ตอนที่ 169 สตูดิโอถ่ายภาพ
เธอมองไปรอบ ๆ สตูดิโอ ก่อนจะเดินไปยังมุมเงียบ ๆ และยืนนิ่งเพื่อโทรศัพท์ไปยังห้องทำงานของฉีเซิงเทียนอย่างรวดเร็ว
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนที่ปลายสายจะรับ เธอไม่ได้เอ่ยทักทายอะไร แต่กลับพูดออกไปตรง ๆ ว่า “หาเหอเฉ่าไม่พบค่ะ ฉันอยากได้ข้อมูลแบบละเอียดของเธอหน่อย คุณสามารถค้นหาอะไรได้บ้าง ช่วยส่งมาที่โทรศัพท์ฉันทีนะคะ”
“แน่นอนว่าได้อยู่แล้ว แต่เธอหายตัวไปแบบนี้คงไม่ได้เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นใช่ไหม?” ฉีเซิงเทียนนึกขึ้นมาได้ว่าไม่กี่วันตอนนั้นคนรักตัวน้อยของโอวหยางลี่ได้ลักพาญาติของเธอไป อาจจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องหรือเปล่า
“หวังว่าคงไม่ค่ะ แต่ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้นมีข้อมูลบอกว่าเธอจะถึงแล้ว แต่ตอนนี้กลับยังไม่มาถึง จริงสิ เรื่องแบบนี้อย่าเพิ่งบอกประธานจิ่งนะคะ” เธอไม่ลืมที่จะเตือนให้ปลายสายรับทราบ ก่อนจะเตรียมวางสาย
“คุณพูดเองนะ! ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา คุณต้องรับผิดชอบทั้งหมดนะ” ฉีเซิงเทียนต้องการที่จะทดสอบความสามารถของเธอ เนื่องจากตัวเธอเอ่ยออกมาว่าห้ามบอกจิ่งเป่ยเฉิน เขาเองก็จะไม่พูดเรื่องนี้
“แน่นอนค่ะ เดิมแผนนี้ก็เป็นฉันดูแลอยู่แล้ว” รวมถึงเหอเฉ่าด้วย ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรเข้า เธอก็แค่หวังว่ามันจะเป็นแค่การจราจรติดขัดเท่านั้น
หลังจากที่วางสายจากฉีเซิงเทียน เธอได้ก็รับข้อมูลต่าง ๆ อย่างรวดเร็วของเหอเฉ่า มันปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ อย่างที่เธอเคยได้ยิน สวนสนุกนั้นแต่ก่อนพ่อของเธอทำงาน แต่ก็ตกงาน ส่วนแม่ของเธอก็สุขภาพไม่ดี แถมสาขาการเรียนเป็นด้านการแสดงที่มีราคาค่อนข้างแพงอีกด้วย
เนื่องจากก่อนหน้านั้นเป็นเวลานัดหมายกับเธอล่วงหน้า ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไปอยู่ที่มหาวิทยาลัย แต่อาจจะอยู่ที่โรงพยาบาล
แต่ว่าเหอเฉ่าก็เพิ่งส่งข้อความมาว่าอยู่บนถนน แต่ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ เธอก็ควรจะไปดูที่โรงพยาบาลสักหน่อย
เธอกำโทรศัพท์ในมือไว้แน่น ก่อนจะเดินไปรอบ ๆ และเดินออกไปจนเกือบจะชนกับใครบางคน แต่หลังจากที่ออกมาก็พบเห็นคนคนหนึ่งเข้า คนคนนั้นคือฉิวซี ซึ่งเธอไม่ได้เจอมานานแล้ว
“ที่แท้ก็เลขาอัน ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ ว่างยังงั้นเหรอ?” ฉิวซีมองเธอด้วยรอยยิ้ม พลางจับจ้องสายตาไปที่ใบหน้าของอันโหรว ก่อนจะพูดว่า “ในฐานะที่คุณเป็นเลขาของประธานจิ่ง คุณไม่คิดจะเปลี่ยนสีรองพื้นหรืออะไรบ้างเลยเหรอ? ทุกวันแต่งหน้าแบบนี้เกรงว่าคงได้กระทบต่ออารมณ์ของประธานจิ่งเข้าแน่ ๆ”
“หัวหน้าฉิว คุณคิดว่าประธานจิ่งแค่เห็นของพวกนี้จะมีผลกระทบต่องานและอารมณ์ด้วยเหรอคะ? นอกจากนี้ฉันยังเป็นถึงหัวหน้าเลขา คงไม่ได้มานั่งติดตามเขาอยู่ตลอดเวลาหลายชั่วโมงหรอกนะคะ” แต่เดิมทีเธอเป็นกังวลอยู่แล้ว ยิ่งมาถูกฉิวซีขวางประตูไว้อีกย่อมเกิดสีหน้าที่ไม่ดีเกิดขึ้น
“เธอ…….” ฉิวซีที่ได้ยินดังนั้นก็เริ่มรู้สึกโกรธมากขึ้น เธอไม่กล้าแม้แต่จะลูบคมจิ่งเป่ยเฉิน เว้นเสียแต่เธอไม่คิดจะอยู่ที่บริษัทจิ่งอีกต่อไป
“ฉันได้ยินมาว่าเหอเฉ่านั้นยังไม่มา” ฉิวซียกมือซ้ายขึ้น พลางเหลือบมองไปที่นาฬิกา ก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ทำยังไงดีล่ะ เหลือเวลาอีกแค่ห้าสิบนาที จะหาคนเจอไหมนะ?”
