เจิ้งหยางนอนนิ่งอยู่ในโลง มีรอยยิ้มจางๆ ร่างของเขายังอุ่น ดูเหมือนพร้อมจะลืมตาได้ทุกเมื่อ
“ศิษย์พี่…”
รังสีเข้มข้นแผ่ซ่านออกจากร่างของเว่ยหรูเหยียน ความรู้สึกรุนแรงเดือดพล่านอบอวลอยู่ภายใน
แม้จะมีบุคลิกเย็นชา แต่เธอก็ใส่ใจคนอื่นๆไม่น้อย ถึงเมื่อครู่นี้จะเพิ่งกลั่นแกล้งเจิ้งหยางไป แต่การได้เห็นศพของเขาก็ทำให้หัวใจของเธอแทบระเบิด ถ้าเธอรู้ว่าตัวการเป็นใคร แน่นอนว่าจะต้องพุ่งเข้าไปฉีกหมอนั่นให้แหลกเป็นชิ้นๆ
“ควบคุมอารมณ์ของคุณด้วย!” จางเซวียนตวาด
“ดะ-ได้!” ได้ยินคำสั่งของท่านอาจารย์ เว่ยหรูเหยียนรีบระงับสติอารมณ์ทันที
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดตัวสั่นไม่ได้ขณะจ้องมองศพที่อยู่ในโลง
“นี่ไม่ใช่เจิ้งหยางหรอก” จางเซวียนพูด
เขาเองก็ตกตะลึงไม่เบาเมื่อได้เห็นใบหน้าของศพเป็นครั้งแรก แต่เมื่อพิจารณาใกล้ๆ ก็รู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ร่างนี้ดูเหมือนมีชีวิตจนเกินไป
เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ร่างกายของคนคนหนึ่งจะต้องเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงแก่ความตาย ต่อให้ตอนยังมีชีวิตอยู่ผู้นั้นจะทรงพลังแค่ไหนก็ตาม อีกอย่าง เขารู้จักนิสัยของเจิ้งหยางดี เจิ้งหยางไม่ใช่คนที่จะยอมรับความตายโดยดุษณี ต่อให้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก เขาก็จะต้องหักกระดูกกระเดี้ยวออกจากร่างของเจ้าตัวการให้ได้สักท่อนสองท่อนก่อนจะหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย!
ที่สำคัญกว่านั้น จางเซวียนได้ถ่ายทอดกระแสพลังปราณเทียบฟ้าไว้ในร่างของเจิ้งหยางด้วย จึงไม่มีทางที่ใครจะสังหารเจิ้งหยางได้โดยที่ตัวเขาไม่รู้
“ถ้านี่ไม่ใช่ศิษย์พี่เจิ้งหยาง แล้ว…” เว่ยหรูเหยียนชะงักเมื่อฟังสิ่งที่จางเซวียนบอก
ไม่ว่าเธอจะมองหรือแตะต้องศพนั้นอย่างไร ก็เห็นชัดๆว่าเป็นร่างของเจิ้งหยาง เธอไม่อาจจินตนาการได้ว่าจะมีสิ่งใดในโลกนี้ที่เลียนแบบร่างของเขาได้เหมือนเป๊ะอย่างที่เห็น
“เป็นไปได้ว่ามันน่าจะเป็นภาพลวงตา ภาพลวงตาที่กลบเกลื่อนความเหลื่อมล้ำระหว่างความจริง และความเท็จ เป็นบางสิ่งที่หลอกลวงได้แม้แต่สวรรค์” จางเซวียนพึมพำขณะเดินกลับไปกลับมาในห้องโถง
ถ้าร่างที่เขาเห็นไม่ใช่เจิ้งหยาง เขาคงไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตา
นั่นก็เพราะสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเหมือนจริงเกินไป และหอสมุดเทียบฟ้าก็ดูเหมือนจะใช้การไม่ได้
“ภาพลวงตา?” เว่ยหรูเหยียนมองไปรอบๆ ก่อนในที่สุดจะหยิกแก้มของตัวเอง “โอ๊ย!”
“หอกสวรรค์กระดูกมังกร!” จางเซวียนเรียก
ฟิ้วววว!
หอกสวรรค์กระดูกมังกรพุ่งมาตามทางเดิน จางเซวียนถือหอกกระชับไว้ในมือ รู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลไร้ขีดจำกัดที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างของเขา เขายกหอกขึ้นแล้วพุ่งมันเข้าใส่โลงศพ
ฉึกกกก!
