ร่างนั้นไม่ได้สูงหรือดูสง่างามนัก รังสีที่เขาแผ่ออกมาก็ไม่มีอะไรพิเศษ แต่การปรากฏตัวของเขาทำให้ทั้งสองฝ่ายยับยั้งการโจมตีทันทีและยืนตัวแข็ง ไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
“เกิดอะไรขึ้น?” ฝูงชนที่อยู่ในจัตุรัสพากันงงงันกับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างปุบปับ
เมื่อครู่นี้ทั้งสองฝ่ายเพิ่งจะสู้รบกันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ใช่หรือ? แล้วจู่ๆมาหยุดเพียงเพราะใครคนหนึ่งสั่งห้าม?
“ผู้นั้นจะต้องสกัดกั้นมิติโดยรอบไว้โดยใช้อำนาจพิเศษบางอย่างเพื่อกดข่มพวกเขา ทำให้ไม่มีใครเคลื่อนไหวได้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่ฝูงชนกำหมัดแน่นขณะตั้งข้อสังเกต
เขาเคยได้ยินว่าผู้ที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 ก้าวสู่จักรวาล จะสามารถใช้การสกัดกั้นมิติเป็นวิถีทางในการโจมตีและเล่นงานคู่ต่อสู้ให้จนมุมได้ เป็นไปได้ว่าชายที่เพิ่งปรากฏตัวน่าจะใช้วิธีการนั้นกับอำมาตย์เฉินหย่งและกลุ่มผู้ลอบสังหาร
ไม่อย่างนั้น ทำไมทั้งสองฝ่ายจึงหยุดการโจมตีอย่างพร้อมเพรียงกันราวกับวางแผนไว้ล่วงหน้า?
“ถ้าเขาสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่กับคนอื่นๆได้พร้อมกันในคราวเดียว…เขาจะต้องทรงพลังแค่ไหน?”
“หรือว่าชายผู้นั้นคือ…เทพเจ้าผู้ชี้แนะอำมาตย์เฉินหย่ง?”
“พอคุณพูดขึ้นมา ร่างนั้นก็ดูจะคล้ายคลึงกับชายที่ปรากฏตัวในวันนั้น แต่ระหว่างการต่อสู้ พวกเขาบินสูงมาก ผมจึงมองเห็นไม่ชัด แต่ก็…ดูเหมือนเขามากทีเดียว!”
“ไม่แปลกใจแล้วที่เขาสกัดกั้นการเคลื่อนไหวและการต่อสู้ของทุกคนได้…”
…..
ฝูงชนต่างนัยน์ตาเบิกโพลงและเต็มไปด้วยความยำเกรง
ถ้าพวกเขาเคยแคลงใจในสิ่งที่ได้ฟังจากนักเล่านิทานว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่มีผู้ชี้แนะที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเทพเจ้า แต่หลังจากเห็นภาพนี้ ทุกความแคลงใจก็สลายไป
พละกำลังของบุคคลนั้นดูจะเหนือชั้นเกินกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้
“ว่าอย่างไร?”
นักปราชญ์โบราณจำนวนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนส่งโทรจิตหากัน
“ผมมองไม่เห็นวรยุทธของเขา แต่การที่เขายับยั้งผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้พร้อมกันในคราวเดียวก็บ่งบอกแล้วว่าพละกำลังของเขาน่าจะเข้าถึงระดับการฟื้นคืนชีพของสายเลือด!”
“เป็นไปได้จริงๆหรือที่จะมีผู้เ****วชาญที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ในโลกของเรา?”
“อย่าลืมอำมาตย์ไอ้โหดและปรมาจารย์ขงสิ ในยุคสมัยของพวกเขา ระดับวรยุทธอย่างพวกเราน่ะเทียบชั้นอะไรกับเขาไม่ได้เลย…”
“คุณพูดถูก การที่วิหารแห่งขงจื๊อเปิดและเทพเจ้าลงมาจากสรวงสวรรค์…ก็ไม่น่าประหลาดใจอะไรที่นักรบที่ทรงพลังอย่างน่าทึ่งคนหนึ่งจะปรากฏตัวในตอนนี้ เขาสำแดงการสกัดกั้นมิติได้พร้อมๆกับปกปิดสายตาของพวกเราได้ด้วย ทำให้ดูเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย…ผมหยั่งไม่ถึงจริงๆว่าแท้ที่จริงแล้วเขาทรงพลังแค่ไหน!”
