ตอนที่ 172 เธอมั่นใจว่าผู้หญิงคนนั้นคืออันโหรว
เธอมั่นใจว่าผู้หญิงคนนั้นคืออันโหรว จะต้องเป็นเธอแน่ ๆ! เธอจงใจแต่งหน้าให้เป็นแบบนั้น!
ตอนที่พวกเขาแต่งงานกันก็ถูกทำให้อับอาย แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็ถูกจิ่งเป่ยเฉินเอาใจใส่ อุ้มเธอและเดินออกไป
โอวหยางลี่กับอันโหรวเป็นคู่รักมาตั้งแต่เด็ก ๆ เขารู้ดีว่าเธอนั้นรู้สึกลึกซึ้งกับเขามากแค่ไหน ซึ่งในส่วนนี้เขาจะไม่มีทางปล่อยให้อันโหรวได้ปรากฏตัวต่อหน้าโอวหยางลี่อีก
เมื่อเทียบกับอันโหรว สิ่งที่คุกคามอย่างเหอเหมียวนั้นดูธรรมดาและไม่คุ้มค่าที่จะเอ่ยถึง หลายวันมานี้ทุกครั้งที่เธอนึกถึงสายตาที่เยือกเย็นของโอวหยางลี่ที่มองไปยังอันอีหาน เธอก็โกรธจนแทบนอนไม่หลับ
และเธอยังบังเอิญได้ยินเฉาลี่เฟยพูดถึงเรื่องตั้งครรภ์เข้าพอดี มันเลยทำให้เธอไม่อาจปล่อยให้โอวหยางลี่ไปหาผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกได้แน่ ๆ เพราะกลัวว่าเขาจะไปทำให้ผู้หญิงพวกนั้นท้อง ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นละก็ ต่อไปเธอจะมีที่อยู่ในตระกูลโอวหยางอีกได้ยังไงกัน?
“ทำไมเธอทำถึงแบบนี้? ฉันจัดแจงทุกอย่างให้เธอแล้ว ลูกพี่น้องลูกฉันก็ไม่ได้ชอบพี่โอวหยาง เพราะงั้นเธอวางใจได้เลย!” เธอยังมีอารมณ์ที่จะมาตัดสินนิสัยของเหอเฉ่าอยู่อีก ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่กล้าพูดอะไรแบบนี้แต่แรกแน่ ๆ
“หึ” เหลียวเว่ยกลอกตามองบน ก่อนจะพูดว่า “ไม่รู้สินะ?”
“เธอพูดอะไร เธอบอกว่าไม่รู้? เธอรอก่อนเถอะ ผู้หญิงที่พี่โอวหยางชอบมากที่สุดก็คือฉัน เมื่อไหร่ที่อาการบาดเจ็บของฉันหายดี ฉันจะ…….” เหอเหมียวเงยหน้ามองเธออย่างดุดัน
“เธอจะทำไม? ฉันทำร้ายเธอแค่ครั้งเดียว ครั้งต่อไปก็สามารถทำได้ ถ้าหากเธอออกจากเตียงและไม่อยู่นิ่ง ครั้งหน้าฉันจะทำให้เธอต้องนอนตลอดไป” มุมปากของเหลียวเว่ยยกขึ้น ใบหน้าแดงก่ำและพูดต่อ “ทางที่ดีอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าโอวหยางลี่อีก ไม่อย่างนั้นละก็ ฉันจะทำให้เธอหายไปจากเมือง A อีกตลอดไป”
“เธอทำแบบนี้พี่โอวหยางเขารู้บ้างหรือเปล่า?” เธอไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่มีความรู้สึกนึกคิดกับเรื่องพวกนี้ เหลียวเว่ยคนนี้คงคิดจะขู่เธอแน่ ๆ
“บอกความจริงกับเธอเลยนะ! โอวหยางลี่รู้ว่าฉันทำให้เธอต้องเข้าโรงพยาบาล แต่แล้วเป็นยังไงล่ะ เขาเคยมาเยี่ยมเธอบ้างหรือเปล่า เธอมันก็แค่คนที่เดินผ่านเข้ามาในสายตาเขา ไม่โดดเด่น ไม่ได้ดูดี เป็นเพียงแค่ความสนุกสนานเท่านั้น อย่างไรเขาก็ปฏิบัติกับฉันเป็นภรรยา ถึงจะไม่สนใจฉันบ้าง ส่วนเธอจะมาเทียบอะไรกับฉันได้” เหลียวเว่ยมองไปที่ใบหน้าของเธอที่เปลี่ยนไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอยิ่งชัดเจนมากขึ้น ก่อนจะพูดต่อ “คนเราควรรู้หน้าที่ของตัวเอง ไม่อย่างนั้นละก็ ครั้งหน้าฉันจะสอนบทเรียนด้วยเลือดของเธอแน่!”
