ลอบสังหาร?
ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด
การโจมตีอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ระหว่างพิธีสถาปนาย่อมหมายถึงความตาย เพราะนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดทุกคนของเผ่าพันธุ์ปีศาจจะรวมตัวกันอยู่ที่นั่น ซึ่งหากเกิดอะไรผิดพลาด พวกเขาไม่เหลือซากแน่!
“เราจำเป็นต้องทำในระหว่างพิธีสถาปนาด้วยหรือ?” ชายร่างอ้วนตั้งคำถาม “เราจะมีโอกาสชนะเพิ่มขึ้นไหมหากลอบสังหารเขาในเวลาอื่น?”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยของอำมาตย์เฉินหย่งจะต้องเข้มงวดสูงสุดในช่วงเวลาของพิธีสถาปนา สมควรแล้วหรือที่พวกเขาจะลอบโจมตีในตอนนั้น?
“มีข้อดีอยู่ 3 ข้อนะ!”
ผู้พูดไม่ใช่สาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงกลาง แต่เป็นสาวน้อยอีกคนหนึ่งที่พาชายร่างอ้วนเข้ามา “ข้อแรก พิธีสถาปนาเป็นหนึ่งในงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ถ้าการลอบสังหารของพวกเราสำเร็จ คำร่ำลือที่ว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่คือผู้ได้รับมอบหมายภารกิจจากสวรรค์ก็จะถูกปัดตกไป ซึ่งจะทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เพิ่งรวมตัวกันได้แตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าอย่างรวดเร็ว และการที่ใครสักคนจะรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวอีกครั้งก็ย่อมยากขึ้น”
ชายร่างอ้วนพยักหน้ารับ
ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ถูกสังหารภายในเวลาไม่นานหลังจากที่มีข่าวลือว่าเขาคือผู้ที่สวรรค์มอบหมายภารกิจให้ ผลกระทบต่อเรื่องนี้ก็จะรุนแรงและแพร่กระจายออกไป ฝูงชนจะพากันหวาดกลัวและตื่นตระหนก ทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจระส่ำระสายกว่าที่เคย
“ข้อสอง, ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา เผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ภายใต้การปกครองร่วมกันของสามอำมาตย์ใหญ่ แต่แล้วจู่ๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอยู่ภายใต้อำนาจของชายคนเดียวอย่างปุบปับ ถึงอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะปราบปรามฝ่ายตรงข้ามอย่างราบคาบแล้วและไม่มีใครกล้าต่อต้าน อำนาจล้นพ้นของเขา แต่ปัญหาก็คือเขายังขาดความชอบธรรมอยู่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับกฎเกณฑ์ของอำมาตย์เฉินหย่ง นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องสั่งการให้นักเล่านิทานทั่วเมืองหลวง แพร่ข่าวออกไปว่าเขาคือผู้ที่สวรรค์มอบหมายภารกิจให้” สาวน้อยอธิบาย
“เหตุผลที่พวกเขาทำการประชาสัมพันธ์ครั้งใหญ่ก็เพราะเกรงว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะไม่ได้การยอมรับจากมหาชน ดังนั้น นี่จึงเป็นโอกาสดีที่สุดที่พวกเราจะเข้าโจมตี”
“โอกาสดีที่สุดที่จะเข้าโจมตี?” ชายร่างอ้วนยังคงไม่เข้าใจ
“แน่นอนว่าผู้ที่ต่อต้านกฎเกณฑ์ของอำมาตย์เฉินหย่งจะต้องจับตามองพิธีสถาปนาอยู่เช่นกัน หากพวกเขาเห็นใครสักคนเข้าขัดขวางพิธีสถาปนาของอำมาตย์เฉินหย่ง ก็มีโอกาสสูงที่พวกเขาจะเข้าร่วมสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น หากพวกเราทำการโจมตีอย่างปุบปับ ก็มีโอกาสจะประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น” สาวน้อยอธิบาย
“เอ่อ…” ชายร่างอ้วนครุ่นคิดหนัก
ในแง่ของการเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น เขาเทียบชั้นไม่ได้เลยกับสาวน้อยทั้งสอง
