ตอนที่ 147 มีสัมพันธ์กันจริง ๆ
เธอกังวลใจมากจนไม่สนใจแม้กระทั่งฉิวซี แต่ฉิวซีก็ยังคงมาคอยปั่นป่วนอยู่ตรงหน้าเธอไม่หยุด มันเลยทำให้เธอรู้สึกรำคาญมากขึ้น
“ถ้าหากว่าหัวหน้าทีมฉิวซีคิดถึงฉันละก็ สามารถไปหาฉันที่ชั้นสิบห้าได้นะคะ” เธอหยิบกล่องที่ถูกจัดเก็บไว้ตรงหน้า และยิ้มบาง ๆ ให้ ใบหน้าที่ซีดขาวเหลืองเมื่อยิ้มออกมานั้นดูน่ากลัวไม่ใช่น้อย
“ชั้นที่สิบห้า?” ดวงตาของฉิวซีเบิกกว้างขึ้น ชั้นนั้นเป็นชั้นของประธานจิ่งไม่ใช่เหรอ?
เธอไปทำอะไรชั้นที่สิบห้ากัน?
เสียงอันโหรวไม่ได้ดังหรือเบาจนเกินไป พนักงานทุกคนเมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ต่างก็ซุบซิบกันทันที
“เธอ……” ก่อนที่ฉิวซีจะพูดอะไรก็ได้ยินเสียงผู้ชายดังมาจากด้านหลัง
“เลขาอัน เตรียมพร้อมแล้วใช่ไหม?” ฉีเซิงเทียนเดินอย่างใจเย็นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูหล่อเหลา ดวงตานุ่มลึกจ้องมองไปยังฉิวซี และพูดขึ้น “หัวหน้าทีมฉิวซีงานยุ่งมากหรือเปล่า?”
“เลขา?” ฉิวซีมองไปยังอันโหรวที่กำลังถือกล่องไม้และกำลังจะเดินออกไป “คำพูดของผู้จัดการฉีนี่หมายความว่ายังไงเหรอคะ อันอีหานจะไปเป็นเลขาของประธานจิ่ง?”
“ทำไม? จิ่งเป่ยเฉินเลือกใครสักคนที่เป็นลูกน้องของหัวหน้าฉิวไม่ได้เหรอ?” ฉีเซิงเทียนเหลือบมองไปยังอันโหรวอย่างเกียจคร้านก่อนจะพูดขึ้นว่า “เร็วเข้า รีบขึ้นไป เดี๋ยวจะมีประชุมแล้ว”
“ค่ะ! ผู้จัดการฉี!” เธออยากจะเอ่ยถามจริง ๆ ว่าหัวหน้าเลขาอะไรเนี่ยมันสบายบ้างหรือเปล่า?
จิ่งเป่ยเฉินไม่กังวลหน่อยเหรอว่านี่จะเสียหน้ามากเลยนะถ้าเกิดเธอต้องออกงานสังสรรค์ของบริษัทจิ่งในอนาคตเนี่ย?
ฉีเซิงเทียนเดินไปข้างหน้า อันโหรวจึงรีบเดินตามเขาไปอย่างสบาย ๆ พร้อมกับกล่องไม้ที่อยู่ในอ้อมแขน ทุกคนในแผนกวางแผนที่ได้เห็นก็ต่างตกตะลึงกันใหญ่โต
หรือว่าประธานจิ่งกับอันอีหานจะมีความสัมพันธ์กันจริง ๆ?
แม้ว่าจะถูกย้ายไปยังชั้นที่สิบห้า แต่ก็ไม่จำเป็นถึงขนาดต้องให้ผู้จัดการฉีมารับด้วยตัวเองเลย แบบนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าอันอีหานนั้นอยู่ในใจของประธานจิ่งมากแค่ไหน และเป็นคนสำคัญมากจริง ๆ
พวกเขาทั้งหมดต่างก็เห็นด้วยกันหมด และรู้สึกโชคดีที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรให้เธอโกรธ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงซวยแน่ ๆ
ภายในลิฟต์ที่กำลังขึ้นไปยังชั้นบน ฉีเซิงเทียนมองไปด้านข้างอย่างไม่รู้ตัว ชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและกระโปรงสีดำที่สวมใส่อย่างมืออาชีพบนตัวเธอ บ่งบอกถึงความสามารถและสิ่งต่าง ๆ ของเธอได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะรูปร่าง ถ้าหากไม่นับใบหน้าละก็ ตัวเธอนั้นดูเหมาะสมเป็นอย่างมาก
แต่ใบหน้าที่เห็น มองยังไงก็ดูขัดตาไปหน่อย หรือว่าจิ่งเป่ยเฉินจะชื่นชอบรูปร่างของเธอกัน?
ฉีเซิงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย มุมปากขยับขึ้น ก็คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้!
อันโหรวคงต้องโกรธแน่นอน ถ้าหากเธอรู้ว่าฉีเซิงเทียนยังคงพิจารณาและหาวิธีต่าง ๆ ให้จิ่งเป่ยเฉินกับเธอนั้นลงเอยกัน แน่นอนว่าเมื่อโกรธก็คงเอามือที่ถือกล่องอยู่ในตอนนี้ทุบใส่หน้าเขาแน่ ๆ
ฉีเซิงเทียนพาเธอมาที่ห้องของเลขาหลิน ระหว่างที่เธอกำลังวางกล่องและเก็บข้าวของอยู่นั้น จู่ ๆ ฉีเซิงเทียนก็พูดขึ้นว่า “ไปที่ห้องประธานก่อนเถอะ”
“ค่ะ” เธอหันหน้าเดินออกไป แม้คิ้วจะขมวดขึ้น มือจะกำแน่น หนำซ้ำยังกัดฟันด้วยความโกรธก็ตาม
หัวหน้าเลขาของจิ่งเป่ยเฉินไม่เหมือนกับพนักงานในแผนกวางแผนที่มีอิสระเลยแม้แต่น้อย หลินจือเซี๋ยวก็ออกไปทำงานข้างนอก หลังจากนี้เธอจะไปรับหยางหยางกับหน่วนหน่วนยังไงดี?
ที่หน้าประตูสีน้ำตาลแดง ฉีเซิงเทียนก็หายตัวไปแล้ว เมื่อคิดถึงช่วงเวลาดี ๆ กับเขาในห้องรับรองในวันนั้น เธอก็รู้สึกต่อต้านและไม่อยากที่จะเข้าไป
จิ่งเป่ยเฉิน เจ้าหมอนี่ไม่มีทางที่จะกลายมาเป็นคนรักของเธอได้แน่นอน ต่อให้เขาจะกินเนื้อ เธอก็ไม่มีทางยกตัวเองไปเสิร์ฟหรอก
ไม่อย่างนั้นจะต้องมีงานอะไรถึงขนาดต้องให้หลินจือเซี๋ยวออกไปทำแบบนั้นด้วย?
สมรู้ร่วมคิดกันแน่ ๆ!
เธอกำหมัดแน่นอยู่ที่หน้าประตู แม้ใจอยากจะทุบประตู แต่ฉีเซิงเทียนบอกก่อนหน้านั้นว่าอีกเดี๋ยวจะมีประชุมสำคัญเกิดขึ้น อันโหรวต้องมาทำงานก่อน เธอเลยได้แต่จำใจฝืนเคาะประตูเท่านั้น
ไม่ช้าเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น “เข้ามา”
คำง่าย ๆ สองคำที่ทำให้อันโหรวรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นผิดจังหวะ
ไม่นานมานี้เธอดีใจที่จือเซี๋ยวทุก ๆ วันต้องเผชิญหน้ากับจิ่งเป่ยเฉิน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการแก้แค้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้ เธอกลายเป็นหัวหน้าเลขานุการไปซะแล้ว!!
จิ่งเป่ยเฉิน ฉันเกลียดนาย!
เธอเปิดประตูก่อนจะยิ้มกว้างและเดินเข้าไปด้านใน ก่อนจะมองไปยังจิ่งเป่ยเฉินที่กำลังอนุมัติเอกสารด้วยท่าทีที่จริงจัง
แสงแดดอ่อน ๆ ที่กระทบเข้ามาจากหน้าต่างมุมสูง มันทำให้เห็นห้องที่กว้างขวางและเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้กระทั่งการมองไปที่ใบหน้าที่เย็นชาของเขา มันเหมือนกับทำให้จิ่งเป่ยเฉินรู้สึกอ่อนโยนมากขึ้น
เธอต้องสลัดภาพหลอนนี้ไปให้ไกล ๆ แล้วสิ!