“หัวหน้าฉิวหรือว่าคุณหวังจะให้หาคนไม่พบ?” เธอยิ้มตอบกลับและมองไปที่ใบหน้าของเธอ ก่อนจะพูดว่า “มันยังไม่สายเกินไปหรอกนะที่จะหาคน หัวหน้าฉิวซีหวังว่าพอเจอหน้าประธานจิ่งแล้วฉันจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องสีหน้าของคุณและน้ำเสียงของคุณที่บอกกับฉันแบบนี้ละกันนะคะ”
“อย่ามาพูดไร้สาระนะ ฉันจะมาหวังหรือดีใจอะไรไปทำไม วันนี้เป็นวันถ่ายโฆษณาของบริษัทจิ่งซึ่งค่อนข้างสำคัญทั้งสำหรับฉันและตัวเธอ ฉันเองก็กังวลไม่แพ้เธอเหมือนกันนั่นแหละ!” ฉิวซีเองก็เผยความกังวล แต่เมื่อครู่นี้เธอแค่ทำท่าดูเหมือนเรื่องตลกเท่านั้นเอง ถ้าเกิดว่าเจออุบัติเหตุอะไรเข้าจริง ๆ เธอคงไม่อาจจะละทิ้งความรับผิดชอบนั้นได้แน่
“คุณจะมาอยู่ต่อหน้าฉันและอธิบายอะไรพวกนี้ยังไงก็ช่าง แต่จำไว้ด้วยว่าเมื่อไหร่ที่ประธานจิ่งมา พอถึงตอนนั้นให้ฉันออกแรงช่วยพูดให้คุณก็คงเป็นไปไม่ได้ ถ้าคนอื่นฉันพูดแทนได้ แต่คุณฉันคงช่วยพูดไม่ได้” เวลาเร่งด่วนแบบนี้ ความจริงแล้วเธอเองก็ไม่อยากต่อปากต่อคำกับเธอเหมือนกันเพราะยังมีสิ่งที่ต้องรีบจัดการ
ฉิวซีมองเธอด้วยความโกรธ ขณะที่เธอกำลังอ้าปากพูดขึ้นก็เหลือบเห็นเธอหันหลังกลับเข้าไปในสตูดิโอแล้ว เธอจึงเดินตามไปเพราะความอยากรู้อยากเห็น
แม้ว่านี่จะเป็นสตูดิโอที่มีไว้ถ่ายภาพโฆษณา แต่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของผู้กำกับและทีมถ่ายภาพที่ดีที่สุดในประเทศอีกด้วย แม้ว่าพวกเขาจะอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ก็ต้องสงบสติอารมณ์ก่อนจะหาเหอเฉ่าพบ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นเสียงานเสียการเอาได้
เธอเดินผ่านผู้กำกับที่รับผิดชอบดูแล ก่อนจะรีบไปคุยกับช่างภาพที่อยู่ด้านข้าง เธอหันหน้าไปมองและพูดว่า
“ผู้กำกับเจียง…….”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน? เมื่อครู่ผมได้ยินว่าหาคนไม่พบอย่างนั้นเหรอ ผมพูดเลยนะ พวกคุณต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด! รู้ใช่ไหมว่าเวลาของผมมีค่ามากแค่ไหน?” ผู้กำกับเจียงหลิวเงยหน้ามองเธอ ก่อนจะแสดงอารมณ์ที่โกรธเคืองอยู่บนใบหน้า “ผมให้เวลาอีกครึ่งชั่วโมง ถ้าหากคนยังไม่มาอีกละก็ วันนี้ผมจะไม่ถ่ายแล้ว!”
“ผู้กำกับเจียง ต้องขอโทษด้วยที่วันนี้เกิดอุบัติเหตุ ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ตรงนั้นมีร้านกาแฟอยู่ ผู้กำกับเจียงไปตรงนั้นและนั่งพักผ่อนเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะดีไหมคะ พอทุกอย่างจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวจะเชิญคุณมาอีกครั้ง ตอนนี้คุณไปพักผ่อนก่อนก็ได้ค่ะ” แม้ว่าใบหน้าของเธอจะซีดเซียวแต่เธอก็พยายามพูดอย่างจริงใจและอ่อนน้อมถ่อมตน
แม้ว่าเจียงหลิวอยากจะโกรธมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็โกรธไม่ลง
“ก็ได้! เอาแบบนั้นก็ได้!” เจียงหลิวลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนจะกวักมือของเขาอย่างหยิ่งผยอง “พักผ่อน พักผ่อน!”
