ตอนที่ 145 หน้าตาไม่ได้น่าดูชม?
คำพูดของหลินจือเซี๋ยวทำให้อันโหรวอึ้งไปชั่วขณะ พอนึกถึงเรื่องที่โรงเรียนอนุบาลและพฤติกรรมที่ดูเอาแต่ใจของหยางหยางในงานวันนี้แล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเป็นปมขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริง บิ๊กบอสที่น่าสงสาร เห็นใจแค่วินาทีก็เพียงพอแล้ว!” หลินจือเซี๋ยวตบไปที่ไหล่ของเธออย่างภาคภูมิใจ “เพื่อนกันไม่ต้องกังวลไป ไม่ว่าเธอจะเลือกอยู่กับใคร ฉันก็สนับสนุนเธอแน่นอน!”
“หยางหยางวันนี้กินอะไรเข้าไปกันนะ?” เธอย้อนถามอย่างสงสัย เหมือนว่าเธอไม่เคยพูดว่าชอบถังซั่วเลยสักครั้ง
แต่ว่าตอนนี้เธอเข้าใจทุกอย่างแล้วที่สองพี่น้องพยายามรีบขายเธอ
หากเด็กน้อยทั้งสองเลือกคนเดียวกัน เธอคงยังพอรับมือได้ แต่นี่มีสองคนจะเลือกได้ยังไง?
และหนึ่งในนั้นก็คือพ่อของลูก!
“ฉันเพิ่งจะกินมันฝรั่งทอดกรอบไปสองชิ้น” หลินจือเซี๋ยวรู้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ฉันมีค่าแค่มันฝรั่งสองชิ้นงั้นเหรอ? ” อันโหรวพูดไม่ออก
“นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญสักหน่อย ประเด็นก็คือเธอจะทำยังไงต่อไป” ไม่รู้น่าจะดีกว่า เมื่อรู้แล้วก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
“ช่วยลบความจำนี้ทีได้ไหม?” หลินจือเซี๋ยวถาม ใบหน้าที่ขาวซีดเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม “ฉันรู้ว่ามันเจ็บปวด ฉันไม่น่าเดาออกเลย โหรวโหรวของฉัน เธอช่วยล้างสมองฉันที! บอกฉันทีว่าบิ๊กบอสไม่ใช่พ่อของเด็กน้อยสองคนนั้น!”
พอคิดว่ามีอีกหนึ่งคนที่อยู่ต่อหน้าจิ่งเป่ยเฉินมีความรู้สึกไม่พอใจกับความลับนี้ เธอรู้สึกค่อนข้างดีเลย แม้ความลับนั้นคือเธอเองก็ตาม
หลินจือเซี๋ยวกลืนน้ำลาย เธอเกลียดความคิดมากของตัวเองที่ทำอะไรโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีเหมือนเมื่อก่อน
ชั่วพริบตาก็เป็นวันจันทร์ที่แสนทรมาน หลินจือเซี๋ยวรู้สึกวันตายใกล้เข้ามาหาเธอทุกที
ด้านในห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉิน เขาหยิบปากกาเซ็นชื่อตัวเองลงบนเอกสาร ดวงตาสีดำของเขามองไปยังหลินจือเซี๋ยวที่ยืนโค้งตัวพลางก้มหน้าเก้าสิบองศาตั้งแต่เดินเข้ามา
ใบหน้าที่ดูคม จมูกเป็นสัน เผยรอยยิ้มจาง ๆ ออกมา “เลขาหลิน หน้าตาผมดูไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่ใช่ค่ะ ประธานจิ่งหล่อราวกับเทพบุตร ไม่อาจสบตามองความสง่างามของคุณได้หรอกค่ะ” เธอกลัวว่าเธอจะไม่ระวังและพลั้งหลุดปากพูดออกไป ภายในใจต่อว่าอันโหรวอย่างนับไม่ถ้วน คนที่ไม่มีน้ำใจแบบนั้น ไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับจิ่งเป่ยเฉินแบบเธอ แน่นอนว่าต้องสบายใจอยู่แล้ว
แต่เธอเป็นเลขาของประธานจิ่งนะ!