…..
นักปราชญ์โบราณจำนวนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนหารือกันอย่างเคร่งเครียด ยิ่งพูดกันมากเท่าไหร่ ใบหน้าของพวกเขาก็ยิ่งซีดเผือด
ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามองไม่เห็นวรยุทธของร่างที่อยู่กลางอากาศนั้นก็ถือเป็นเหตุผลหลักที่จะสร้างความหวาดกลัวแล้ว
แน่นอนว่าอาจเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจจะคิดมากไป แต่ด้วยพละกำลังมหาศาลที่ชายผู้นั้นสำแดงออกมาระหว่างการต่อสู้ครั้งใหญ่เมื่อเดือนก่อน ก็ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะหวาดผวาอย่างหนัก
สามารถสังหารเทพเจ้าที่ลงมาจากมิติเบื้องบนได้ด้วยการขว้างหนังสือเล่มหนึ่งใส่เขา…ถ้าชายผู้นั้นมีพละกำลังมากขนาดนั้นจริงๆเพียงแค่จากการขว้างหนังสือ พวกเขาก็จินตนาการไม่ถูกเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากอีกฝ่ายขว้างดาบหรือหอกเข้าใส่พวกเขา!
…..
“ท่านอาจารย์…”
เห็นร่างนั้น หลิวหยางไม่กล้าขยับตัว ขณะที่เขากำลังสงสัยว่าท่านอาจารย์จะทำอะไร ก็เห็นอีกฝ่ายเดินไปหาเจิ้งหยาง จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นเตะเสยยอดอกของเจิ้งหยางโดยไม่บอกไม่กล่าว
เจิ้งหยางตัวงอด้วยความหวาดกลัวแรงเตะนั้น แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบโต้ ก็ถูกสอยกระเด็นไปกองกับพื้น
“เมื่อครู่นี้คุณมัวทำบ้าอะไร? ถ้ายั้งมือไว้สัก 1 ใน 3 อึดใจ พละกำลังของหอกนั้นก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก! แต่คุณก็รีบร้อน…ไม่มีเวลาขนาดนั้นเลยหรือไง! จะรีบไปเกิดใหม่หรือ?”
“ส่วนคุณ! เป็นบ้าอะไรถึงกวัดแกว่งดาบไปทั่วอย่างนั้น กระแสดาบฉีของคุณอยู่ไหน? เจตจำนงเพลงดาบอยู่ไหน? คิดจริงๆหรือว่าจะเล่นงานคู่ต่อสู้ด้วยกระบวนท่าครึ่งๆกลางๆแบบนี้ได้?”
“ส่วนคุณ ไม่มีสมองหรือไง? คิดว่าตัวเองไร้เทียมทานเพียงเพราะมีความสามารถในการป้องกันตัวเหนือชั้นกว่าคนอื่นใช่ไหม? ใช้แผงอกของตัวเองรับหมัด ภาคภูมิใจในความถึกของตัวเองงั้นสิ? แล้วหมัดของคุณน่ะมีไว้ทำอะไร? สมงสมองหายไปไหนหมด? รู้จักแต่จะเดินพล่านไปทั่วเท่านั้น! เป็นควายหรือไงถึงคิดไม่เป็น?”
“พวกคุณน่ะไม่ได้เรื่อง! กล้าเรียกสิ่งที่ทำอยู่ว่าการต่อสู้หรือ? ถ้าผมต้อนหมูมาสักฝูงและฝึกพวกมันสัก 3 วัน พวกมันก็คงทำได้ดีกว่าพวกคุณทุกคนเสียอีก!”
…..
จางเซวียนยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขาชี้กราดไปที่ศิษย์สายตรงทุกคนและตำหนิอย่างรุนแรง
คำสอนของผมเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของพวกคุณใช่ไหม?
ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน แล้วดูสิว่าทักษะของพวกคุณแปรสภาพไปเป็นอะไร? ผมคงอับอายขายหน้าจนตายแน่หากใครรู้ว่าพวกคุณเป็นศิษย์สายตรงของผม!
ในฐานะปรมาจารย์ผู้หยิ่งผยองในศักดิ์ศรี มันเกิดอะไรขึ้น ผมถึงต้องมีลูกศิษย์งี่เง่าอย่างพวกคุณ!
ได้ยินคำตำหนิของท่านอาจารย์ ใบหน้าของจ้าวหย่า เจิ้งหยางและคนอื่นๆต่างแดงก่ำด้วยความละอาย ถ้ามีหลุมมีรูอยู่ที่พื้น พวกเขาคงมุดลงไปเสียแล้ว
ทุกคนต่างคิดว่าท่านอาจารย์จะภาคภูมิใจในสิ่งที่พวกเขาหมั่นเพียรฝึกฝนมาตลอด 2 เดือน แต่ใครจะไปรู้ว่าจะทำให้ท่านอาจารย์บันดาลโทสะขนาดนี้?
แต่ทุกคนก็รู้ว่าสิ่งที่ท่านอาจารย์พูดมีเหตุผล เพราะถึงแม้ระดับวรยุทธของพวกเขาจะก้าวหน้าขึ้นอีกมาก แต่ลงท้ายทุกคนก็ละเลยทักษะที่ตัวเองมี ทำให้กระบวนท่าที่สำแดงออกไปออกจะสะเปะสะปะ
ไม่อย่างนั้น ด้วยการผนึกกำลังกันของพวกเขา พวกเขาก็น่าจะเล่นงานอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ได้อย่างง่ายดายไปแล้ว!
หลังจากตำหนิเจิ้งหยางกับคนอื่นๆแล้ว จางเซวียนก็หันไปหาหลิวหยางแล้วตั้งต้นติเตียนตั้งแต่หัวจรดเท้า
“คุณเองก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน! คิดจะทำอะไร? ทั้งหวาดกลัวและลังเลในทุกกระบวนท่า…นี่คือสิ่งที่อำมาตย์อย่างคุณควรทำหรือ? อำมาตย์บ้านคุณน่ะสิ! ทุกกระบวนท่าของคุณล้วนแต่ปราศจากจิตวิญญาณ ถ้าก่อนหน้านี้คุณพุ่งเข้าใส่และยืนหยัดต้านทานพวกเขา ก็จะทำลายศิลปะเพลงดาบของเธอและจัดการเจ้าหนุ่มที่ใช้หอกให้กระเด็นไปได้อย่างสบาย การต่อสู้ก็จะจบลงทันที คุณจะไม่ต้องเจอปัญหามากมายอย่างตอนนี้!”
ผ่านไปแค่ 1 เดือน วรยุทธของหลิวหยางก็ผิดเพี้ยนไปหมด ไม่ต่างอะไรกับการวิ่งหาความตาย
เขาควรจะเป็นคนที่มีน้ำอดน้ำทนและมีมารยาท แต่เมื่อเห็นทั้งกลุ่มเกะกะเพ่นพ่านแบบนี้ ความสุขุมเยือกเย็นที่มีก็หายวับไปหมด
“ท่านอาจารย์ ผม…” หลิวหยางหน้าแดงก่ำขณะพยายามจะพูด แต่ก็พูดไม่ออก
จางเซวียนคร้านจะเสียเวลา เขาโบกมือและพูดต่อ “พอที ผมจะพาเจ้าพวกนี้ไป ดำเนินพิธีการสถาปนาของคุณต่อ และมาพบผมเมื่อเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว”
ฟึ่บ!
จ้าวหย่ากับคนอื่นๆถูกจับโยนเข้าไปในรังนางพญามดก่อนที่จางเซวียนจะหายวับไป
“นี่มันการต่อสู้ในตำนานชัดๆ ว่าแต่ในสายตาของเขา…มันดูแย่ขนาดนั้นเลยหรือ? ถึงขนาดที่เขาหมดความอดทนจนต้องเข้าขัดขวางการดวลเพื่อให้คำชี้แนะ?”
