สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าจางเซวียนคือโลกเขียวชอุ่มอันกว้างใหญ่ท้องฟ้าสีฟ้า หมู่เมฆขาวลอยเกลื่อน ดินแดนนั้นกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เกิดเป็นภาพอันสงบสุขไปพร้อมกับเสียงร้องจุ๊กจิ๊กราวกับเสียงดนตรีของฝูงนก พลังจิตวิญญาณในอากาศเข้มข้นจนเทียบได้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ในทวีปแห่งปรมาจารย์
ไม่ไกลจากจุดที่จางเซวียนอยู่ มีผืนนาที่เต็มไปด้วยข้าวสาลี
“เราอยู่ที่ไหน?” เว่ยหรูเหยียนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว ขณะเดินช้าๆออกมาจากความมืดมิด เธอขับเคลื่อนพลังปราณอย่างระมัดระวังเพราะเกรงว่าจะมีอันตรายอยู่ในพื้นที่
“น่าจะเป็นอาณาจักรโบร่ำโบราณสักแห่ง” เจิ้งหยางตอบ
จางเซวียนประเมินพื้นที่โดยรอบอย่างถี่ถ้วนก่อนจะค่อยๆเดินตรงไปยังทุ่งนา เขาโน้มตัวลงเหนือต้นข้าวสาลีต้นหนึ่งแล้วถอนมันออกมาเพื่อตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ครู่ต่อมาก็หัวเราะหึๆขณะตั้งคำถาม “พวกคุณรู้หรือยัง?”
“รู้?”
เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนทวนคำถามของจางเซวียนอย่างงุนงง
เจิ้งหยางเดินเข้าไปพิจารณาต้นข้าวสาลีในมือของจางเซวียนก่อนจะตั้งข้อสังเกต “ข้าวสาลีที่นี่ดูจะแข็งแรงกว่าที่เราพบในทวีปแห่งปรมาจารย์ ดูเหมือนมันจะได้รับพลังจิตวิญญาณจากบริเวณโดยรอบในปริมาณที่มากกว่าด้วย”
“คุณพูดถูก ข้าวสาลีที่นี่ได้รับการถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณในปริมาณที่มากกว่า” เว่ยหรูเหยียนพยักหน้าขณะที่ยังคงงุนงงอยู่เล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมท่านอาจารย์ถึงสนใจต้นข้าวสาลีมากกว่าจะค้นหาว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนและควรทำอะไรต่อไป
ในฐานะนักปราชญ์โบราณ พวกเขาดำเนินชีวิตต่อไปได้โดยไม่มีปัญหา ต่อให้ไม่มีอาหารก็ตาม ดังนั้นผลผลิตทางการเกษตรจึงไม่ดึงดูดความสนใจของพวกเขาอีกต่อไป
“นี่คือข้าวสาลีแตกยอด ด้วยปริมาณพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่อยู่ในตัวมัน คนธรรมดาสามัญคนหนึ่งจะสามารถยกระดับสภาวะร่างกายของเขาได้หากได้บริโภคมันเป็นระยะเวลานานพอ ดูสภาวะกายพิษแต่กำเนิดของคุณเป็นตัวอย่าง ถ้าคุณได้กินข้าวสาลีแตกยอดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ก็จะไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดมากนัก แถมยังจะปลุกสภาวะพิเศษขึ้นได้อย่างง่ายดายด้วย”
สภาวะกายพิษแต่กำเนิดของเว่ยหรูเหยียนเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถปลุกมันหรือควบคุมมันได้ด้วยตัวเอง นั่นทำให้ร่างกายของเธอต้องเผชิญกับความตึงเครียดอย่างหนัก ส่งผลให้เกิดความอ่อนแอเรื้อรังตั้งแต่ยังเด็ก ถ้าไม่ใช่เพราะท่านพ่อของเธอ, เว่ยชางเฟิง ยอมลงทุนลงแรงทุกวิถีทางเพื่อหาทรัพย์สมบัติทุกชนิดมายื้อชีวิตของเธอไว้ ก็ไม่มีทางที่เธอจะมีชีวิตรอดอยู่ได้นานพอที่จะได้พบกับจางเซวียน
แต่หากเธอได้กินข้าวสาลีแตกยอดนี้ตั้งแต่ยังเด็ก สภาวะร่างกายของเธอก็จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้รับมือกับสภาวะพิเศษได้ดีขึ้น บางทีเธออาจไม่ต้องแบกรับความทุกข์ทรมานมากมายอย่างที่เคยเป็น และเว่ยชางเฟิงก็คงไม่ต้องเสียชีวิตเพียงเพื่อสมุนไพรเพียงต้นเดียว
“ถ้าข้าวสาลีแตกยอดสายพันธุ์นี้ไร้เทียมทานขนาดนั้น จะไม่เป็นผลดีกับมวลมนุษย์หรือถ้าเราสามารถนำมันกลับไปปลูกที่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้” เจิ้งหยางตาโตด้วยความตื่นเต้น
ในฐานะหัวหน้าสภายอดขุนพล เขาจะต้องผลักดันตัวเองให้คิดการใหญ่และมองภาพในมุมกว้างเสมอ มีสมุนไพรหลายชนิดในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่สามารถยกระดับสภาวะร่างกายของมนุษย์ได้ แต่สมุนไพรเหล่านั้นก็ไม่อาจปลูกได้ในปริมาณมากๆ เพราะเงื่อนไขที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของมันค่อนข้างเข้มงวด
แต่ในอีกแง่หนึ่ง การที่ข้าวสาลีแตกยอดสามารถเจริญเติบโตจนเป็นทุ่งขนาดใหญ่ได้ ก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปลูกมันมากๆในคราวเดียว
ถ้าพวกเขาสามารถยกระดับสภาวะร่างกายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้จะเป็นผลดีใหญ่หลวงต่อมวลมนุษย์!