จิ่งเป่ยเฉินควงปากกาในมืออย่างใจเย็น มองไปที่คนตรงหน้าด้วยสายตาที่เย็นชา รอยยิ้มที่เย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “นี่คุณหมายความว่าวันนี้ผมดูเป็นเทพบุตร แต่เมื่อก่อนไม่ใช่?”
“ประธานจิ่งหล่อขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน วันนี้คุณดูหล่อเป็นพิเศษ ฉันกลัวว่าสายตาลามกของฉันจะไปแปดเปื้อนท่านประธานมากกว่าค่ะ” เธอยังคงก้มหน้าหลบสายตา ไม่สามารถมองไปตรง ๆ ได้ มิฉะนั้นเธอจะกลับไปหอมแก้มนุ่ม ๆ อันบอบบางของหยางหยางได้ยังไงกัน
“คำพูดดูจริงจัง แต่เนื้อหากลับไร้สาระ” จิ่งเป่ยเฉินหยุดหมุนปากกาในมือและปิดเอกสารตรงหน้าลง “เธออยากจะลาออกก็พูดมาตรง ๆ”
“ไม่ใช่ค่ะ” หลินจือเซี๋ยวยืดหลังตรงขึ้นมาในทันที เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูหล่อเหลากำลังแสดงความโกรธเกรี้ยวของจิ่งเป่ยเฉิน เธอก็กลืนน้ำลาย ก่อนจะพูดกระซิบด้วยน้ำเสียงอันเบา “เนื้อหาไม่ได้ไร้สาระนะคะ ประธานจิ่งดูหล่อมากจริง ๆ ค่ะ!”
“เธอเป็นผู้หญิงที่ตาถึงที่สุดในปีนี้….” จิ่งเป่ยเฉินโยนแฟ้มเอกสารให้เธอ “ไม่เยอะแล้ว”
เขาหมายถึงอันโหรวหรือเปล่า?
แต่หลินจือเซี๋ยวไม่ทันสังเกต เธอหยิบเอกสารขึ้นมาและหันหลังเดินกลับออกไปจากห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉินทันที
เมื่อกลับมายังห้องทำงานของตัวเอง เธอพิงไปที่ประตูพลางสูดลมหายใจเข้าออกในทันที ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าบิ๊กบอสนั้นไม่พอใจกับคำพูดของเธอเมื่อครู่!
น้ำเสียงดูนิ่งสงบแท้ ๆ แต่กลับไม่สามารถเพิกเฉยต่อความหมายที่แฝงอยู่ในนั้นได้
อันโหรวถ้าความลับถูกเปิดเผย อย่าได้โทษฉันเด็ดขาด ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยจริง ๆ นะ!
ทันทีที่ฉีเซิงเทียนเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉิน ก็เห็นเขาถือด้ามปากกา ราวกับกำลังวิเคราะห์โครงสร้างทุกอย่างบนโต๊ะ เผยท่าทางที่รอบคอบออกมา
“พี่เฉิน เกิดเรื่องอะไรขึ้น!” วันนี้เพิ่งจะวันจันทร์เองนะ และไม่ใช่ว่าเพิ่งซื้อสกุลเห่อมาได้หรอกเหรอ? ควรจะยุ่งจนหัวหมุนสิถึงจะถูก แต่ว่าตอนนี้เขากลับดูเหมือนกำลังรอความตายเสียมากกว่า แฟ้มเอกสารบนโต๊ะที่ยังไม่ได้รับอนุมัติ ข้อมูลเอกสารก็ยังไม่ได้ดู
“แม่ของฉัน…… บังคับให้แต่งงาน” เสียงของจิ่งเป่ยเฉินดังขึ้น ปากกาในมือของเขากระแทกกับโต๊ะทำงานเสียงดัง
……………………………….
