จางเซวียนไม่แยแสโฉมงามของหมู่บ้าน ตัวเขากับเจิ้งหยางและเว่ยหรูเหยียนเร่งฝีเท้า ไม่ช้าก็ตามวัยรุ่นทั้งสามทัน
แม้วัยรุ่นทั้งสามจะไม่สามารถเดินทางผ่านรอยแยกของมิติ แต่ก็ดูเหมือนพวกเขาจะได้ฝึกฝนศิลปะการเคลื่อนไหวชนิดพิเศษบางอย่าง ทำให้เดินทางได้ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
“เราควรยับยั้งพวกเขาไว้และสอบถามดีไหม?” เจิ้งหยางตั้งคำถาม
“ไม่จำเป็นหรอก ต่อให้เราสอบถามพวกเขา ผมเชื่อว่าพวกเขาก็ไม่น่าจะไขข้อข้องใจของเราได้ ตอนนี้แค่ตามพวกเขาไปก็พอ ทุกอย่างน่าจะกระจ่างเมื่อไปถึงสำนักแห่งขงจื๊อ” จางเซวียนตอบพร้อมกับส่ายหน้า
ข้อมูลที่เขาอยากรู้เป็นหนึ่งในความลับสุดยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่วัยรุ่นกลุ่มนี้จะรู้เรื่อง อีกอย่าง การเปิดเผยเป้าหมายของพวกเขาอาจไม่เป็นประโยชน์นัก ดังนั้นจึงดีกว่า ถ้าจะสะกดรอยตามวัยรุ่นทั้งสามไป แล้วค่อยตัดสินใจภายหลังเมื่อถึงสำนักแห่งขงจื๊อแล้ว
เจิ้งหยางเชื่อมั่นในการตัดสินใจของท่านอาจารย์ เขาพยักหน้าก่อนจะเงียบไป
ทั้งกลุ่มเดินทางต่อ, 3 วันให้หลังก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงหน้าภูเขาใหญ่โตและสูงตระหง่าน พื้นที่ด้านหน้าภูเขาคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่มีอยู่หลายพันคน
เจิ้งหยางร่อนลงกับพื้นอย่างเงียบๆและแฝงตัวเข้าไปในหมู่ฝูงชนเพื่อหาข้อมูล ขณะที่จางเซวียนกับเว่ยหรูเหยียนใช้โอกาสนี้ประเมินสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ในหมู่ฝูงชนที่ออกันอยู่นี้ ไม่มีใครที่อายุเกิน 30 ปี ระดับวรยุทธของพวกเขาล้วนแต่ทัดเทียมกันกับวัยรุ่นทั้งสาม คือระดับเซียนขั้น 9, อันที่จริง มีบางคนที่สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แล้วด้วยซ้ำ
นอกจากเจิ้งหยางกับศิษย์สายตรงคนอื่นๆของจางเซวียน ก็ไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 ก่อนอายุ 30 ปี แต่คนเหล่านี้มาปรากฏตัวพร้อมกันมากมายในคราวเดียว…สมกับเป็นร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ พวกเขาไม่ธรรมดาจริงๆ!