เหอเหมียวนั่งอยู่บนเตียงมองไปยังเหลียวเว่ยที่เดินออกไป คำพูดเมื่อครู่นี้ทำให้แผ่นหลังของเธอรู้สึกถึงไอเย็นยะเยือก แค่คำพูดข่มขู่ไม่กี่คำ มีหรือที่เธอจะยอมแพ้ง่าย ๆ เธอไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะแพ้ให้กับผู้หญิงที่ทั้งแก่และขี้เหร่ ขาของเธอหายดีเมื่อไหร่ เธอก็สามารถกลับมาหาโอวหยางลี่ได้ทุกครั้ง หรือไม่เธอก็ไม่ต้องสนใจโอวหยางลี่อีก
ถ้าหากสามารถอยู่กับจิ่งเป่ยเฉินได้ละก็ แบบนั้นจะไม่ดีกว่าเหรอ!
เธอคิดถึงภาพของตัวเองในอนาคต ก่อนจะหัวเราะอย่างโง่เขลาอยู่หลายครั้ง
……
เมื่ออันโหรวกับจิ่งเป่ยเฉินกลับมายังสตูดิโอ พนักงานทุกคนต่างก็รีบออกมาต้อนรับ พร้อมกับตะโกนเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ประธานจิ่ง!”
ฉิวซีเดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างร่าเริง เมื่อเห็นจิ่งเป่ยเฉินเดินอยู่ข้าง ๆ อันโหรว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ก่อนจะปรากฏรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมา “ประธานจิ่ง ผู้กำกับเจียงได้บอกว่าในเมื่อโฆษกโฆษณายังไม่มา เรื่องเล็กน้อยพวกนี้จัดการก็ยังจัดการไม่ได้ มันเลยทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากเป็นพิเศษ วันนี้เลยไม่ถ่ายภาพแล้วค่ะ!”
ฝีเท้าของจิ่งเป่ยเฉินหยุดลง อันโหรวไม่ทันได้ตรวจสอบอะไรสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็เกือบจะแซงหน้าเขา ฝีเท้าของเธอหยุดลงอย่างกะทันหัน และก่อนที่จะได้เอ่ยปากพูดอะไร คนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ชิงเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“หัวหน้าฉิว” จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่ด้านข้างเธอ
เมื่อฟังน้ำเสียงของเขา ฉิวซีก็รู้สึกประหลาดใจ หรือว่าเขาจะมอบหมายงานหนัก ๆ ให้กับเธอกัน หรือว่า….
“ประธานจิ่ง ถ้าหากมีเรื่องอะไรจะสั่งก็สามารถสั่งได้เลยนะคะ ลูกน้องจะต้องทำให้สำเร็จแน่นอน!” เธอเงยหน้าสบตากับเขา ดวงตาที่ดำสนิทล้ำลึกตรงหน้าเธอนั้น มันทำให้เธอรู้สึกหวั่นวิตกเล็กน้อย สองมือของเธอกำหมัดแน่น รอคอยคำพูดของเขาต่อไปอย่างอดทน
“เรื่องวันนี้หัวหน้าฉิวควรอธิบายกับผมหรือเปล่า นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ผมรับช่วงต่อจากสกุลจิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมสงสัยว่าคุณจะทำงานให้กับสกุลจิ่งได้อีกต่อไปหรือไม่ ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม ลูกน้องทำผิด คุณก็ควรรับผิดชอบเรื่องนี้ หรือว่า…..” น้ำเสียงของจิ่งเป่ยเฉินหยุดไป แววตาเย็นยะเยือกเสียยิ่งกว่าเดิมจับจ้องไปที่อันอีหาน “คุณคิดว่าเลขาของผมมีวิชาแยกตัวไปหาคนคนหนึ่งภายใต้การดูแลได้เหรอ คุณคิดจะให้เธอจัดการอยู่อีกเหรอ”
น้ำเสียงของเขาดูสงบนิ่ง แต่ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็หยุดหายใจไปชั่วครู่ โดยเฉพาะฉิวซี
เล็บของเธอเกือบจะจมเข้าไปอยู่ในฝ่ามือของเธอ ทำไมเธอถึงลืมไปได้ว่าจิ่งเป่ยเฉินกับอันอีหานนั้นมีความสัมพันธ์ที่ผิดปกติ ปกติแล้วเธอมักจะบ่นอันอีหานต่อหน้าจิ่งเป่ยเฉินเป็นประจำอยู่แล้ว
“ประธานจิ่ง วันนี้เกิดเรื่องแบบนี้ฉันจะเป็นผู้รับผิดชอบเองค่ะ แต่ว่าอันอีหานแต่เดิมแล้วเธอเป็นผู้รับผิดชอบแผนนี้ ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นหัวหน้าทีม แต่ก็ไม่ได้มีอำนาจจัดการเท่าเธอ ความรับผิดชอบนี้อย่างน้อยเธอก็ต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกัน” มันไม่ง่ายเลยนะที่เธอจะเข้ามาทำงานที่บริษัทจิ่งได้ และยังเป็นตำแหน่งหัวหน้าทีมอีก มีหรือที่เธอจะยอมออกจากบริษัทจิ่งง่าย ๆ เธอไม่เต็มใจ!