ตอนที่ 146 ให้เธอเป็นหัวหน้าเลขา
ฉีเซิงเทียนเหลือบมองไปยังปากกาของคนตรงหน้า ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองไปยังแผ่นหลังที่เย็นชาของจิ่งเป่ยเฉิน “ฉันนึกว่านายจะชินแล้วซะอีก”
จิ่งเป่ยเฉินรู้สึกราวกับคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะไม่เอ่ยตอบพูดอะไร จู่ ๆ ภาพของอันอีหานที่มีใบหน้าซีดเหลืองก็ปรากฏขึ้นมาในหัว ให้ตายสิอันโหรว จะแกล้งทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน?
หรือว่าจะต้องเอาผมของหน่วนหน่วนไปทดสอบความเป็นพ่อลูก แต่ว่าถ้าหากไม่ใช่…?
ความภาคภูมิใจของตนเองนั้นอยู่สูงกว่าความนับถือตนเอง เขาไม่อยากให้เรื่องพวกนั้นเกิดขึ้น
ฉีเซิงเทียนเห็นเขาไม่ได้ตอบกลับอะไร ทันใดนั้นดวงตาก็เป็นประกายและพูดว่า “อันที่จริงแต่งงานมันก็ดีนะ อันโหรวก็หายไปหลายปีแล้ว หรือว่านายอยากอยู่แบบโสด ๆ ไปตลอด?”
ทันทีที่เขาพูดจบก็เห็นสายตาที่ดุดัน ก่อนจะปิดปากเงียบลงและนำเอกสารที่อยู่ในมือวางไว้ตรงหน้าและพูดว่า “เซ็นเอกสาร”
จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้เซ็นเอกสารในทันที เขามองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าตัวเองและพูดว่า “ดูเหมือนว่าเมือง S จะมีโครงการที่มีปัญหานิดหน่อยนะ”
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันไปเอง!” เขาที่ผูกพันเกี่ยวกับงานด้านนี้ตอบรับโดยไม่รีรอ
จิ่งเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบปากกาและเคาะลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ให้หลินจือเซี๋ยวไป!”
“นั่นมันเลขาของนายนี่!” ฉีเซิงเทียนมองเขาด้วยความประหลาดใจ มันดูไม่เหมือนการล้อเล่น แต่เป็นสีหน้าที่เอาจริงเอาจัง
“หรือว่านายคิดจะให้อันอีหานไปเป็นเลขาของนายกัน?” ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งเป็นคำถาม แต่น้ำเสียงนั้นก็ดูเหมือนกับว่าได้ตัดสินใจไปแล้ว
ฉีเซิงเทียนเหลือบมองไปยังโต๊ะ ก่อนจะมองเห็นคำว่า ‘แผนการ’ สองคำ ก็คิดว่ารสนิยมของเขาหนักหนาเอาการขนาดนี้เชียวเหรอ?
ผู้หญิงคนนี้แต่งงานไปแล้วนะ จิ่งเป่ยเฉินควรจะดีใจสิ! แต่นี่กลับเศร้าใจเหรอ?