“ผู้กำกับเจียง ฉันจะพาคุณไปที่นั่นนะคะ” อันโหรวเผยมือออกไปทำท่าเชิญ ก่อนจะเดินออกไปข้าง ๆ เจียงหลิว
ที่ด้านหลังของเธอ ฉิวซีที่ได้เห็นเหตุการณ์พวกนี้ แม้ว่าตัวเธอคิดอยากจะไปข้างหน้า แต่เมื่อเห็นใบหน้าของเจียงหลิวแล้ว ตัวเธอก็ก้าวขาไม่ออกทันที
ทำได้แค่ยืนนิ่งและดูพวกเขาเดินออกไป ถึงแม้ว่าเธอจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ แต่เธอก็อยากจะเห็นอันอีหานที่ขี้เหร่นั้นออกจากบริษัทจิ่งไปซะ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะสามารถจัดการอารมณ์ของเจียงหลิวได้ด้วยคำพูดแค่ไม่กี่คำ ไม่คิดเลยว่าเธอจะพูดได้ดีขนาดนี้
เพียงแต่ว่าจะปลอบโยนเจียงหลิวแล้วยังไง? เธอยิ้มอย่างชั่วร้ายขณะหยิบโทรศัพท์ออกมา ถ้าหากเรื่องนี้้ถูกรายงานให้จิ่งเป่ยเฉินทราบละก็ เขาคงไล่เธอออกไปแน่นอน จิ่งเป่ยเฉินคงไม่เก็บเธอไว้แน่ ๆ
นอกจากนี้เธอยังเป็นแค่หญิงแก่และน่าเกลียด
หลังจากที่อันโหรวส่งเจียงหลิวไปที่ร้านกาแฟแล้ว เธอก็รีบออกไปโทรศัพท์หาเหอเฉ่าทันที แต่ก็ไม่มีใครรับโทรศัพท์สักคน
เธอวางสายโทรศัพท์ก่อนจะรีบไปที่รถ เธอจับพวงมาลัยแน่นด้วยมือทั้งสอง ก่อนจะมองไปที่ฝูงชนที่ด้านหน้ารถ พลันก็ได้คิดคำถามเหล่านี้ขึ้นมาในใจ
พูดตามเหตุผลแล้ว เหอเฉ่าเป็นแค่เด็กใหม่ ไม่น่าจะทำให้ใครขุ่นเคือง แล้วใครจะสร้างปัญหาให้เธอกัน?
หรือจะเป็นคู่แข่งของบริษัทจิ่ง? ถึงมีคนใช้วิธีการแบบนี้?
เหอเฉ่าเป็นโฆษกโฆษณาของผลิตภัณฑ์ใหม่ ถ้าหากคนภายในของบริษัทจิ่งไม่ได้แพร่งพรายข่าว ก็คงจะมีแต่ครั้งนั้นที่สตูดิโอ เหอเหมียว เหลียวเว่ย และก็ลูซี่อีกคนที่รับรู้
เหอเหมียวอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่น่าจะทำอะไรแบบนั้นได้ หนำซ้ำยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเองอีกต่างหาก ส่วนลูซี่น่าจะพยายามหาหนทางเอาชนะใจจิ่งเป่ยเฉิน ต่อให้ต้องรับมือกับเธอยังไงก็คงไม่เลือกวิธีนี้แน่ ๆ เพราะถ้าหากเขารู้เข้าก็คงมีแต่เกลียดมากกว่าเดิม
ทันใดนั้นใบหน้าของเหลียวเว่ยก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ หรือว่าผู้หญิงที่ชอบโอวหยางลี่คนนั้นจะใช้วิธีการแบบนี้ ลักพาตัวขึ้น?
แต่แล้วจู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ทำลายความนึกคิดของเธอทันที เธอรีบก้มลงไปดู ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาและพบว่าเป็น ‘ประธานจิ่ง’ โทรเข้ามา เธอได้รู้ทันทีว่าซวยแล้ว
ฉิวซีเธอจะขี้ฟ้องเร็วเกินไปแล้ว เธอเพิ่งจะออกจากร้านกาแฟได้แค่สิบกว่านาที จิ่งเป่ยเฉินก็โทรมาซะแล้ว
เธอรับโทรศัพท์ของเขา และจอดรถอยู่ที่ริมทาง ก่อนจะเอ่ยว่า “ประธานจิ่ง มีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
“คุณอยู่ไหน?” ตอนนี้จิ่งเป่ยเฉินได้ออกจากตึกบริษัทจิ่งไปแล้ว และเตรียมตัวจะไปดูเหตุการณ์ที่สตูดิโอถ่ายภาพ
เสียงทุ้มต่ำที่คล้ายกับแม่เหล็กดังขึ้นในสาย มันทำให้มือซ้ายของเธออดไม่ได้ที่จะจับพวงมาลัยแน่นขึ้น