“เพราะฉะนั้น เหตุผลที่เขายับยั้งการต่อสู้ก็เพราะรู้สึกว่ามันย่ำแย่เกินไปจนทนดูไม่ไหวใช่ไหม?”
“แต่นั่นคือการต่อสู้ที่ล้ำลึกมากเลยนะ! ถ้าเขาทนดูอะไรแบบนี้ไม่ได้ แล้วพวกเราจะถูกฆ่าตายกันหมดไหมถ้าสำแดงกระบวนท่าให้เขาเห็น?”
…..
ฝูงชนที่อยู่ด้านล่างพากันตัวสั่น พูดอะไรไม่ออก
การต่อสู้ระหว่างอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่กับทีมลอบสังหารนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ควรค่าพอจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ นับเป็นเกียรติยศไปอีกหลายพันหลายหมื่นปี แต่ในสายตาของเทพเจ้าองค์นั้น มันไม่ต่างอะไรกับคบเด็กสร้างบ้าน!
ความจริงข้อนี้ยากเกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้ แม้จะได้เห็นกับตา
“หัวหน้า พวกเราจะยัง…ดำเนินการโจมตีต่อไหม?” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่ฝูงชนถามขึ้นอย่างปุบปับ
“โจมตีบ้านคุณน่ะสิ! ผมยังไม่เข้าใจการสู้รบที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เลยด้วยซ้ำ ถ้าเราดำเนินการโจมตีต่อ จะไม่ถูกเล่นงานจนตายหรือ? ฟังคำสั่งของผมนะ! นับจากวันนี้ไป ไม่ว่าอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะสั่งการอะไร เชื้อสายตระกูลของพวกเราจะต้องทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข ห้ามใครออกเสียงคัดค้านแม้แต่คนเดียว!” หัวหน้ากัดฟันกรอดและสั่งการ
อาจดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเพิ่งตั้งข้อสังเกตง่ายๆเพียงไม่กี่ข้อ แต่ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้อันเฉียบแหลมของเขา หัวหน้าดูออกว่าคำพูดเหล่านั้นเปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญา เพียงแค่การทำความเข้าใจเศษเสี้ยวหนึ่งของภูมิปัญญานั้นก็อาจทำให้คนคนหนึ่งเห็นทางสว่างแล้ว
นี่คุณถามผมจริงๆใช่ไหมว่าเราควรจะโจมตีหรือเปล่า หลังจากได้เห็นแล้วว่าผู้นั้นมีสติปัญญาเรื่องการต่อสู้ล้ำลึกขนาดไหน? คุณมันบ้า! หาสมองมาใส่หัวหน่อยเถอะ!
สิ่งที่เราควรทำตอนนี้น่ะคือไม่ทำอะไรเลย! ถ้ายังอยากเห็นพระจันทร์สีเลือดขึ้นทางทิศเหนือในวันพรุ่งนี้ ก็ควรปิดปากไว้ให้สนิท!
ภาพแบบเดียวกันเกิดขึ้นทั่วไปในหมู่ฝูงชน
แม้อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่จะใช้พละกำลังกำราบฝ่ายตรงข้ามแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานภาพของเขายังไม่มั่นคงนัก ยังมีผู้คนอีกมากมายที่อยากทำลายเสถียรภาพของเขาเพื่อให้ได้ผลประโยชน์บางอย่าง แต่นับจากวินาทีที่ผู้ชี้แนะของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ปรากฏตัวและทำการสกัดกั้นมิติ ทำให้ทั้งสองฝ่ายยืนตัวแข็งทื่อ ก่อนจะตวาดกร้าวใส่ทุกคนเพื่อตำหนิเรื่องการใช้เทคนิคที่ไม่ดีพอของพวกเขา…นั่นแหละ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะทำลายความกล้าหาญของพวกเขาได้เท่าสิ่งนั้น
พวกเขาเห็นแล้วว่าชะตากรรมเลวร้ายรอคอยอยู่หากบังอาจลุกขึ้นต่อต้านอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่
อีกฝ่ายมีผู้ให้คำชี้แนะที่น่าสะพรึงจริงๆ!