“ฉันจะขอถามหน่อยละกัน อันอีหานเธอหย่าแล้วเหรอ?” เขาไม่อยากให้พี่ชายของตัวเองเป็นมือที่สามของใคร
พวกเขาไม่สนใจการหย่าร้างหรอก และพวกเขาก็ไม่ได้สนใจคนอื่นด้วย เพียงแต่กลัวเรื่องการดูหมิ่นดูแคลนของพี่น้องตัวเองมากกว่า
ทันใดนั้นจิ่งเป่ยเฉินก็กำปากกาแน่นจนแทบจะหัก ชายผมทองที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ของเธอในวันนั้น ทำให้ใจของเขามีไฟลุกโชนขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้
ภายในห้องทำงานที่เงียบสงบสามารถได้ยินแค่เสียงดัง ‘ปัง ปัง’ ชายสองคนที่อยู่ตรงนั้นกำลังรู้สึกจนมุม
หลังจากนั้นผ่านไปไม่นานจิ่งเป่ยเฉินก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ในที่สุดก็ตัดสินใจได้แล้ว”
เพียงแต่ว่าอันโหรวยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลินจือเซี๋ยวขอให้เธอขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อรายงานตัว หลังจากที่โทรเพียงครั้งเดียวเธอก็ต้องเก็บข้าวของและมุ่งตรงไปยังสนามบิน
ด้วยงานพวกนี้เธอบอกว่าน่าจะอย่างน้อยหนึ่งเดือนถึงจะกลับมาได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่าอันโหรวจะต้องเป็นเลขาให้จิ่งเป่ยเฉินเป็นเวลาหนึ่งเดือนแทนเธอนั่นเอง
คนในแผนกวางแผนทุกคนที่กำลังเฝ้าดูอันโหรวที่มาทำงานได้ไม่นานก็ต้องเก็บข้าวของด้วยสีหน้าบึ้งตึง นั่นทำให้ทุกคนต่างกระซิบกระซาบพูดคุยกันในทันที
ฉิวซีอยากจะเห็นเธอเสียใจมาก ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสดี ๆ แบบนี้อีกเมื่อไหร่ เธอถือถ้วยกาแฟก่อนจะยิ้มและเดินไปข้าง ๆ อันโหรว “อะไรกัน ถูกเลิกจ้างตั้งแต่แผนแรกยังไม่เสร็จแบบนี้ ดูท่าประธานจิ่งคงสั่งไล่ออกสินะ สมกับเป็นประธานจิ่งจริง ๆ การตรวจสอบของเขาย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน”
อันโหรวหยุดมือที่กำลังถือปากกาไว้ชั่วคราว ก่อนจะวางลงในกล่องอย่างไม่สนใจ และพูดอย่างใจเย็นว่า “ใครบอกเธอว่าฉันถูกไล่ออก?”
ในความเป็นจริงเธอนั้นแอบดูจิ่งเป่ยเฉินตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อเห็นชายคนนั้นบ่งบอกชัดเจน ตัวเธอก็ไม่ได้สบายใจ แต่ในเมื่อเป็นหัวหน้าใหญ่ เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำตามไปแบบนั้น
หัวหน้าเลขา?
เหอะ เหอะ……
ในใจของเธอมีแต่เสียงที่เย็นชา จากแผนกวางแผนกลายเป็นเลขา ดูท่ามีแต่จิ่งเป่ยเฉินเท่านั้นแหละที่่คิดแบบนี้ได้
ไม่เคยปล่อยให้สบายใจสักครั้งเลย!
“ไม่ได้ถูกไล่ออก แล้วเธอจะเก็บข้าวของทำไมกัน ได้เลื่อนตำแหน่งงั้นเหรอ?” ฉิวซีจิบกาแฟอย่างอารมณ์ดี กาแฟที่ขมเล็กน้อยเมื่อเข้าปากก็รู้สึกได้ถึงรสหวาน ๆ ของมัน
ถึงแม้ว่าในแผนกวางแผนตัวเธอจะไม่ได้มีตำแหน่งที่สูงมาก แต่เธอก็ไม่รู้ว่ามีการเลื่อนตำแหน่งนอกเหนือจากนั้นหรือเปล่า
ไม่มีประกาศ ไม่มีอะไร แต่อันที่จริงเธอก็ได้รับเลื่อนตำแหน่งไปเสียแล้ว
เพียงแต่ว่าตำแหน่งหัวหน้าเลขาของจิ่งเป่ยเฉินนั้นอยู่สูงกว่าเธอมาก ๆ เพราะเธอเป็นแค่หัวหน้าทีมของแผนกวางแผน
“ทำไมไม่พูดหน่อยล่ะ?” ฉิวซีขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่พอใจกับการที่ถูกเมินเฉยแบบนี้เป็นอย่างมาก