………………….
ตอนที่ 148 อุ่นเตียง
“ประธานจิ่ง สวัสดีค่ะ ฉันเป็นเลขาคนใหม่ของคุณ อันอีหานค่ะ ประธานจิ่งมีอะไรให้ฉันทำไหมคะ?” เธอเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะโค้งตัวลงเล็กน้อย พลางทำท่าทางเคารพนับถือเขา
หลังจากที่รอประมาณหนึ่งนาที เธอก็ไม่ได้ยินคำตอบของจิ่งเป่ยเฉิน ขณะที่เธอกำลังจะออกไปก็เงยหน้ามองเขาราวกับว่าเธอกำลังคิดจะรบกวน
ให้ตายสิฉีเซิงเทียน รายงานอะไรกัน เห็นได้ชัดว่าเขาชนปากกระบอกปืนชัด ๆ
ระหว่างที่เธอกำลังจะหมุนตัวกลับ ที่ด้านหลังก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “อุ่นเตียง”
เธอรู้อยู่แล้วว่าจิ่งเป่ยเฉินไม่มีทางปล่อยให้เธออยู่อย่างสุขสบายแน่ ๆ
คิดไว้แล้วเชียว…..
เธอรีบหันไปยิ้มให้ ก่อนจะตอบว่า “ประธานจิ่งคุณล้อเล่นใหญ่แล้ว ในเมื่อคุณไม่บอกมาแบบนี้ ฉันจะไปถามเลขาหลินหรือผู้จัดการฉีละกันว่าต้องทำอะไร”
ไม่ช้าจิ่งเป่ยเฉินก็ลุกขึ้นมา เธอก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะเอามือกุมหน้าอกและมองไปที่เขาราวกับเห็นหมาป่าผู้หิวโหยที่จ้องจะกระโจนเข้าใส่เธอได้ทุกเมื่อ
จิ่งเป่ยเฉินกวาดตามองท่าทางของเธอ มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยและพูดว่า “ไปหยิบเอกสารมาสิ เดี๋ยวเราจะเริ่มประชุมกัน”
เธอยังไม่ทันได้สำรวจรอยยิ้มแปลก ๆ ของจิ่งเป่ยเฉินอย่างละเอียด ก็ต้องรีบวิ่งไปที่โต๊ะทำงานและหยิบเอกสารมา พลางเดินตามหลังเขาออกไปทันที
แต่ทันทีที่เธอเดินเข้าไปในห้องประชุม อันโหรวก็ได้เห็นใบหน้าที่ไม่อยากจะคิดถึง เห่อฮวาฮุย!
เมื่อเห่อฮวาฮุยมองเห็นเธอเดินเข้ามาก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพียงแต่ว่ากลับถูกอันโหรวทำท่าเฉยเมยใส่
สกุลเห่อถูกจิ่งเป่ยเฉินซื้อมา ย่อมมีรายละเอียดมากมายที่ต้องหารือ และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้มาทำงานเป็นเลขา ยังดีที่ก่อนหน้านี้ได้เข้าร่วมการประชุมมาไม่ใช่น้อย เคยพบเห็นมาหลายรูปแบบ อีกทั้งยังมีฉีเซิงเทียนอยู่ข้าง ๆ
การประชุมมันค่อนข้างยาวนานกว่าที่เธอคิด ลากยาวจนถึงบ่ายโมงกว่าจะเสร็จสิ้น ท้องของเธอเริ่มหิว หัวใจเธอก็เริ่มโกรธเคืองจิ่งเป่ยเฉินมากขึ้นเรื่อย ๆ
“รายละเอียดสัญญาถูกจัดเตรียมไว้แล้ว พรุ่งนี้เช้าหวังว่าผมจะได้เห็นมันที่โต๊ะทำงานนะ” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยประโยคคำสั่ง ก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟต์ส่วนตัว
รายละเอียดที่มีมากถึงขนาดนั้น วันพรุ่งนี้อย่างนั้นเหรอ? เธอไม่ใช่เครื่องจักรนะ!
เธออยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก งานของเลขานี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้เลยจริง ๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกของงาน เธอเองก็คิดอยากจะทำให้มันเสร็จเหมือนกัน
ดูเหมือนว่าคืนนี้เธอคงต้องทำงานล่วงเวลากะดึกซะแล้ว เพียงแต่จิ่งเป่ยเฉินไม่อยู่ที่นี่ เธอก็สามารถแอบออกไปได้
เมื่อคิดถึงเรื่องที่จะไปรับหยางหยางกับหน่วนหน่วนหลังเลิกเรียน ใบหน้าก็พลันเป็นกังวลขึ้นมา ก่อนจะถือเอกสารการประชุมเข้าไปในห้องของตัวเอง
……
ที่บ้านสกุลจิ่ง ตั้งอยู่ครึ่งทางของเขาเหยียนฮวา อาคารรูปทรงจันทร์สีขาวเงินสี่ชั้นซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางภูเขาและแม่น้ำ สภาพแวดล้อมนั้นเงียบสงบ อากาศก็ดีไม่เลว
รถสีดำเข้าใกล้ขึ้นมาเรื่อย ๆ หากเปิดหน้าต่างก็จะสามารถได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ที่โชยมา ดอกไม้สีเหลืองอ่อนร่วงหล่นลงสู่พื้น กลิ่นของมันก็เริ่มหอมมากขึ้นเรื่อย ๆ
หญิงสาวสวยคนหนึ่งเมื่อเห็นรถที่กำลังเข้ามาก็ตะโกนขึ้นว่า “คุณนาย คุณชายกลับมาแล้ว!”
จิ่งเป่ยเฉินเปิดประตูรถลงมา ใบหน้าเย็นชาเผยรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนที่จะขยับชุดสูทและเดินเข้าไปด้านใน
“เฉินเอ๋อร์!” ซูรั่วหยาได้ยินเสียงคนรับใช้ที่มารายงาน เธอตื่นเต้นและรีบเดินลงมาจากชั้นบนทันที เธอพูดกับจิ่งเป่ยเฉินมาตั้งนานแล้วเกี่ยวกับเรื่องแต่งงาน ในที่สุดเขาก็สนใจเรื่องการแต่งงานเสียที แล้วจะไม่ให้เธอตื่นเต้นได้ยังไง
แต่เมื่อเธอเห็นว่าจิ่งเป่ยเฉินกลับมาคนเดียว ใบหน้ายิ้ม ๆ ของเธอก็หายไปเกือบครึ่ง ฝีเท้าของเธอก็เดินช้าลงขึ้นมาก
“เฉินเอ๋อร์ ผู้หญิงที่ลูกชอบอยู่ไหน ทำไมถึงไม่พามาด้วย?” เธอถามพลางมองไปด้านหลังของเขา
จิ่งเป่ยเฉินเดินไปนั่งที่โซฟา คนรับใช้ต่างก็รีบยกถ้วยน้ำชาร้อน ๆ มาให้เขา ขณะที่กำลังจะยื่นมือออกไปรับ ซูรั่วหยาก็เดินเข้ามาใกล้ ๆ เขา “ลูกสะใภ้ฉันอยู่ไหน!”
เขามองไปที่ชาร้อน ๆ ในมือ ก่อนจะเอนตัวพิงกับโซฟาและพูดว่า “ทำงาน”
“ทำงาน?” ซูรั่วหยาเหลือบมองไปยังนาฬิกาแขวนผนังเก่า ๆ ก่อนจะพูดว่า “ทำไมลูกถึงไม่กลับช้า ๆ และพาเธอกลับมาด้วย!”
“ป้าจาง เตรียมข้าวหน่อย ผมยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย” เสียงของเขาเอ่ยอย่างแผ่วเบา แต่ก็จำได้ว่าอันอีหานก็ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน
เธอไม่ควรคิดที่จะงี่เง่าถึงขนาดไม่ยอมกินอาหารแบบนั้น!
“ลูกไม่ไปกินข้าวกับแฟนหน่อยเหรอ ทำไมถึงกลับมากินข้าวที่บ้าน น่าแปลก ทำไมถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้!” ซูรั่วหยาคิดว่าตัวเองแต่งงานตอนอายุสิบแปด แต่พอมาถึงลูกชายอายุยี่สิบเก้า เธอก็อดไม่ได้ที่จะโทษตัวเอง
เป็นแม่แต่ไม่ได้คิดดูแลเขา มันเลยทำให้เขาโตแต่กลับไม่ยอมแต่งงาน