ปัจจัยที่พูดมาทำให้พวกเขามีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นจริงๆ
กลุ่มก๊วนของอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงนั้นไม่ได้สลายไปอย่างสิ้นซากพร้อมกับการเสียชีวิตของทั้งคู่ ต่อให้อำมาตย์เฉินหย่งกำราบกองกำลังของทั้งสองกลุ่มให้ยอมจำนนต่อเขาแล้ว แต่ก็มีโอกาสสูงที่คนเหล่านั้นจะยังมีความเป็นปฏิปักษ์ต่ออำมาตย์เฉินหย่งอยู่
ด้วยเหตุนี้ ถ้าใครสักคนพยายามลอบสังหารอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ต่อหน้าต่อตา พวกเขาก็น่าจะยิ่งกว่าเต็มใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
“ฉันจะพูดข้อสามเอง” สาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงกลางห้องเสริม “เมื่อเช้า ฉันเห็นนักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงรีบร้อนออกจากเมืองหลวงไป ทั้งคู่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดที่คอยช่วยเหลืออำมาตย์เฉินหย่งในตอนนี้ ซึ่งตราบใดที่พวกเขาไม่อยู่ โอกาสที่พวกเราจะทำสำเร็จก็จะมีมากขึ้น”
“ตาเฒ่า 2 คนนั่น รีบร้อนออกจากพิธีสถาปนาไปหรือ? เขาเป็นผู้คุ้มกันอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ไม่ใช่หรือไง? ทำไมถึงจากไปในช่วงเวลาคับขันแบบนี้?” ชายร่างอ้วนพึมพำด้วยความสงสัย
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจเรื่องเหตุผล แต่มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาออกจากพื้นที่ไปเพื่อจัดการกับกลุ่มต่อต้านกลุ่มอื่นๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดระหว่างพิธีสถาปนา” สาวน้อยตอบ
“อีกอย่าง จากการสืบเสาะของฉัน ดูเหมือนว่าจะมีกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่แสดงการคารวะบรรพบุรุษของพวกเขาระหว่างพิธีสถาปนา ซึ่งระหว่างกระบวนการนั้น อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะต้องรับฟังคำสั่งสอนของบรรพบุรุษอย่างถ่อมตัว จึงไม่อาจใช้การรับรู้จิตวิญญาณหรือพลังปราณใดๆได้ พูดอีกอย่างก็คือ นี่เป็นโอกาสงามที่พวกเราจะเข้าโจมตี ขอแค่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เราก็มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง!”
ได้ฟังการวิเคราะห์ ชายร่างอ้วนพยักหน้า “ถ้าเป็นอย่างนั้น…ผมก็จะทำตามแผนการของคุณ, ศิษย์พี่!”
“ดี ในเมื่อเรามีความเห็นตรงกันแล้ว ก็เตรียมตัวเถอะ”
เมื่อพูดจบ สาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงกลางก็ลุกขึ้นยืน เธอมองอีก 5 ใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าและพูดต่อ “ฉันรู้ว่าพวกคุณทุกคนกำลังคิดอะไร ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์ของเราถูก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์บังคับให้จบชีวิตของเขาที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพราะเหตุที่เขาไปร่วมมือกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ…”
“…พวกเรารู้ดีว่ามันเป็นแค่การปกปิดตัวตนของเขาเพื่อจะได้ลักลอบเข้าสู่ดินแดนของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่อาการบาดเจ็บของท่านอาจารย์ก็สาหัสเสียจนเขาไม่อาจฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ถึงอย่างนั้น พิธีสถาปนาอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่และการรวมตัวกันเป็นหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็จ่ออยู่ตรงหน้าแล้ว เราไม่มีเวลาตามหาท่านอาจารย์ของเราอีก!”
