเซิงเทียนลุกขึ้นจากที่นั่งและออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบ
หลังจากที่ออกมาเขาก็ตบไปที่หน้าอกตัวเองด้วยความหวาดผวาเล็กน้อย สนใจด้วยเหรอ? ใช้วิธีนี้ทำเอาเขาตกใจทุกครั้งเลยสินะ
แต่เขาต้องป้องกันตัวไว้ก่อน หากเรื่องที่กลัวกลายเป็นจริงขึ้นมา เมื่อถึงเวลานั้นเขาคงร้องไห้ไม่ออกแน่!
วันนี้อันโหรวมีชีวิตที่ค่อนข้างสงบสุข จิ่งเป่ยเฉินเองก็ไม่ได้เรียกหาเธอ เธอรู้สึกถึงว่าการหายใจของเธอนั้นโล่งปลอดโปร่งมากกว่าที่เคย
อย่างไรก็ตาม จิ่งเป่ยเฉินบอกว่าเธอสามารถเลิกก่อนเวลางานได้ เพราะต้องไปรับหน่วนหน่วนและหยางหยาง เธอจึงออกไปทันทีที่นาฬิกาดังขึ้น
เธอไม่รู้เลยว่าหลังจากที่เธอออกไป แผนกวางแผนก็เกิดเรื่องโกลาหลขึ้นทันที เป็นเรื่องซุบซิบนินทาระหว่างเธอกับจิ่งเป่ยเฉิน
เมื่อถึงด้านนอกโรงเรียนอนุบาลสายรุ้ง เธอกับผู้ปกครองคนอื่น ๆ ก็ยืนรอลูก ๆ เลิกเรียน เธอรู้สึกสุขใจกับความรู้สึกที่มีความสุขแบบนี้
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เธอก็เข้าไปรับหน่วนหน่วนและหยางหยาง พวกเขาทั้งสองมองมาที่เธอและวิ่งเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว “แม่จ๋า……”
“ลูกรักของแม่จ๋า!” เธอนั่งคุกเข่าลงกอดพวกเขา พลางจูบไปที่แก้มของพวกเขา “วันนี้เรียนเรื่องอะไรบ้าง?”
ยังไม่ทันได้ยินเสียงตอบของเด็ก ๆ เธอก็ได้ยินเสียงฮ่าวเหล่ยดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน!”
เธอดึงหยางหยางและหน่วนหน่วนเข้าไปใกล้ตัว ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงของตัวเองอย่างสงสัยว่า “ผู้อำนวยการฮ่าวมีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“คุณ คุณคืออันอีหานใช่ไหมครับ?” ฮ่าวเหล่ยชอบเด็กสองคนนี้มาก พวกเขาน่ารัก เชื่อฟัง และฉลาดมาก ๆ อีกด้วย
อันอีหานพยักหน้าตอบ เธอไม่ได้ลบเครื่องสำอางออกระหว่างทาง ล้วนเป็นเพราะจิ่งเป่ยเฉิน ใครจะไปรู้จู่ ๆ เขาอาจจะบ้าคลั่งตามเธอมาก็ได้ ดังนั้นหากไม่ใช่เวลานอน เธอไม่มีทางลบเครื่องสำอางออกอย่างแน่นอน
“แต่ว่าเมื่อก่อนใบหน้าของคุณไม่ได้เป็นแบบนี้นี่ หยางหยาง หน่วนหน่วน เธอเป็นแม่จริง ๆ หรือเปล่า?” ฮ่าวเหล่ยยังคงกังวลเล็กน้อย
“คุณครูฮ่าว นี่คือแม่ของพวกเราครับ แม่ต้องแต่งหน้าเพราะไปทำงาน” อันหยางรีบตอบกลับทันที
อันหน่วนก็พยักหน้าตอบรับเช่นกัน “เจอกันพรุ่งนี้นะคะคุณครูฮ่าว”
“ผู้อำนวยการฮ่าวดูแลและใส่ใจเด็กขนาดนี้ พวกเราที่เป็นผู้ปกครองเห็นแล้วก็สบายใจ” อันโหรวยิ้มตอบกลับและจูงเด็กทั้งสองคนออกไป
เมื่อเดินมาที่รถ อันหน่วนกอดเธอ “แม่จ๋า สุดสัปดาห์นี้โรงเรียนจัดกิจกรรมกีฬาสีครอบครัว แม่ต้องไปเข้าร่วมนะคะ!”