โลงนั้นถูกแทงทะลุ แล้วทั้งห้องก็สลายตัวไปราวกับฟองสบู่ พริบตาต่อมา ทั้งคู่ก็เห็นเจิ้งหยางแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่กับผนัง เท่าที่เห็น ดูเหมือนเขาสลบไป
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่หลุมศพ แต่เป็นปราการขนาดมหึมาที่เหมือนกับกระจกเงา
ดูเหมือนทั้งคู่จะได้ก้าวเข้าสู่โลกที่อยู่ภายในกระจกเงา ทำให้การรับรู้ความเป็นจริงพร่าเลือนไป
“มันเป็นภาพลวงตาจริงๆ” หอกสวรรค์กระดูกมังกรอุทานอย่างตื่นเต้น “ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ศพของนายท่านจะเป็นของปลอมด้วยหรือเปล่า? หมายความว่าแท้ที่จริงแล้วนายท่านยังไม่ตาย!”
มันสะเทือนใจมากที่ได้เห็นศพของนายท่านคนเก่าปรากฏต่อหน้าต่อตา แล้วในเมื่อนี่เป็นภาพลวงตา จะเป็นไปได้ไหมว่าศพนั้นก็เป็นภาพลวงตาเหมือนกัน?
“ผมเสียใจ แต่ร่างของนักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นของจริง” จางเซวียนส่ายหน้า “เป็นเพราะพละกำลังมหาศาลของศพนั้นที่ทำให้ทุกอย่างยังคงสภาพเดิม ถ้าร่างนั้นเป็นของปลอมล่ะก็ สถานที่แห่งนี้คงไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาของสวรรค์ได้”
เขาไม่อยากทำลายความหวังของหอกสวรรค์กระดูกมังกร แต่ความจริงก็คือความจริง วินาทีที่ภาพลวงตานั้นแตกสลายไป จางเซวียนก็ได้รู้ว่าความจริงคืออะไร
ภาพลวงตาที่เขาแยกแยะไม่ออกและสามารถหลอกลวงได้แม้แต่กับสวรรค์นั้นจะต้องใช้พลังงานมหาศาลในการรักษาสภาพของมันเอาไว้ และศูนย์กลางของค่ายกลนี้ก็คือศพของนักปราชญ์โบราณหรันชิว
มีแต่นักปราชญ์โบราณผู้แข็งแกร่งเป็นที่ 2 ในโลกเท่านั้นที่เก่งกาจพอจะล่อลวงเขาได้ ถึงขนาดที่ทำให้จางเซวียนไม่รู้ตัวไปครู่หนึ่งว่าตัวเองเจอภาพลวงตา
“ถ้าอย่างนั้น…นายท่านตายแล้วจริงๆหรือ?” หากสวรรค์กระดูกมังกรร่วงลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
ถ้าศพนั่นเป็นของจริง ก็หมายความว่านักปราชญ์โบราณหรันชิวตายแล้ว
“ตอนนี้น่ะยังเร็วไปที่จะด่วนสรุปว่านักปราชญ์โบราณหรันชิวตายแล้วจริงๆหรือไม่ เพียงแค่การที่ศพนั่นเป็นของจริงไม่ได้หมายความว่าเขาจะเสียชีวิตแล้ว ดูอย่างอำมาตย์เฉินหย่งคนเก่าสิ ร่างของเขาถูกฝังไปแล้ว และวรยุทธทั้งหมดก็ถูกถ่ายทอดให้กับหลิวหยาง แต่จิตวิญญาณของเขาถูกเทพเจ้าจากมิติอื่นนำไป และมีความเป็นไปได้สูงที่ในอนาคตเขาจะฟื้นคืนชีพ” จางเซวียนพูด
“ผู้ที่แข็งแกร่งระดับนักปราชญ์โบราณหรันชิวน่ะไม่ตายง่ายๆหรอก!”
