“ผม…ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน!” หยวนเทาเกาหัวอย่างลำบากใจ
บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณกันหมดแล้ว ทิ้งเขาให้รั้งท้าย เรื่องนี้ทำให้เขาเจ็บปวดใจมาก
การที่วรยุทธของเขาพัฒนาได้อย่างเชื่องช้า ถือเป็นการสร้างความอับอายให้กับท่านอาจารย์!
“ถ้าเรารู้ คงจะไม่มัวกินเพื่อปลอบใจตัวเองอยู่แบบนี้” หยวนเทารำพึงอย่างหม่นหมองขณะส่งของกินเต็มกำมือเข้าปาก จากนั้นก็เคี้ยวเสียงดังกรอบแกรบน่ารำคาญ
จ้าวหย่าไม่ใส่ใจความตะกละตะกรามนั้น เธอหันไปถามลู่ชงด้วยความกังวล “ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมานี่ ฉันคิดว่าคุณพัฒนาตัวเองรวดเร็วไปหน่อยนะ รู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างหรือเปล่า?”
หลังจากที่จางเซวียนจากไป ลู่ชงก็กลับคืนสู่ภาวะเงียบงันอีกครั้ง บุคลิกของเขาเย็นชาและแข็งทื่อราวกับศพ แต่ในส่วนของวรยุทธนั้น มันพุ่งพรวดราวกับถูกฉีดเสตียรอยด์เข้าไป
เจิ้งหยางสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบทอดสายเลือดด้วยการใช้การเร่งเวลาที่มีอยู่ในหอฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แต่ลู่ชง…เขาสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 3 การฟื้นคืนชีพของสายเลือดขั้นต้นแล้ว!
สำเร็จวรยุทธระดับนั้นได้ภายในเวลาเพียง 1 เดือน…ช่างเหลือเชื่อจริงๆ
ลู่ชงพยักหน้าแล้วตอบห้วนๆ “ผมสบายดี”
“หลังจากสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ การฝ่าด่านวรยุทธทุกครั้งจะต้องใช้พลังงานมาก ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยที่คุณยกระดับวรยุทธได้รวดเร็วขนาดนี้ ถ้าคุณไม่ขัดเกลาวรยุทธให้ดี อาจเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นในอนาคต” เจิ้งหยางเสริมด้วยความเป็นห่วง
หากเขาจะต้องหาข้อบกพร่องสักข้อของศิษย์น้องคนนี้ ก็คงจะเป็นความดื้อดึง เขาเหมือนกับน้ำเต็มแก้วเสียจนรู้สึกท้อใจที่จะพูดด้วย
หากลู่ชงแบ่งปันปัญหาของตัวเองกับพวกเขา ก็ยังพอจะหารือและมอบคำชี้แนะให้กันได้ แต่ศิษย์น้องของเขาคนนี้ดื้อดึงและเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง ทั้งยังทุ่มเททุกสิ่งให้กับการฝึกฝนวรยุทธ ถ้าไม่ได้พบกับท่านอาจารย์ ใครจะรู้ว่าตอนนี้ลู่ชงจะเป็นอย่างไร?
เห็นทุกสายตาจับจ้องที่เขา ลู่ชงเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนอธิบาย “ท่านอาจารย์มอบฉนวนแห่งจิตวิญญาณให้ผม”
ทุกคนพยักหน้า
ก่อนจะจากไป จางเซวียนได้แบ่งสรรปันส่วนทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่เขาได้มาจากวิหารแห่งขงจื๊อให้กับศิษย์สายตรงทุกคน
ฉนวนแห่งจิตวิญญาณคือสัญลักษณ์ของหัวหน้าสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ซึ่งลู่ชงก็ไม่ได้ปิดบังความจริงที่ว่าเขาได้รับสิ่งนี้จากท่านอาจารย์
“สิ่งที่อยู่ภายในฉนวนแห่งจิตวิญญาณคือพลังจิตวิญญาณเข้มข้นจากจิตวิญญาณ 110,000 ดวงของนักรบระดับเซียนขั้น 3 ขึ้นไป ผมได้ใช้เวลา 1 เดือนที่ผ่านมาซึมซับมัน ทำให้พลังจิตวิญญาณของผมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว” ลู่ชงอธิบาย
“จิตวิญญาณ 110,000 ดวง?”
“ทุกคนเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 3 ขึ้นไป?”