“ตอนนี้ สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือสังหารอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อกำจัดศักยภาพในการคุกคามของเขา มันเป็นวิธีเดียวที่เราจะล้างมลทินให้ท่านอาจารย์ที่เขาทำให้สภาปรมาจารย์เสื่อมเสียเกียรติ และทั้งโลกจะได้รู้ว่าท่านอาจารย์ของเราอยู่ข้างเดียวกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เสมอ ซึ่งสิ่งนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง และในเวลาเดียวกัน เมื่อพวกเรามีชื่อเสียง ท่านอาจารย์ก็จะหาตัวพวกเราพบได้ง่ายขึ้น”
ในเมื่อทุกคนไม่รู้ว่าท่านอาจารย์อยู่ที่ไหน ก็จำเป็นจะต้องยืนอยู่ในบริเวณที่แสงไฟสาดส่องชัดเจนที่สุด เพื่อให้ท่านอาจารย์หาตัวพวกเขาพบ
“พวกเราเข้าใจ!” คนอื่นๆพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง
ทั้งกลุ่มที่รวมตัวกันอยู่ในห้องก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศิษย์สายตรงทั้ง 6 คนของจางเซวียน
จ้าวหย่า หวังหยิ่ง เจิ้งหยาง เว่ยหรูเหยียน หยวนเทา และลู่ชง
2 เดือนมาแล้วนับตั้งแต่ท่านอาจารย์ของพวกเขาจบชีวิตลงที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ เพราะเกรงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านอาจารย์ ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ทุกคนจึงลงไปที่อาณาจักรใต้ดินเหมือนกับนักรบคนอื่นๆและทำการค้นหาทุกตารางนิ้ว แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวของท่านอาจารย์เลยทั้งๆที่พยายามจนสุดกำลัง
แต่ถึงอย่างนั้น การสืบเสาะครั้งนี้ก็นำพาให้พวกเขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทุกคนได้รู้ว่าภัยคุกคามครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่สนามรบแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ และรู้ดีว่าอาจจะสายเกินไปหากไม่รีบกำราบภัยนั้นแต่เนิ่นๆ พวกเขาจึงเลือกที่จะมารวมตัวกันในเมืองหลวงเพื่อหารือเรื่องแผนการตอบโต้
“ในเมื่อเข้าใจตรงกันแล้ว ก็มายืนยันระดับวรยุทธในตอนนี้ของพวกเรากันเถอะ” จ้าวหย่าพูด “นับตั้งแต่ท่านอาจารย์จากไป เจิ้งหยางก็ได้ใช้เวลาฝึกฝนวรยุทธในหอฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง และสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบทอดสายเลือดแล้ว ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ เขารับมือได้แม้กับนักรบขั้นบรมครูนักปราชญ์ส่วนใหญ่ เรื่องนี้ไม่มีอะไรผิดพลาด ถูกไหม?”