พวกเขามีสายเลือดของนักปราชญ์โบราณ สภาวะร่างกายของคนเหล่านี้ได้รับการขัดเกลาจากข้าวสาลีแตกยอดมาหลายชั่วอายุคน อีกทั้งยังได้รับการถ่ายทอดมรดกทั้งหมดของปรมาจารย์ขงด้วย ดังนั้น บรรดาวัยรุ่นในทวีปแห่งปรมาจารย์คงรับมือกับคนเหล่านี้ได้ยาก จางเซวียนคิด
มีอัจฉริยะอยู่มากมายในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่แม้ในสามตระกูลใหญ่ สมาชิกส่วนใหญ่ที่เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 ก็ล้วนแต่มีอายุกว่า 200 ปี ซึ่งพวกเขาก็กลายเป็นผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติในตระกูลของตัวเอง
เป็นเรื่องพิเศษมากที่ใครสักคนจะมีความแข็งแกร่งระดับนี้ทั้งที่อายุเพียง 20 กว่าปี
“ท่านอาจารย์ ฉันสัมผัสได้ถึงรังสีที่คมกริบเป็นพิเศษจากพวกเขา” เว่ยหรูเหยียนส่งโทรจิตหาจางเซวียน “ดูราวกับว่าพวกเขาได้ผ่านการต่อสู้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มันเป็นสิ่งที่ฉันแทบไม่เคยสัมผัสได้เลยจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญในทวีปแห่งปรมาจารย์”
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพยักหน้ารับ
ความพิเศษของวัยรุ่นจำนวนหลายพันคนนี้สะดุดตาเขาเช่นกัน
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ล้วนแต่เป็นปรมาจารย์ แม้พวกเขาจะมีประสิทธิภาพการต่อสู้สูงส่ง แต่ก็มีทักษะและความเชี่ยวชาญที่โดดเด่นกว่าในการถ่ายทอดความรู้และให้คำชี้แนะกับคนรุ่นหลัง พูดอีกอย่างก็คือ บรรดานักรบที่มารวมตัวกันด้านหน้าภูเขาแห่งนี้ได้แผ่รังสี ของสมรภูมิและการสู้รบที่ส่งตรงออกมาจากกระดูกของพวกเขา ไม่ต่างอะไรกับยอดขุนพล
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะกับวรยุทธเพียงอย่างเดียว พวกเขายังได้ผ่านการสู้รบมาอย่างโชกโชน ทำให้มีความเข้าใจล้ำลึกในเทคนิคการต่อสู้
อีกพักหนึ่ง เจิ้งหยางก็กลับมารายงานจางเซวียนผ่านทางโทรจิต
“ท่านอาจารย์! เท่าที่ผมได้ยิน สำนักแห่งขงจื๊อไม่ได้อยู่ที่นี่ มันซ่อนอยู่ในมิติลี้ลับแห่งหนึ่ง ถ้าเราอยากเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ ก็จะต้องเข้าร่วมการทดสอบเสียก่อน ผู้คนทั้งหมดที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นเชื้อสายของ 72 นักปราชญ์ และพวกเขามาเพื่อเข้ารับการทดสอบ”
“เข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้าและครุ่นคิด
“ผู้เข้ารับการทดสอบจะต้องผ่านบททดสอบมากมายเพื่อให้ได้เข้าสู่มิติลี้ลับอันแปลกประหลาดที่สำนักแห่งขงจื๊อตั้งอยู่ ไม่อย่างนั้น ปราการที่ถูกติดตั้งไว้จะผลักดันพวกเขาออกมา ไม่อนุญาตให้ผ่านเข้าไปข้างใน” เจิ้งหยางอธิบาย
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อสำรวจพื้นที่โดยรอบ หวังว่าจะได้พบตำแหน่งที่ตั้งของสำนักแห่งขงจื๊อ แต่ไม่ช้าก็ส่ายหน้า
เขาพบค่ายกลหลายอันอยู่รอบตัว แต่ไม่มีมิติลี้ลับหรืออะไรทำนองนั้นปรากฏให้เห็น ดูเหมือนเขาคงไม่อาจเล็ดลอดเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อได้โดยง่าย
เราควรจะปลอมตัวเป็นผู้เข้ารับการทดสอบเพื่อเข้าร่วมการทดสอบไหม? จางเซวียนคิด
เขาคือผู้ที่มีประสิทธิภาพการต่อสู้ไร้เทียมทานที่สุดในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นผู้ทำลายล้างมิติ แม้แต่นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงผู้ทรงพลังก็ยังเทียบชั้นกับตัวเขาในเวลานี้ไม่ได้! แต่แล้วเขาก็กำลังจะปลอมตัวเป็นผู้เข้ารับการทดสอบธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งต้องแข่งขันกับนักรบระดับเซียนขั้น 9 และกึ่งนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกเป็นโขยง
แค่คิดก็ทำให้รู้สึกละอายแล้ว ราวกับว่าเขาคือผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เข้าสู่สนามเด็กเล่นเพื่อท้าทายเด็กๆที่เล่นกันอยู่ที่นั่น!
แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้น การจะเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อก็คงทำได้ยาก เขาไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน และปราการที่โอบล้อมมันไว้ทรงพลังอย่างไร ดังนั้นการใช้กำลังจึงไม่น่าจะได้ผล
แม้ด้วยระดับวรยุทธของเขาในตอนนี้ เขาก็ยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมรดกของปรมาจารย์ขง ปราการที่เขาข้ามมาก่อนจะเข้าสู่มิติแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดี หากสำนักแห่งขงจื๊อมีบางสิ่งที่มีศักยภาพระดับนั้น เขาคงจะจนมุมเสียก่อน ต่อให้มีไอ้โหดคอยช่วยเหลือก็ตาม
จางเซวียนใช้ความคิดครู่หนึ่งก่อนจะหันไปสั่งการลูกศิษย์ทั้งสอง “สำนักแห่งขงจื๊อน่าจะเต็มไปด้วยภัยอันตราย และการปลอมตัวของคุณทั้งสองก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ สำหรับตอนนี้ พวกคุณควรหาพื้นที่ใกล้เคียงแล้วพักอยู่ที่นั่นไปก่อน จนกว่าผมจะติดต่อพวกคุณไป”
เครื่องรางแห่งการปลอมตัวที่หลัวลั่วชิงให้เขามาสามารถปรับเปลี่ยนได้แม้แต่สายเลือด ทำให้ไม่มีทางที่ใครจะรับรู้ความผิดปกติ ด้วยสิ่งนี้ จางเซวียนสามารถปลอมตัวเป็นหนึ่งในผู้เข้ารับการทดสอบได้โดยปราศจากปัญหาใดๆ แต่สำหรับเจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียน ถึงทั้งคู่จะปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของตัวเองได้ แต่ก็ไม่อาจปลอมแปลงส่วนอื่นที่เหลือ ซึ่งหากเจอเข้ากับการตรวจสอบของนักปราชญ์โบราณ พวกเขาก็จะถูกเปิดโปงทันที
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ห่างๆน่าจะฉลาดกว่า
“ได้ ท่านอาจารย์” รู้ซึ้งถึงความเก่งกาจของท่านอาจารย์ ทั้งคู่พยักหน้ารับ
ทั้งกลุ่มรีบวางแผน ก่อนที่เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนจะเดินยิ้มแฉ่งจากไป ทั้งคู่หลอกล่อวัยรุ่น 2 คนจากตระกูลฟ่านออกมาได้โดยไม่ลำบากลำบน ก่อนที่จางเซวียนจะเข้าประชิดตัววัยรุ่นคนสุดท้ายพร้อมกับยิ้มให้
“ฟ่านเฉี่ยวฉู ยินดีที่ได้พบคุณ!”
หลังจากติดตามวัยรุ่นทั้งสามมาตลอดระยะเวลา 3 วัน จางเซวียนก็รู้ภูมิหลังของพวกนั้นเป็นอย่างดี เด็กวัยรุ่นที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือฟ่านเฉียวฉู่ และเป็นหนึ่งในผู้ที่จะเข้ารับการทดสอบเพื่อเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ
“คุณคือ…”
แม้ฟ่านเฉียวฉู่จะเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ แต่ก็ไม่มีทางที่เขาจะรับรู้การปรากฏตัวของจางเซวียนกับคนอื่นๆ เพราะระดับความแข็งแกร่งที่เหลื่อมล้ำกัน ดังนั้นเขาจึงงุนงงไม่น้อยที่เห็นจางเซวียนรู้จักชื่อของเขา
“ผมว่าคุณไม่น่าจะรู้จักผมหรอก แต่ผมเป็นเพื่อนสนิทของท่านพ่อของคุณ เขาฝากฝังให้ผมมาช่วยดูแล เพราะฉะนั้น ผมจึงอยากขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวสักหน่อยเกี่ยวกับการทดสอบที่กำลังจะมาถึง!” จางเซวียนพูด
“คุณเป็นเพื่อนสนิทของท่านพ่อ?” นัยน์ตาของฟ่านเฉียวฉู่บ่งบอกความสงสัย
