มือคู่ใหญ่ยื่นออกมาจากหนังสือ ทำให้ห้องใต้ดินทั้งห้องสั่นสะท้านไม่หยุดราวกับเกิดแผ่นดินไหว มือนั้นตบลงไปบนปราการอย่างแรง
บึ้มมมม!
คลื่นความสั่นสะเทือนหนักหน่วงแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ ทำให้จางเซวียนกับคนอื่นๆกระเด็นไป เมื่อพายุซา พวกเขาก็หันกลับไปมองปราการอีกครั้ง และเห็นมันยังคงตั้งมั่นอยู่อย่างเดิม ไม่มีร่องรอยของความเสียหายแม้แต่น้อย แต่นิ้วมือของไอ้โหดมีเลือดไหลออกมา
“นายท่าน ขอผมลองอีกครั้ง…”
ไอ้โหดก้มหน้าอย่างละอายใจที่การโจมตีของเขาไม่อาจทำลายปราการได้
“ไม่ต้องหรอก ถ้าคุณโจมตีอีกครั้ง ห้องใต้ดินทั้งห้องน่าจะพังลงมาทับเรา” จางเซวียนพูด
ห้องใต้ดินแห่งนี้ถึงขีดสุดของความทนทานของมันแล้วหลังจากถูกโจมตีหลายครั้ง ถ้าพวกเขายังไม่หยุด มันจะต้องพังลงมาทับทุกคนแน่ แม้ด้วยพละกำลังที่แต่ละคนมีจะไม่ทำให้พวกเขาได้รับความบอบช้ำใดๆ แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือพลเมืองอีกมากมายนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียนที่อาศัยอยู่ด้านบน
พละกำลังของนักปราชญ์โบราณนั้นสูงส่งมาก ถ้าความแข็งแกร่งของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติเกิดปั่นป่วนขึ้นมาแม้เพียงนิดเดียว เมืองทั้งเมืองอาจกลายเป็นนรก
“แล้วเราจะทำอย่างไร?”
“เราใช้กำลังกับมันไม่ได้แล้วล่ะ น่าจะมีวิธีอื่นที่จะทำให้ผ่านปราการนี้ไปได้” จางเซวียนพูดยิ้มๆ “ในเมื่อขนาดนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติอย่างคุณยังทำลายมันไม่ได้ ก็แปลว่าปราการนี้ถูกติดตั้งโดยปรมาจารย์ขง เมื่อลองคิดดู ผมก็รู้สึกว่าพอจะรู้อะไรบางอย่าง”
เหตุผลที่จางเซวียนให้ไอ้โหดปล่อยการโจมตีออกมาก็เพื่อทดสอบขีดจำกัดของปราการ ซึ่งการที่ปราการต้านทานพละกำลังของไอ้โหดได้ก็หมายความว่ามันน่าจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ขง
จางเซวียนสูดหายใจลึก เขาเดินเข้าหาปราการและถ่ายทอดรังสีของปรมาจารย์ฟ้าประทานเข้าไป
ในเมื่อทั้งตัวเขาและปรมาจารย์ขงเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานเหมือนกัน บางทีพลังนี้อาจเป็นกุญแจที่จะทำให้ฝ่าด่านคอขวดตรงหน้าไปได้
วิ้งงงง!