“ถูก” เจิ้งหยางตอบ
ตอนที่เขาได้ยินว่าท่านอาจารย์ของเขาจบชีวิตที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ แม้จะรู้ดีว่าเป็นการจัดฉากบังหน้า แต่ความคิดที่ว่าท่านอาจารย์ต้องถูกเหยียดหยามก็ทำให้เขาแทบคลุ้มคลั่ง
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงขังตัวเองอยู่ในหอฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงและตั้งอกตั้งใจฝึกฝนวรยุทธ จากการทุ่มเทอย่างหนักและการได้พบกับความโชคดีบางอย่างที่วิหารแห่งขงจื๊อ ในที่สุดเจิ้งหยางก็ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ จากนั้น เขาก็ใช้เวลาอีกเกือบ 1 ปีในหอฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงเพื่อขัดเกลาวรยุทธ ทำให้วรยุทธของเขาเข้าถึงระดับการสืบทอดสายเลือดโลกจารึก
แม้เขาจะยังเป็นแค่นักปราชญ์โบราณขั้น 1 แต่ด้วยเทคนิควรยุทธกับเทคนิคการต่อสู้อันเหนือชั้น ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาย่อมไม่เป็นรองแม้กับนักปราชญ์โบราณขั้น 2 บรมครูนักปราชญ์โดยทั่วไป
“เจิ้งหยาง คุณกับฉันจะเป็นแนวหน้าในการโจมตี” จ้าวหย่าพูด จากนั้นก็หันไปมองสาวน้อยอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ “หรูเหยียน คุณก็ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้แล้วใช่ไหม? ถึงจะยังไม่แข็งแกร่งเท่าลู่ชง แต่ความเชี่ยวชาญด้านยาพิษก็ทำให้คุณเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงมาก ต่อให้นักรบขั้นบรมครูนักปราชญ์ก็อาจตายเพราะยาพิษของคุณได้หากพวกเขาไม่ทันระวัง”
สาวน้อยที่จ้าวหย่าพูดถึงนั่งเงียบตลอดการสนทนา เธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศิษย์สายตรงของจางเซวียนที่มีสภาวะกายพิษและจิตวิญญาณเป็นพิษแต่กำเนิด, เว่ยหรูเหยียน
ถึงเธอจะเงียบ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเธออาจเป็นนักรบที่น่าสะพรึงที่สุดในหมู่พวกเขาเมื่อถึงคราวต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ
“ใช่ ฉันพยายามเล่นงานคนอื่นๆเพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเขาไปสนับสนุนอำมาตย์เฉินหย่ง หากใครกล้าฝ่าฝืน ยาพิษของฉันจะออกฤทธิ์กัดกร่อนพวกเขาจากภายในร่างกาย ถ้าฉันต้องการล่ะก็ ต่อให้ทั้งเมืองหลวงฉันก็สังหารหมู่ได้!” เว่ยหรูเหยียนตอบอย่างเฉยเมย
ขนาดกำลังพูดถึงการสังหารหมู่ทั้งเมืองหลวง แต่สีหน้าของเธอก็ไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด ราวกับกำลังพูดถึงการฆ่ามดตัวหนึ่ง
ที่วิหารแห่งขงจื๊อ เว่ยหรูเหยียนได้รับมรดกตกทอดของท่านอาจารย์และผลโพธิ์ ทำให้เธอฝ่าด่านวรยุทธของสภาวะจิตได้สำเร็จ และเมื่อประกอบกับความโชคดีบางอย่างที่ได้พบในตอนนั้น เธอก็ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ตั้งแต่เมื่อ 1 เดือนก่อน แม้จะยังอ่อนด้อยกว่าเจิ้งหยางเล็กน้อยในแง่ของประสิทธิภาพการโจมตี แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายาพิษของเธอจะเป็นไม้ตายชั้นยอดเมื่อต้องรับมือกับคู่ต่อสู้จำนวนมากพร้อมๆกัน
ใครก็ตามที่กล้ารุกล้ำเข้าสู่อาณาเขตของการโจมตีจะต้องพ่ายแพ้ให้กับยาพิษ สิ่งนี้จะทำให้ความได้เปรียบหลายข้อของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ต้องไร้ความหมาย
“เอาล่ะ เรื่องนั้นฉันขอพึ่งพาคุณก็แล้วกัน ส่วนหยวนเทา เราจะมอบหมายหน้าที่ตั้งรับให้ การทดสอบนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 2 ของคุณจะมาถึงเมื่อไหร่?” จ้าวหย่าหันไปมองชายร่างอ้วน พร้อมกับย่นหน้าผากเล็กน้อย
หยวนเทาเข้าท้าทายการทดสอบนักปราชญ์มาแล้วครั้งหนึ่งที่วิหารแห่งขงจื๊อ แต่เขาเลือกที่จะกดข่มวรยุทธไว้ จนถึงตอนนี้ การทดสอบนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 2 ของเขาก็ยังไม่มา หรือพูดอีกอย่างก็คือ แม้เขาจะมีพละกำลังมากมาย…แต่ก็ยังไม่ได้เป็นนักปราชญ์โบราณ!