ท่านพ่อของเขาคือหัวหน้าตระกูลฟ่าน ชายวัยกลางคนที่มาส่งพวกเขาเมื่อสามวันก่อน ถ้าท่านพ่อของเขามีมิตรสหายอยู่ที่นี่ ก็น่าจะบอกเขาล่วงหน้าแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้เรื่อง
“ใช่แล้ว แถวนี้มีผู้คนมากมายเกินไป ทำไมเราไม่หลบไปด้านข้างล่ะ?” จางเซวียนรู้ทันทีว่าฟ่านเฉี่ยวฉูสงสัยตัวตนของเขา แต่ก็ยังคงแสดงทีท่าเป็นทองไม่รู้ร้อน
“ก็ได้” ฟ่านเฉี่ยวฉูยังแคลงใจ แต่ในที่สุดก็พยักหน้ารับ
นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด, การที่พวกเขาถูกห้อมล้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจจำนวนมากมาย ก็ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเล่นงานเขาจังๆ ต่อให้ผู้นั้นจะคิดร้ายกับเขาก็ตาม
อีกอย่าง เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาที่เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่มีอะไรสำคัญพอที่จะทำให้ใครเล่นงานเขา
ทั้งคู่เดินไปยังด้านหลังอาคารที่อยู่ใกล้ๆ ฟ่านเฉี่ยวฉูกำลังจะถามเหตุผลของการพูดคุยครั้งนี้ ก็พอดีกับที่เห็นฝ่ามือของอีกฝ่ายกางอยู่ตรงหน้า
ฝ่ามือนั้นกระแทกใบหน้าของเขาอย่างจัง ฟ่านเฉียวฉู่สลบไปทันที
วินาทีที่สติกำลังจะหลุดลอย ฟ่านเฉี่ยวฉูก็แสนจะแปลกใจกับการที่ใครสักคนกล้าเล่นงานเขาในสถานที่แบบนี้!
จางเซวียนเก็บร่างของฟ่านเฉียวฉู่ไว้ในมิติลี้ลับของเขาก่อนจะใช้เครื่องรางแห่งการปลอมตัวปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาจนเหมือนอีกฝ่าย แม้กระทั่งเสื้อผ้าก็เหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน
แม้จางเซวียนจะเพิ่งเข้าสู่มิติแห่งนี้ได้ไม่นาน แต่ก็พอเข้าใจวัฒนธรรมของที่นี่ มีแต่ผู้ที่เป็นสมาชิกในตระกูลของ 72 นักปราชญ์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ฝึกฝนวรยุทธ พลเมืองธรรมดาสามัญไม่มีโอกาสได้เข้าถึงเทคนิควรยุทธใดๆทั้งนั้น
เขาคงไม่มีทางได้รับอนุญาตให้เข้ารับการทดสอบหากปลอมตัวเป็นนักรบธรรมดา จึงจำเป็นต้องเล่นงานหมอนี่
แต่ถึงอย่างไร เรื่องนี้ก็ถือเป็นโอกาสดีของอีกฝ่าย
อย่างน้อยที่สุด หมอนี่ก็จะได้ผ่านการทดสอบไปโดยปราศจากอุปสรรคใดๆ มันคือตั๋วทองคำที่รับประกันได้ว่าเขาจะได้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ
จางเซวียนรีบกลับไปยังจุดที่เขาพาตัวฟ่านเฉียวฉู่มาเมื่อครู่ ไม่ช้าก็เห็นเจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนเดินกลับมาพร้อมกับวัยรุ่นอีก 2 คนที่พวกเขาล่อลวงไป วัยรุ่นทั้งสองมีสีหน้าสับสน เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจว่าก่อนหน้านี้ถึงถูกดึงตัวไป
เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนอ้อมแอ้มแก้ตัวว่าจำคนผิดก่อนจะรีบจากไป ทิ้งให้วัยรุ่นทั้งสองยืนงง
ไม่ช้า ร่างสูงตระหง่านของคนกลุ่มหนึ่งก็ร่อนลงมาจากระยะไกล แรงกดดันหนักหน่วงถาโถมเข้าใส่พวกเขา
เหล่าผู้เชี่ยวชาญจากสำนักแห่งขงจื๊อมาถึงแล้ว!