เมื่อรังสีถูกถ่ายทอดเข้าไป ปราการก็เริ่มสั่นไหว ภูมิปัญญามากมายนับไม่ถ้วนที่เกิดจากการศึกษาและการให้คำชี้แนะลอยเข้าสู่หัวสมองของเขา ทำให้จางเซวียนเกิดความประทับใจล้ำลึกต่อวิชาชีพปรมาจารย์ ราวกับอุดมคติทั้งหมดของปรมาจารย์ขงได้ถูกถ่ายทอดมาสู่เขา
“ใช้โลกเป็นบททดสอบ คนๆหนึ่งจะสามารถปรับสภาวะจิตให้เหมาะสมเพื่อให้เชื่อมโยงกับธรรมชาติและประนีประนอมกับทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลก…”
เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหัวสมองของจางเซวียน มันอาจเป็นความคิดของปรมาจารย์ขงที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ดูเหมือนจะเป็นการตีความของเขาเองด้วย
ปรมาจารย์ฟ้าประทานคือปรมาจารย์ที่ได้การยอมรับจากสวรรค์ เมื่อมีสวรรค์เป็นแบบอย่าง ปรมาจารย์ฟ้าประทานจะสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าหากพวกเขาอยากก้าวข้ามไปถึงขั้นที่อยู่เหนือสวรรค์ ความยากเย็นที่จะต้องเผชิญก็มีมากเป็นทวีคูณ
อย่างหลิวหยาง เจิ้งหยาง และศิษย์สายตรงคนอื่นๆของจางเซวียน ทุกคนอยู่ภายใต้คำชี้แนะของเขา ทำให้ระดับวรยุทธของคนเหล่านั้นพัฒนารวดเร็วกว่านักรบธรรมดาสามัญ แต่หากทุกคนอยากเหนือชั้นกว่าจางเซวียน นั่นจะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันทำได้ ต่อให้ใช้เวลาชั่วชีวิต
ไม่ใช่เพราะลูกศิษย์เหล่านั้นอ่อนแอ แต่เทคนิควรยุทธส่วนใหญ่ที่พวกเขาฝึกฝนก็มาจากจางเซวียน มันได้ก่อตัวขึ้นเป็นรากฐานวรยุทธ ซึ่งหากพวกเขาอยากเหนือชั้นไปกว่าจางเซวียน ก็จะต้องเสาะหาความเข้าใจในเทคนิควรยุทธที่ล้ำลึกยิ่งกว่า หรือไม่ก็ละทิ้งทุกสิ่งที่เคยร่ำเรียนมาทั้งหมด
ปรมาจารย์ขงมีศิษย์สายตรงมากกว่าสามพันคน แต่ไม่มีแม้สักคนที่เหนือชั้นไปกว่าเขา เพียงเท่านั้นก็บอกชัดแล้วว่าการจะก้าวหน้าไปกว่าผู้ให้คำชี้แนะตัวเองนั้นเป็นเรื่องยาก
“ผมคิดว่าผมเข้าใจ ผมเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน, ปรมาจารย์ที่ได้การยอมรับจากสวรรค์ พูดอีกอย่างก็คือ การปรากฏตัวของผมถือว่าอยู่ภายใต้สวรรค์ ดังนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ใดๆที่เหนือชั้นไปกว่าสวรรค์จะรับรู้ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น…ทำไมผมจึงยังต้องเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานต่อไปล่ะ?”
ราวกับว่าจางเซวียนเกิดการรู้แจ้งบางอย่างขึ้นมา นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงเมื่อเข้าใจ “ในเมื่อคุณปฏิเสธการฝ่าด่านวรยุทธของผม ผมก็จะไม่เป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานอีกแล้ว แต่จะเป็น…ครูบาอาจารย์ของโลกแทน!”
หากเขาอยากฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณให้สำเร็จ ก็อาจทำมันได้อย่างง่ายดายโดยใช้แก่นสารเพลงหอก แก่นสารเพลงกระบี่ หรือแม้แต่แก่นสารเพลงหมัดและอื่นๆ แต่ทันทีที่ทำอย่างนั้น ทุกอย่างก็จะถูกกำหนดไว้ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเสาะแสวงหาหนทางที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ดังนั้น จางเซวียนจึงพยายามค้นหาบางอย่างที่เรียกได้ว่าเป็นของตัวเขาเพียงคนเดียว และนั่นคือเหตุผลที่เขากดข่มวรยุทธมาตลอด ไม่ยอมฝ่าด่านวรยุทธตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา
และในเวลานี้ ดูเหมือนเขาจะพบหนทางแล้ว
ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาได้การยอมรับจากสวรรค์และได้เป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน ก็หมายความว่าโลกนี้มีชีวิตจิตใจ!
ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมเขาถึงจะต้องเป็นแค่คนที่ได้การยอมรับ? ทำไมถึงไม่เป็นครูบาอาจารย์เสียเอง?