เหตุผลที่มนุษย์ไม่สามารถคว้าชัยชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในสงครามกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นทั้งที่ปรมาจารย์มากมายนับไม่ถ้วนต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ ก็เป็นเพราะจุดเริ่มต้นของเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นไปไกลเกินกว่าที่มนุษย์จะเอื้อมถึง
ต่อให้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีสายเลือดเปราะบางที่สุดก็ยังมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบเหนือมนุษย์ มาแต่กำเนิด ความแตกต่างตั้งแต่เริ่มต้นทำให้เกิดช่องว่างที่แทบจะไม่มีความพยายามไหนทำให้มันทัดเทียมกันได้
อันที่จริง ถือได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้วที่เผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถเอาชีวิตรอดมาได้เนิ่นนานหลายปีทั้งที่ต้องเผชิญกับความโหดเหี้ยมของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
รู้ดีว่าเจิ้งหยางกำลังคิดอะไร จางเซวียนส่ายหัว “ไม่มีทางปลูกข้าวสาลีแตกยอดในทวีปแห่งปรมาจารย์ได้หรอก”
รายละเอียดของพืชชนิดนี้ไม่มีปรากฏในบันทึกของสภาปรมาจารย์ แต่เขาค้นพบความรู้เรื่องนี้จากภูเขาแห่งหนังสือที่วิหารแห่งขงจื๊อ มันเป็นพืชที่ปรมาจารย์ขงหมายตาไว้ และไม่น่าจะปลูกได้ในโลกของพวกเขา
จางเซวียนต้องใคร่ครวญครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าจะแน่ใจว่าพืชที่เขาถืออยู่คือต้นข้าวสาลีแตกยอดจริงๆ
“ทำไมล่ะ?” เจิ้งหยางตั้งคำถามด้วยความสงสัย
จริงอยู่ว่าปริมาณพลังจิตวิญญาณที่นี่เข้มข้นกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์มาก แต่ด้วยความสามารถของพวกเขา มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะสร้างพื้นที่ปิดขนาดใหญ่ที่สามารถเลียนแบบสภาพแวดล้อมที่นี่ได้ แล้วทำไมถึงไม่มีทางปลูกพืชชนิดนี้ในทวีปแห่งปรมาจารย์?
“ตลอดสงครามยาวนานหลายปีกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นบรรยากาศของทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ปนเปื้อนเจตนาสังหารของพวกมัน แม้จะมีปริมาณน้อยมาก อยู่ในระดับที่พวกเราแทบไม่รู้สึกแต่โชคร้ายที่ข้าวสาลีแตกยอดอ่อนไหวกับเจตนาสังหารมาก ถึงขนาดที่หากสัมผัสแม้เพียงนิดเดียวก็ทำให้พวกมันเสียชีวิตได้”
ขณะที่จางเซวียนอธิบาย เขาก็เคาะนิ้วเบาๆและถ่ายทอดพลังปราณที่มีเจตนาสังหารเจือปนเข้าสู่ทุ่งข้าวสาลี
ฟึ่บ!