ผู้ฟังถึงกับผงะ
พวกเขาจินตนาการไม่ถูกว่าพลังจิตวิญญาณที่มีนั้นจะมีปริมาณมหาศาลขนาดไหน นั่นอธิบายได้ว่าทำไมลู่ชงถึงยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมีพลังจิตวิญญาณปริมาณมากขนาดนั้นเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ การที่เขาจะก้าวหน้ารวดเร็วขนาดนี้ก็ไม่ยากเกินไป
“ก่อนจะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ ท่านอาจารย์ของพวกเราได้สังหารกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ 110,000ตัว และแก้ไขวิกฤตการณ์ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นไปได้ไหมว่าจิตวิญญาณพวกนี้จะมาจากที่นั่น?” เจิ้งหยางตั้งคำถามอย่างปุบปับ
เพราะสภายอดขุนพลจับตาดูสถานการณ์ในอาณาจักรใต้ดินอย่างใกล้ชิด เขาจึงรับรู้วีรกรรมของท่านอาจารย์ที่เกิดขึ้นที่นั่น จิตวิญญาณ 110,000 ดวงของนักรบระดับเซียนขั้น 3 ขึ้นไปไม่ใช่จะมาจากที่ไหนก็ได้ และนั่นคงเป็นเหตุการณ์เดียวที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น
“คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ ท่านอาจารย์ไม่ได้ซึมซับอะไรไว้เลย และเลือกจะมอบทุกอย่างให้ผมแทน” ลู่ชงพยักหน้าขณะกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมท่านอาจารย์ถึงเลือกจะทิ้งพลังจิตวิญญาณมากมายขนาดนี้ไว้ให้เขาแทนที่จะซึมซับไว้เอง แต่เขาก็ปฏิญาณไว้แล้วว่าจะใช้ของขวัญชิ้นนี้ในทางที่เป็นประโยชน์
เมื่อรู้แล้วว่าลู่ชงได้ความแข็งแกร่งมาด้วยวิธีการที่เหมาะสม ไม่ได้ใช้การบีบบังคับให้เกิดพละกำลัง จ้าวหย่าถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ศิษย์น้องลู่ชง ด้วยระดับวรยุทธของคุณ คงจะดีที่สุดถ้าคุณผนึกกำลังกันกับฉันและเจิ้งหยางในการโจมตีอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ คุณจะเป็นผู้โจมตีหลัก ส่วนเรา 2 คนจะคอยช่วยเหลือ!”
ลู่ชงพยักหน้าแสดงอาการเข้าใจ
“ส่วนหวังหยิ่ง…” จ้าวหย่าหันไปพูดกับหวังหยิ่ง “แม้คุณจะเพิ่งเป็นนักปราชญ์โบราณได้ไม่นาน แต่ตลอดระยะเวลา 20 วันที่เรามาถึงเมืองหลวง คุณก็คงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมดีแล้ว”
“ฉันร่ายมนต์ใส่ตึกรามบ้านช่องหลักๆและกำแพงเมืองหลวงไว้แล้ว พวกมันพร้อมรบ แค่รอคอยคำสั่งของฉันเท่านั้น ทันทีที่การโจมตีเริ่มต้น ตึกทุกหลังและกำแพงเมืองจะพุ่งเข้าทำลายทั่วทั้งพื้นที่จนไม่เหลือซาก!” หวังยิ่งตอบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
ตลอดระยะเวลาไม่กี่วันในเมืองหลวง เธอได้ทุ่มเทเวลาเกือบทั้งหมดไปกับการร่ายมนต์ใส่ทุกอย่างที่อยู่โดยรอบ
“อีกอย่าง ฉันยังได้ฝังรากไม้ไว้ในพื้นดินแล้ว เพียงแค่ใช้ความคิดแวบเดียว ฉันก็สามารถเปลี่ยนเมืองหลวงทั้งเมืองให้กลายเป็นทะเลทรายได้ ใครก็ตามที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณจะไม่มีวันหนีพ้นจากทะเลทรายนี้เลย”
จางเซวียนได้มอบไม้ทรายเหลืองวิปลาสให้หวังหยิ่ง และมันก็เป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
“เยี่ยมเลย ในเมื่อพร้อมแล้ว ก็เดินหน้ากันเถอะ เมื่อเราไปถึงพิธีสถาปนา ก็เตรียมตัวให้พร้อมโจมตีทุกเวลาก็แล้วกัน!” จ้าวหย่าสั่งการอย่างเคร่งขรึม
“ได้” ทุกคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียงขณะลุกขึ้นยืน
พวกเขาอาจตายในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่จะไม่ยอมล้มเหลวเด็ดขาด
ทุกคนปลอมตัวโดยปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาก่อนจะออกเดินไปตามถนน ตอนนี้บรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจต่างพากันมุ่งหน้าไปยังจัตุรัสที่อยู่หน้าพระราชวังของอำมาตย์เฉินหย่ง
กลุ่มของจ้าวหย่าแทรกตัวไปกับฝูงชนและตามพวกเขาไปยังจัตุรัส
เมื่อถึงจัตุรัส ก็มีเผ่าพันธุ์ปีศาจออกันอยู่มากมายนับไม่ถ้วน เสียงพูดคุยซุบซิบอย่างตื่นเต้นดังขึ้นทุกหนแห่ง ทุกคนรอคอยอย่างกระวนกระวายให้พิธีสถาปนาเริ่มต้น
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงปรบมือดังสนั่น ทั้งจัตุรัสเงียบกริบ รอยแยกแห่งมิติถูกเปิดออกเหนือจัตุรัสขนาดใหญ่ แล้วเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งที่สวมมงกุฏและเสื้อคลุมสีทองสง่างามก็ก้าวออกมาจากรอยแยกนั้น
เขาประกาศเสียงดังฟังชัด “บรรดาสมาชิกของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเรา ผมขอต้อนรับพวกคุณเข้าสู่พิธีสถาปนาของผม วันนี้จะเป็นวันที่ผมสานต่อเจตจำนงของเหล่าบรรพบุรุษให้สมความปรารถนา ผมได้รับการสถาปนาให้เป็นอำมาตย์เฉินหย่งคนต่อไป!”