ถ้าใครสักคนยึดโลกเป็นแบบอย่างและเรียนรู้จากมัน ก็จะไม่มีวันเหนือชั้นไปกว่าขีดจำกัดของโลกได้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง ในฐานะครูบาอาจารย์ของโลก สถานภาพและตำแหน่งของเขาเหนือชั้นกว่าโลกตั้งแต่เริ่มแรกอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่เส้นทางซึ่งนำไปสู่การเป็นนักปราชญ์โบราณย่อมจะราบรื่นกว่าที่เคย
แต่ว่า…การจะได้เป็นครูบาอาจารย์ของโลกนั้น การพูดย่อมง่ายกว่าทำมาก เราจะต้องเข้าใจโลก เข้าถึงจุดแข็งและจุดอ่อนทั้งหมดของมัน เมื่อถึงเวลานั้น เราจึงจะคู่ควรกับการได้รับตำแหน่ง ยิ่งไปกว่านั้น เราจะต้องละทิ้งสถานภาพปรมาจารย์ฟ้าประทานของเราด้วย!
หัวใจของจางเซวียนเต้นถี่ขณะวางแผนการ ทันทีที่กำหนดทิศทางของตัวเองได้ เขาก็หลับตาและปล่อยรังสีของปรมาจารย์ฟ้าประทานออกมาพร้อมกันในคราวเดียว
ทุกการได้มาย่อมต้องมีการสูญเสียบางอย่างไป
หากอยากมีเหรียญทองเต็มถุง ก็จะต้องโยนเหรียญเงินที่มีอยู่เดิมออกไปเสียก่อน!
แม้ตำแหน่งปรมาจารย์ฟ้าประทานจะเป็นตำแหน่งที่คนทั้งโลกปรารถนา แต่มันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่มากกว่าขีดจำกัดสำหรับเขา ดังนั้นการสลัดมันทิ้งจึงไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย
ความสำเร็จของเขาก่อตัวขึ้นจากความขยันหมั่นเพียร ความอดทน ความชอบธรรม และจิตวิญญาณที่แน่วแน่ไม่หวั่นไหว ส่วนบทบาทของปรมาจารย์ฟ้าประทานนั้น? นั่นออกจะเป็นสิ่งที่ล่องลอยไปสักหน่อย!
เมื่อจิตใจสงบลง จางเซวียนสำแดงพลังงานที่เขาได้ซึมซับจากการได้การยอมรับเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานทั้ง 5 ครั้งออกมา รังสีเข้มข้นแผ่ซ่านและพุ่งขึ้นสู่มิติเบื้องบนในรูปของลำแสง เมื่อถึงปลายสุดของโลก มันก็ระเบิดออกและแปรสภาพเป็นกระแสพลังงานมากมายนับไม่ถ้วนที่สลายตัวออกไปโดยรอบ
เมื่อรังสีปรมาจารย์ฟ้าประทานสลายตัวไป เจตจำนงของจางเซวียนก็ค่อยๆลอยขึ้นสู่กลางอากาศ เจตจำนงของสวรรค์ถาโถมเข้าใส่เจตจำนงของเขา เกิดเป็นการปะทะกันระหว่างพลังของเจตจำนง
…..
ที่สภาปรมาจารย์แห่งจักรวรรดิไป๋เจียง
“เส้นทางของความเป็นครูบาอาจารย์นั้นประกอบด้วย 3 ส่วน คือการถ่ายทอดความรู้ การสั่งสอนให้มีบุคลิกและนิสัยที่เหมาะสม รวมถึงการสร้างความรู้แจ้งให้เกิดในหัวใจ เหตุผลที่คำสอนของปรมาจารย์ขงเข้าถึงทุกคนในโลกใบนี้ก็เพราะการถ่ายทอดความรู้ที่ปราศจากการแบ่งแยก หัวใจของเขากว้างใหญ่พอที่จะโอบรับทั้งโลกไว้ ในฐานะปรมาจารย์ พวกคุณควรยึดถือความรับผิดชอบนี้ไว้ในหัวใจตลอดเวลา เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องได้รับคำชี้แนะอย่างเหมาะสมจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะยืนยงไปได้อีกหลายชั่วคน…”
ปรมาจารย์ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่กลุ่มหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าหอยอมรับปรมาจารย์ ผู้อาวุโสคนหนึ่งกำลังเปิดการบรรยายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ขอรับ!” เหล่าปรมาจารย์พยักหน้า
นับแต่วินาทีที่พวกเขาได้เป็นปรมาจารย์ ก็ได้รู้ความรับผิดชอบของตัวเองและเลือกที่จะแบกรับภาระเหล่านั้นไว้ หลายหมื่นปีมาแล้วที่สภาปรมาจารย์ได้รับทั้งความเคารพยกย่องและการดูถูกเหยียดหยามจากประชาชน แต่เหตุผลที่มันยังคงยืนยงผ่านการทดสอบของกาลเวลาและเป็นที่หนึ่งของโลกอยู่ได้ก็เพราะจิตวิญญาณที่ตั้งมั่นไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
“ดีมาก คุกเข่าและคารวะเหล่าบรรพบุรุษเสีย!”