ราวกับหมึกหยดหนึ่งที่หยดลงไปในน้ำใส ต้นข้าวสาลีแตกยอดที่อยู่ในพื้นที่ราวสิบหมู่จากจุดที่นิ้วของเขาชี้ไปกลายเป็นสีเหลืองและเหี่ยวแห้งในทันที ราวกับใครบางคนได้เก็บเกี่ยวผลผลิตในพื้นที่ทั้งหมดไปแล้ว
“เฮ้ย…”
เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนอัศจรรย์ใจมาก แม้แต่จางเซวียนก็ชะงักไปเล็กน้อยกับความอ่อนไหวของต้นข้าวสาลีแตกยอด
ถึงเขาจะรู้ว่าพืชชนิดนี้ไวต่อเจตนาสังหารมาก แต่ก็คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะอ่อนแออย่างที่เห็น
เขาควบคุมเจตนาสังหารที่เจืออยู่ในกระแสพลังปราณนั้นให้อยู่ในระดับที่น้อยมากแล้ว แต่มันก็ยังลงเอยด้วยการสร้างความเสียหายให้ทั้งท้องทุ่ง ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าไม่มีทางที่พืชชนิดนี้จะมีชีวิตรอดอยู่ได้ในทวีปแห่งปรมาจารย์
“มีเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ทำให้เจตนาสังหารในบรรยากาศมีความเข้มข้นระดับหนึ่ง แม้จะตรวจจับได้ยากและแทบไม่มีผลอะไรเลยต่อมนุษย์ส่วนใหญ่ แต่ก็มากเกินพอที่จะสร้างหายนะให้กับข้าวสาลีแตกยอด” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต
เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนพยักหน้ารับ
“แต่ดินแดนของอาณาจักรเทียนเซวียนน่าจะไม่มีเจตนาสังหารปนเปื้อนนี่ ใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะปลูกข้าวสาลีแตกยอดที่นั่น?” เว่ยหรูเหยียนตั้งคำถาม
เธอรู้สึกได้ทันทีที่เข้าสู่อาณาจักรเทียนเซวียนว่ามีปราการธรรมชาติอยู่ในอาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งนั้น ปราการที่ว่าดูเหมือนจะปิดกั้นเจตนาสังหารที่อบอวลอยู่ในบรรยากาศไม่ให้ทำลายดินแดนนั้นได้
หรือพูดอีกอย่างก็คือ อาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งนี้ปราศจากเจตนาสังหารอย่างสิ้นเชิง
“คุณพูดถูกที่ว่าไม่มีเจตนาสังหารปนเปื้อนอยู่ในบรรยากาศของอาณาจักรเทียนเซวียน แต่ก็น่าเสียดายที่ปริมาณพลังจิตวิญญาณที่นั่นมีน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้น คุณไม่รู้สึกหรือว่าที่นั่นไม่มีรังสีพิเศษที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ให้คนธรรมดาสามัญกลายเป็นปรมาจารย์ได้เลย?” จางเซวียนถาม
“เอ่อ…” เว่ยหรูเหยียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
เธอไม่ใส่ใจเรื่องนั้นมากนักเพราะมันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อเธอในฐานะกูรูยาพิษ แต่นั่นก็ฟังขึ้น
ไม่มีเจตนาสังหารเจือปนในอาณาจักรเทียนเซวียน แต่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ขึ้นเป็นปรมาจารย์นั้นถือว่าขาดแคลนมาก
ด้วยเหตุนี้ ใครก็ตามที่อยากเป็นปรมาจารย์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกจากอาณาจักรเทียนเซวียนไปพำนักที่อื่น
แม้แต่ลู่ฉวินที่พวกเขาได้พบก่อนหน้านี้ก็ได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวเพราะย้ายไปอาศัยอยู่ที่อาณาจักรอื่น
“อาณาจักรโบร่ำโบราณเป็นดินแดนแห้งแล้งทุรกันดารปราศจากรังสี แถมยังมีพลังจิตวิญญาณเบาบาง แม้จะไม่มีเจตนาสังหารปนเปื้อนอยู่ในพื้นที่นั้น แต่บรรยากาศของมันก็ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของข้าวสาลีแตกยอด ถึงมันจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ในอาณาจักรเทียนเซวียน แต่ก็ไม่แข็งแรงพอจะเจริญเติบโต”จางเซวียนตอบพร้อมกับถอนหายใจ
หลังจากที่เขาถ่ายถอนสถานภาพปรมาจารย์ฟ้าประทานออกไปแล้ว จึงมองเห็นภาพกว้างของอาณาจักรเทียนเซวียนได้อย่างชัดเจน แค่มองแวบเดียว เขาก็รู้ซึ้งไปถึงหัวใจของมัน
เขาไม่อาจค้นหาเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความแปลกประหลาดของอาณาจักรโบร่ำโบราณได้ แต่แน่ใจว่าไม่สามารถปลูกข้าวสาลีแตกยอดที่นั่น
ไม่อย่างนั้น ปรมาจารย์ขงก็คงเปลี่ยนอาณาจักรโบร่ำโบราณให้กลายเป็นศูนย์กลางของทวีปแห่งปรมาจารย์ไปแล้ว
“ถึงข้าวสาลีแตกยอดจะเติบโตไม่ได้ในอาณาจักรโบร่ำโบราณแต่ดูเหมือนจะงอกงามดีในพื้นที่นี้ นี่พวกเราเข้ามาอยู่ในสถานที่แบบไหนกัน?” เจิ้งหยางตั้งคำถามด้วยความอยากรู้
สำหรับพืชชนิดหนึ่งที่ไม่อาจมีชีวิตรอดได้ในพื้นที่อื่น แต่กลับเจริญงอกงามในดินแดนนี้…หรือว่าที่นี่มีอะไรพิเศษ?
จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ที่นี่น่าจะเป็นอาณาจักรโบร่ำโบราณคุนฉื่อที่พวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์พำนักอยู่ สถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับมิติลี้ลับอื่นๆที่พวกเราเคยเข้าไป มันได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นโลกใบใหม่!”
“ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์?” เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ
ขณะที่พวกเขากำลังจะซักไซ้ต่อ เสียงแตรก็ดังก้องขึ้นจากระยะไกลจากนั้นคนกลุ่มใหญ่ก็รี่เข้ามา ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความแค้นเคือง