แม้แต่ไอ้โหดก็ยังฟื้นคืนชีพได้ทั้งที่ถูกหั่นออกเป็นชิ้นส่วนมากมายนับไม่ถ้วน นับประสาอะไรกับนักปราชญ์โบราณหรันชิว
ต่อให้ศพนั้นเป็นของจริง แต่ตราบใดที่จิตวิญญาณของเขายังอยู่ ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเขาตายไปแล้วอย่างสิ้นซาก
ได้ฟังคำอธิบาย นัยน์ตาของหอกสวรรค์กระดูกมังกรเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก “ใช่…คุณพูดถูก”
“อันดับแรก เราต้องปลุกเจิ้งหยางก่อน” จางเซวียนพูด “จะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น เขาจึงสลบไป”
จางเซวียนเคาะนิ้วแล้วปล่อยกระแสพลังปราณเทียบฟ้าเข้าสู่ร่างของลูกศิษย์ของเขา ครู่ต่อมา เจิ้งหยางก็ค่อยๆลืมตา
เจิ้งหยางเป็นนักรบที่มีจิตใจมั่นคงแข็งแกร่งอยู่เสมอ การที่คนอย่างเขาถึงกับสลบไปนั้น แปลว่าต้องพบเจอกับความน่าตกตะลึงครั้งใหญ่ที่ส่งผลให้สภาวะจิตของเขาถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
“ท่านอาจารย์!” เจิ้งหยางหน้าแดงก่ำขณะรีบกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน
“คุณเข้ามาในห้องนี้เป็นคนแรก เกิดอะไรขึ้นถึงสลบไปแบบนั้น?” เว่ยหรูเหยียนถาม
“ผม…” เจิ้งหยางนวดศีรษะเพื่อบรรเทาอาการปวดหัว จากนั้นก็สูดหายใจลึกก่อนจะตั้งต้นอธิบาย “ผมพบเส้นทางที่นำมาสู่ที่นี่ มีห้องโถงที่เหมือนกับห้องด้านบน มีโลงศพด้วย เมื่อเปิดมันออก ผมก็เห็น…ร่างของปรมาจารย์ขง”
“ร่างปรมาจารย์ขง?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
พวกเขาเห็นศพของเจิ้งหยางขณะที่เจิ้งหยางเห็นร่างของปรมาจารย์ขง
สองเรื่องนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า?
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ก็ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับปราการนี้! ผมแน่ใจว่าสถานที่แห่งนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ขงแน่!” เมื่อไม่อาจหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้เพราะมีหลักฐานจำกัด จางเซวียนตัดสินใจละทิ้งเรื่องนี้ไปชั่วคราวและหันมาพิจารณาในสิ่งที่ดูจะแน่นอนกว่า
เขาหันไปมองปราการขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายกระจกเงาซึ่งอยู่ตรงหน้า
คำตอบที่เขาตามหาดูจะอยู่ที่นั่น ปัญหาเดียวก็คือจะต้องหาทางข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งให้ได้
“ขอผมลองหน่อย” จางเซวียนเงื้อหอกสวรรค์กระดูกมังกรในมือขึ้นแล้วจ้วงแทงออกไป
ฉึกกกก!
หอกแทงทะลุมิติ เกิดรูขนาดใหญ่ขึ้น ในชั่วพริบตา มันก็ปะทะกับปราการนั้นอย่างจัง
บึ้มมมม!
พลังงานมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ ร่างของจางเซวียนแข็งทื่อไปเล็กน้อยก่อนจะถูกสอยกระเด็นกลับมา แผ่นหลังของเขากระแทกกับผนังที่อยู่ด้านหลังอย่างจัง เขาหน้าซีด ลมหายใจดูจะขาดห้วงไปเล็กน้อย
เพียงพริบตาเดียว จางเซวียนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียแล้ว
“ใช้การไม่ได้หรือ?” จางเซวียนประหลาดใจ
พละกำลังของเขาบวกกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรทำให้เขาต่อกรได้แม้แต่กับเทพเจ้าที่ได้พบก่อนหน้านี้ ในเมื่อเขาปล่อยพละกำลังเต็มพิกัดออกไปพร้อมกับการจ้วงแทง ก็เป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ยากว่าเหตุใดเขาจึงไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับปราการได้เลยแม้แต่น้อย กลับตรงกันข้าม เขาต้องเผชิญกับแรงตีกลับอย่างรุนแรงที่ทำให้เกือบกระอักเลือดออกมา
บ้าที่สุด! ปราการนี้ทำด้วยอะไรถึงได้น่าสะพรึงนัก?
“นายท่าน ขอผมลองหน่อย” เสียงของไอ้โหดดังขึ้นในหัว
“ไปสิ!” จางเซวียนพยักหน้าขณะปล่อยไอ้โหดออกจากหนังสือเทียบฟ้า
ไอ้โหดได้ร่างของเขากลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้งยังได้ซึมซับชุดฟางด้วย พละกำลังในตอนนี้ของไอ้โหดเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้น หากเขาปล่อยการโจมตีออกมา ก็น่าจะทำลายปราการนั้นได้