ผู้อาวุโสกำลังจะขยับออกไปด้านข้างเพื่อให้เหล่าปรมาจารย์ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่เข้ามาคารวะบรรดาป้ายชื่อบรรพบุรุษ ก็พอดีกับที่พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ป้ายชื่อบรรพบุรุษที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบบนแท่นบูชาสั่นสะท้านไม่หยุด
โครมมมม!
ป้ายชื่อบรรพบุรุษทุกอันร่วงลงมาพร้อมกัน อีกทั้งยังหันหน้าไปทางเดียวกันด้วย
“เกิดอะไรขึ้น?”
ผู้อาวุโสตาโตด้วยความตกใจ เขารีบหันไปมองบรรดาป้ายชื่อบรรพบุรุษที่ร่วงลงมา และเห็นร่างหนึ่งก่อตัวขึ้นจากหมู่เมฆและสายรุ้ง ร่างนั้นสวมเสื้อคลุมตัวยาว ดูจะสูงตระหง่านกว่าโลกทั้งโลก ทำให้ไม่อาจมองเห็นร่างเต็มตัวของเขา
ร่างนั้นหันมาเผชิญหน้ากับทุกคน แต่รังสีที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาทำให้ไม่มีใครกล้าสู้หน้าเขาตรงๆ รังสีนั้นดูเหมือนจะบีบบังคับให้ทุกคนต้องโค้งคำนับให้
“นั่น…ปรมาจารย์ฟ้าประทาน!” ผู้อาวุโสอุทานออกมาขณะตัวแข็งด้วยความตกตะลึง
ตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์ ผู้เดียวที่เป็นที่รู้กันว่าได้เป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานก็คือปรมาจารย์ขง
เหล่าปรมาจารย์ต่างเสาะแสวงหาและพยายามเดินตามเส้นทางของเขา แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างหนักหน่วงแค่ไหนก็ไม่อาจประสบความสำเร็จ แต่ตอนนี้…มีปรมาจารย์ฟ้าประทานเกิดขึ้นในหมู่พวกเขาอีกคนหนึ่งแล้ว!
เมื่อไม่อาจระงับความตื่นเต้นไว้ได้อีกต่อไป ผู้อาวุโสทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับ
เขาจับจ้องเหล่าปรมาจารย์ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ซึ่งยังคงยืนจังงังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับและตวาดก้อง “ปรมาจารย์ฟ้าประทานคนใหม่ปรากฏตัวในหมู่พวกเราแล้ว รังสีของความรุ่งโรจน์รอคอยอยู่ตรงหน้า รีบคารวะเสีย!”
“ดะ-ได้!”
ฝูงชนรีบทรุดตัวลงคุกเข่าและโค้งคำนับอย่างงาม
ข่าวคราวเกี่ยวกับปรมาจารย์ฟ้าประทานเป็นที่รู้กันเฉพาะภายในสภาปรมาจารย์ แต่ในเวลานี้ ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนได้เป็นสักขีพยานร่วมกันในภาพที่เห็น
ร่างที่อยู่ห่างออกไปยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่กับพื้น สองบ่าของเขาแบกรับน้ำหนักของสวรรค์ นี่คือสัญญาณของความใกล้ชิดอย่างสูงสุดต่อโลก แต่เขาก็ผลักมันออกไปด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม
นี่เขากำลัง…ท้าทายสวรรค์จริงๆ!