ขณะที่พูด อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ก็ร่อนลงมายังแท่นสูงตระหง่านที่อยู่ใจกลางจัตุรัสอย่างช้าๆ
…..
ในเวลาเดียวกัน ในหอคอยที่อยู่ห่างออกไปจากจัตุรัส จางเซวียนเฝ้ามองร่างสูงตระหง่านค่อยๆร่อนลงสู่แท่น เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะหวนนึกถึงความทรงจำที่มีต่อหลิวหยาง
หลิวหยางเป็นเด็กที่ชอบการประชันขันแข่งมาตลอด เขามักเปรียบเทียบตัวเองกับบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องโดยไม่รู้ตัวเสมอ แต่ก็บ่อยครั้งที่การเปรียบเทียบนั้นทำให้เขาวิตกกังวลและหนักใจ เมื่อไม่อาจแบกรับความกดดันนั้นได้ จึงเลือกที่จะจากไปโดยไม่กล่าวลา
ใครจะไปคิดว่าหลิวหยางจะได้พบกับความโชคดีครั้งใหญ่ และลงเอยด้วยการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงขนาดนี้?
ทันทีที่เขามีอำนาจควบคุมเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป
“มีเขาอยู่ พวกเราก็จะได้เป็นอิสระจากความโหดเหี้ยมของเผ่าพันธุ์ปีศาจเสียที” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงพูดพร้อมกับยิ้มอย่างโล่งอก
สมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณต้องแบกรับความทุกข์ทรมานและการถูกเหยียดหยามตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา พวกเขามีความหวังอันริบหรี่ว่าวันหนึ่งมวลมนุษยชาติจะเป็นอิสระจากภัยคุกคามของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็ไม่เคยคิดว่าวันคืนนั้นจะเป็นจริงขึ้นมาได้ในช่วงชีวิตของเขา
“จริงด้วย มันจบสิ้นเสียที…” จางเซวียนพยักหน้า
แต่พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องขมวดคิ้ว
ฟิ้ววววว!
ทันใดนั้น รังสีดุเดือดก็พุ่งพรวดขึ้นมาจากด้านล่าง มันตรงเข้าหาอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่
จากนั้น หอกและดาบอย่างละเล่มก็พุ่งเข้าใส่อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ โดยมาจากคนละทิศทาง ในเวลาเดียวกัน มิติที่อยู่โดยรอบก็แข็งทื่อ สกัดกั้นการเคลื่อนไหวของทุกคนในบริเวณนั้น
“การลอบสังหาร?”
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงหรี่ตา เจตนาสังหารพวยพุ่งออกจากร่างของทั้งคู่
พวกเขาปฏิบัติภารกิจอย่างหนักตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพิธีสถาปนาของหลิวหยาง ใครจะไปคิดว่ายังมีพวกโง่เง่าไร้สมองที่คิดจะโจมตีในวันสำคัญแบบนี้?
“นายท่าน ผมจะไปสังหารเจ้าพวกงี่เง่านั่นเดี๋ยวนี้แหละ!” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคำรามขณะเงื้อกรงเล็บขึ้นอย่างดุร้าย
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก รอดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป” จางเซวียนเองก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา
“รอดูอะไร?”
นักปราชญ์โบราณทั้งสองไม่เข้าใจว่าทำไมจางเซวียนยังนิ่งเฉยอยู่ได้
“ไม่ต้องห่วงน่ะ นี่คือบททดสอบที่หลิวหยางจะต้องข้ามผ่านไปด้วยตัวเอง ถ้าเขาเอาชนะมันได้ ก็จะได้รับความเชื่อมั่นและศรัทธาอย่างไม่คลอนแคลนจากหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ถ้าเขาล้มเหลว…ก็ยังไม่สายเกินไปที่พวกเราจะเข้าไปยับยั้ง” จางเซวียนพูดขณะลุกขึ้นยืน
ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของเขา ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้จักศิลปะเพลงดาบและศิลปะเพลงหอกนั่น ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
…..
ที่จัตุรัส เมื่ออำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่มองเห็น 3 ร่างที่พุ่งเข้าหาเขา ก็อดไม่ได้ที่จะตัวแข็งไปในทันที
กระบวนท่าและเทคนิควรยุทธพวกนี้…หลิวหยางหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ
กระแสพลังงาน 3 สายที่พุ่งเข้าใส่เขานั้นดูคุ้นตามาก
มันมาจากศิษย์น้องลู่ชง ศิษย์น้องเจิ้งหยาง และศิษย์พี่จ้าวหย่า!
พวกเขา…พวกเขามาทำอะไรที่นี่?