โรงเรียนอนุบาลจัดกิจกรรมแบบนี้ด้วยเหรอ?
กิจกรรมครอบครัวอะไร? เธอไม่อยากไปเข้าร่วมเลย
“ถ้าแม่จ๋าลำบากใจ พวกผมขอลาหยุดไม่ไปก็ได้นะครับ” อันหยางไม่อยากเห็นแม่ลำบากใจ ถึงอย่างไรเด็กสองคนกับเธอคนเดียวคงไม่สะดวกแน่
“ให้คุณน้าหลินจือเซี๋ยวไปกับพวกเราด้วยไหมคะ!” หน่วนหน่วนเอียงศีรษะ เธอหักนิ้วเล่นด้วยท่าทีที่จริงใจ “หรือจะคุณลุงจิ่ง คุณลุงถัง คุณน้าหลินจือเซี๋ยว พวกเราสองคน พ่อแม่อีกสี่คน พอดีเลย แม่จ๋าคิดว่าไงคะ?”
……………………
ตอนที่ 136 คุณลุงกับพี่ชายดูเหมือนกันจัง
อะไรกัน!
“แม่จ๋า เมื่อวานคุณลุงจิ่งกับพี่ชายดูเหมือนกันเลย!” อันหน่วนเงยหน้าขึ้นและเอียงศีรษะเล็กน้อย มองดูอันหยางที่อยู่ด้านซ้ายของเธอ “เหมือนกันจริง ๆ นะ!”
หน่วนหน่วน เด็กน้อยที่ถูกปิดบังยากจะอธิบายได้ ทำให้เธอกระวนกระวายใจ
“แม่จ๋า……” อันหยางเรียกเธอที่ดูนิ่งไป เหมือนกับว่ากำลังรอคำอธิบายจากเธออยู่เช่นกัน
“หยางหยาง หลายคนในโลกใบนี้หน้าตาเหมือนกัน ลูกดูดาราพวกนั้นสิ ไม่ได้ศัลยกรรมไปทั้งหน้าเหรอ?” เธอเอื้อมมือไปตบหลังเขาและอธิบายอย่างอดทน
“แต่คุณลุงคนนั้นไม่ได้ศัลยกรรมไม่ใช่เหรอ เหมือนมากจริง ๆ นะคะ” หน่วนหน่วนเอียงศีรษะราวกับนึกถึงลักษณะของจิ่งเป่ยเฉินอยู่ในใจ
อันโหรวจับมือเด็ก ๆ พลางลูบไปที่แก้ม ก่อนจะเบือนหน้าหนีมองไปที่ถนนด้านนอก คุณลุงช่วยขับเร็วหน่อยได้ไหมคะ?
เธอรู้ดีว่าเป็นความผิดพลาดที่เธอให้หน่วนหน่วนกับจิ่งเป่ยเฉินอยู่ด้วยกันมากเกินไป
“แม่จ๋า ผมเชื่อแม่จ๋า“ จู่ ๆ อันหยางก็พูดขึ้น
เธอขยับตัวและกอดเขาอย่างซาบซึ้งใจ “หยางหยางลูกรู้ใจแม่จ๋าที่สุดเลย แม่จ๋ารักลูกนะ”
“แม่จ๋าไม่รักหน่วนหน่วนเหรอคะ?” อันหน่วนพึมพำเอ่ยถาม
“แม่จ๋าก็รักหนูนะ” อันโหรวกอดเธอ ในชีวิตของเธอมีแค่ลูกสองคนก็เพียงพอแล้ว
“แล้วงานกีฬาแม่จ๋าจะไปไหมคะ” อันหน่วนถาม
“ไปสิ ถึงจะไม่เข้าร่วมเล่น แต่พวกเราก็ไปดูได้” เธอก้มศีรษะลงไปจูบหน้าผากหน่วนหน่วนก่อนจะเอ่ย “ดีไหมจ๊ะ?”
“ดีค่ะ!” อันหน่วนพยักหน้าพลางยิ้มตอบ
แต่ใบหน้าของอันหยางกลับดูนุ่มลึก ดวงตาสีดำสนิทของเขาราวกับคนที่ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา ถึงเขาจะหน้าตาเหมือนกับคุณลุงนิสัยไม่ดีคนนั้น ก็ไม่สามารถเปลี่ยนไปชอบคุณลุงคนนั้นได้หรอก!