“ตลอดทางอันอีหานบอกเรื่องพวกนี้ให้ผมฟังแล้ว เธอจะรับผิดชอบเหมือนกัน วันนี้การสูญเสียของบริษัทจิ่งจะหักเงินเดือนของเธอ ส่วนคุณ………” เขากวาดตามองไปที่เธอครั้งหนึ่งและพูดต่อ “ถูกไล่ออก!”
“ประธานจิ่ง ทำไมถึงหักเงินเดือนเธอแค่อย่างเดียวคะ แต่ฉันกลับถูกไล่ออก!” เธอไม่อยากถูกไล่ออก สวัสดิการของบริษัทจิ่งถือว่าดีที่สุดแล้วในเมือง A
“อยากให้ฉันโทรหาผู้กำกับเจียงไหม ฟังจากที่เธอพูดต่อหน้าเขาก็ได้ ในฐานะพนักงานของบริษัทจิ่งกลับปล่อยให้เรื่องใหญ่โตถึงขนาดนี้ หนำซ้ำยังไม่คิดแก้ไข แต่กลับสร้างปัญหาลับหลัง บริษัทเราไม่ต้องการพนักงานอย่างคุณหรอกนะ” จิ่งเป่ยเฉินพูดจบก็หันหลังเดินจากไป เขามาที่นี่ก็เพื่อพูดเรื่องพวกนี้เท่านั้น
แน่นอนว่าหากผ่านเรื่องพวกนี้ไป ใครที่กล้าขัดขาอันโหรวจากด้านหลังอีก ต่อไปก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไล่ออกอีกแล้ว
“ประธานจิ่ง ประธานจิ่ง!” ฉิวซีตะโกนออกมาอยู่หลายครั้ง พลางมองชายที่ทำท่าไม่ได้ยินและเดินออกไปอย่างไม่แยแส
บรรยากาศของสตูดิโอกดดันเสียจนไม่มีใครกล้าหายใจ จนกระทั่งจิ่งเป่ยเฉินออกไป ภายในสตูดิโอจึงเริ่มพูดคุยกัน
ฉิวซีมองหาอันอีหาน แต่ก็พบว่าเธอนั้นเดินตามหลังจิ่งเป่ยเฉินออกไปแล้ว ตอนนี้จึงไม่มีใครพบเห็นเธออีก
จิ่งเป่ยเฉินรู้ว่าเธอนั้นเดินตามหลังเขาอยู่ เมื่อออกมาจากตรงนั้นได้แล้วเขาจึงเดินช้าลง
เมื่อทั้งสองคนมาถึงที่รถ เสี่ยวหยางก็เปิดประตูรถ และเธอก็พูดขึ้น “ประธานจิ่ง ไม่เห็นจำเป็นต้องไล่ฉิวซีออกเลยนี่คะ?“
เมื่อครู่ที่เธออยู่ข้างใน เธออยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่จิ่งเป่ยเฉินก็ไม่เปิดโอกาสให้เธอพูดเลยสักคำ เธอจึงไม่อาจปฏิเสธการตัดสินใจของเขาได้ ออกมาก่อนสักพักถึงจะกล้าเอ่ยถาม
จิ่งเป่ยเฉินดึงเธอเข้ามาใกล้ มือขวาแนบไปที่เอวของเธออย่างเป็นปกติ น้ำเสียงที่ดูคลุมเครือกระซิบข้างหูเธอ “ถ้าหากคุณเป็นภรรยาของประธาน คุณก็มีอำนาจที่จะไม่ไล่เธอออก คุณคิดว่าไง?”
“ไม่มีทาง!” เธอคิดอยากจะยกมือขึ้น แต่กลับถูกกดทับร่างมากขึ้น เธอจับแขนเสื้อสูทราคาแพงของเขาแน่น เธอพยายามอย่างหนักที่จะดิ้นหลุดออกจากตัวเขา
“อย่าขยับ!” เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะกอดเธอไว้ให้แน่นขึ้น “คุณรู้ไหมว่าผลที่จะตามมานับจากนี้คืออะไร”
ภาพในห้องรับรองที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้นไหลผ่านเข้ามาในหัวของเธอ เธอยืนนิ่ง ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหน
เธอคลายมือที่จับแขนเสื้อของเขาออกก่อนจะไม่มีแรงขัดขืน ร่างกายของเธอติดกับเขาแน่นขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจอย่างชัดเจน หัวใจของเธอเองก็พลอยเต้นเร็วตามไปด้วย “ประธานจิ่ง คุณคงมีเรื่องยุ่งมากอยู่ก่อนแล้ว ฉิวซีคงอยู่ในแผนที่คุณคิดจะไล่ออกแต่แรกแล้วสินะ”