……
ภายในพริบตาก็เป็นวันศุกร์ อันโหรวนั่งเหม่อลอยอยู่ที่โต๊ะทำงาน งานกีฬาครอบครัวนั่น เธอจะทำยังไงกับมันดี?
ในความจริงแล้วเธอไม่อยากให้หยางหยางกับหน่วนหน่วนดูแตกต่างไปจากเด็กคนอื่น ๆ
หรือจะต้องไปหาจิ่งเป่ยเฉินจริง ๆ?
ถ้าแบบนั้นเธอจะปิดบังเรื่องนี้อย่างยากลำบากไปเพื่ออะไรกัน?
คำพูดของถังซั่ว แน่นอนว่าเป็นลูกระเบิดไม่ต่างจากจิ่งเป่ยเฉิน มั่นใจว่าหากถังซั่วรู้ จิ่งเป่ยเฉินก็ต้องรู้เข้าสักวันแน่ ๆ
“ติง ติง ติง” เธอรีบรับโทรศัพท์ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น “สวัสดีค่ะ”
เสียงหลินจือเซี๋ยวที่ดังมาจากโทรศัพท์ ”หัวหน้าสั่งให้เธอไปรอเขาที่ชั้นล็อบบี้”
เธอรู้สึกหงิดหงุดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อจิ่งเป่ยเฉิน รู้สึกต่อต้านกับสัญชาตญาณของตัวเอง
“ไปทำอะไร?” เธอเหลือบมองเวลาบนคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าเธอ “ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยนะ!”
“ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดเท่าไรหรอก ยังไงก็เป็นคำสั่งจากหัวหน้า พวกเราปฏิเสธไม่ได้หรอก เร็วเข้า! หัวหน้าออกไปแล้ว!” หลินจือเซี๋ยววางสายทันทีที่พูดจบ
เธอรีบวางโทรศัพท์และเก็บของ ก่อนจะปิดคอมพิวเตอร์ทันที
อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เธอเลิกก่อนเวลางานบ่อยจนชินเป็นนิสัยไปแล้ว คนในแผนกวางแผนที่เห็นเธอออกก่อนเวลาจึงไม่แปลกใจอะไร กลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว
เมื่อเธอออกมาจากบริษัทก็เห็นรถสีดำจอดรอเธออยู่ด้านหน้า ก่อนที่ประตูหลังจะถูกเปิดออก
เธอก้าวเข้าไปนั่งและปิดประตู พลางมองไปยังจิ่งเป่ยเฉินที่นั่งอยู่ด้านข้าง “ประธานจิ่งคะ พวกเราจะไปทำธุระที่ไหนกันคะ?”
หลายวันที่ไม่ได้เจอกัน ใบหน้าด้านข้างที่ดูหล่อเหลาของเขายังคงดูมีสง่าราศี ดูท่าทางที่ไม่ธรรมดาเช่นเคย
เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากในเช้าวันนั้น ทันใดนั้นใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เธอค่อย ๆ ก้มหน้าลง ไม่อาจคิดจินตนาการต่อไปได้
คนรักอะไรกัน เป็นเรื่องล้อเล่นแค่นั้นเอง
”สกุลเห่อ”
“เซ็นสัญญาหรอคะ?” เธอรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในทันทีเมื่อนึกถึงเห่อฮวาฮุยในวันนั้น
การแต่งหน้าของเธอในวันนี้คงไม่ฉูดฉาดไปใช่ไหม?
ผู้ชายที่อ่านผู้หญิงออกได้มากขนาดนี้ย่อมมีดวงตาชั่วร้ายที่ไม่อาจป้องกันได้
“ลองไปดูสิ” จิ่งเป่ยเฉินจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตา จึงไม่พลาดที่จะเห็นใบหูเธอที่แดงขึ้น เธอกำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมหูถึงได้แดงแบบนั้น
ดูเหรอ? ดูเห่อฮวาฮุยกับผู้หญิงงั้นเหรอ?
ไม่สิ ไม่สิ วันนี้เธอเป็นอะไรกันแน่ หรือเป็นเพราะกำลังคิดถึงเรื่องเขาตอนที่อยู่โรงเรียนอนุบาลถึงได้ใจลอยแบบนี้?
ต้องเป็นแบบนั้นแน่!
เมื่อรถจอดที่หน้าอาคารสำนักงาน อันโหรวก็มองออกไปด้านนอกหน้าต่าง จึงพบว่าที่แท้พวกเขาเพียงต้องการมาดูเฉย ๆ