“การรับรู้จิตวิญญาณ!”
หลังจากแยกทางกับชายหนุ่ม จางเซวียนเดินไปอีกระยะหนึ่งก่อนจะปลดปล่อยการรับรู้จิตวิญญาณของเขาออกมา ในชั่วพริบตา เขาก็เห็นภาพรวมของทั้งภูเขา
อันที่จริง มีค่ายกลหลายอันถูกติดตั้งไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เข้าทดสอบใช้การรับรู้จิตวิญญาณ แต่เพราะพละกำลังที่เหนือชั้นและการมองเห็นข้อบกพร่องของค่ายกลเหล่านั้น จางเซวียนจึงสามารถใช้การรับรู้จิตวิญญาณของเขาได้โดยไม่สะดุดตาใคร
ไม่ช้าเขาก็พบร่องรอยของวัยรุ่นทั้ง 2 ที่เขากำลังตามหาอยู่
“อ้อ? ฟ่านเฉี่ยวชิงดูจะโชคดี เขาถูกส่งทะลุมิติไปยังลำธารที่อยู่ใจกลางภูเขา เพราะฉะนั้นตราบใดที่เขาซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ก็น่าจะหลบเลี่ยงสายตาของใครต่อใครได้สักระยะหนึ่ง ว่าแต่…ฟ่านเฉี่ยวเฟิงโชคดีแบบนั้นหรือเปล่า?”
ผู้เข้าทดสอบทั้ง 3 คนจากตระกูลของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อคือฟ่านเฉี่ยวฉู, ฟ่านเฉี่ยวชิง และฟ่านเฉี่ยวเฟิง
ฟ่านเฉี่ยวชิงซ่อนตัวได้ดี จนบัดนี้จึงยังไม่มีใครพบตัวเขา แต่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายกว่ากันมาก มีผู้เข้าทดสอบที่เก่งกาจ 3 คนไล่ล่าเขาอยู่
โชคดีที่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงมีความแคล่วคล่องว่องไว ไม่อย่างนั้นตราหยกของเขาคงถูกทำลายไปแล้ว
ดังนั้น จางเซวียนจึงสะกดรอยตามฟ่านเฉี่ยวเฟิงไป เขารู้ดีว่ามีกองกำลังลาดตระเวนคอยจับตาการเคลื่อนไหวของเขาอยู่ จึงพยายามรักษาระดับความเร็วตามแบบของนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดเอาไว้
วิ้ววววว!
ขณะกำลังเดินทาง จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงคลื่นความสั่นสะเทือนที่อยู่รอบตัว
การแข่งขันระหว่างผู้เข้าทดสอบนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะสบประมาทได้ คงไม่เป็นการพูดเกินเลยหากจะบอกว่าการสู้รบมากมายเกิดขึ้นทุกวินาทีนับตั้งแต่เริ่มต้นการทดสอบ และผู้เข้าทดสอบก็ถูกคัดออกไปทีละคนสองคน
การทดสอบของสำนักแห่งขงจื๊อช่างโหดหินจริงๆ
จริงอยู่ว่ากติกาอนุญาตให้ผู้เข้าทดสอบรวมตัวกันเป็นพันธมิตรได้ แต่ด้วยจำนวนที่นั่งที่มีจำกัด พันธมิตรแต่ละกลุ่มต่างก็พร้อมจะเล่นงานกันและกัน หากใครคนหนึ่งไม่ระมัดระวังตัว ก็จะถูกแทงข้างหลังทันที
นับตั้งแต่เริ่มการทดสอบ จางเซวียนได้เห็นภาพแบบนั้นหลายครั้ง ผู้เข้าทดสอบ 3 คนผนึกกำลังกันเพื่อเล่นงานนักรบที่มาคนเดียว แต่ระหว่างการต่อสู้ หนึ่งในผู้เข้าทดสอบทั้ง 3 ที่ผนึกกำลังกันนั้นไม่ทันระมัดระวังตัวและได้รับบาดเจ็บ สุดท้าย เพื่อนร่วมทีมของเขาก็หันหลังให้และกำจัดเขาด้วย
สำหรับการทดสอบครั้งนี้ การได้รับบาดเจ็บสาหัสถือเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ลดลง ยังเป็นสัญญาณของความอ่อนแอที่เปิดช่องให้ผู้เข้าทดสอบคนอื่นเล่นงานได้ ดังนั้น ต่อให้เป็นพันธมิตรกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นข้อได้เปรียบในการทดสอบ
ขณะที่จางเซวียนกำลังมุ่งหน้าไป ฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็กำลังตัวสั่นไม่หยุด เหงื่อไหลเป็นทางจากศีรษะของเขา
เขาถูกผู้เข้าทดสอบ 3 คนรุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อพลังงานในร่างกายครึ่งหนึ่งถูกใช้ไป ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าก็เข้าเกาะกุมร่างกายของเขา
“มันเรื่องอะไรถึงดิ้นรนนักหนา? ก็แค่ยอมถูกคัดออก แล้วความทุกข์ทรมานของคุณก็จะสิ้นสุด คุณควรรู้ตัวตั้งแต่แรกแล้วว่าสำนักแห่งขงจื๊อไม่ใช่สถานที่ที่คนระดับคุณจะเข้าไปได้!” หนึ่งในวัยรุ่นกลุ่มนั้นคำรามเยาะอย่างมั่นอกมั่นใจ ราวกับนายพรานที่ต้อนเหยื่อให้จนมุมได้สำเร็จ
วัยรุ่นอีก 2 คนที่อยู่ด้านหลังเขาเข้าตีวงล้อมฟ่านเฉี่ยวเฟิงในลักษณะของค่ายกลรูปพัด
“ก็กำจัดผมให้ได้สิ! ต่อให้ผมไม่อาจเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อได้ ก็จะต้องเล่นงานคุณให้พังไปพร้อมกับผมด้วย!” รู้ดีว่าไม่มีหนทางหลบหนี ฟ่านเฉี่ยวเฟิงกัดฟันอย่างโกรธเกรี้ยวขณะจ้องตาวัยรุ่นทั้ง 3 ที่อยู่ตรงหน้า
โชคชะตาของเขาช่างโหดร้ายเหลือเกิน เพราะทันทีที่เข้าสู่ภูเขา ก็ถูกส่งทะลุมิติมาอยู่ใจกลางวงล้อมของเจ้า 3 คนนี่ เขาต้องใช้พลังงานไปทั้งหมดกว่าจะเอาชีวิตรอดมาได้นานขนาดนี้
“ฮ่าฮ่าฮ่า! คุณจะเล่นงานพวกเราให้ล่มจมไปพร้อมกับคุณหรือ? ช่างเป็นเรื่องที่ตลกที่สุดในศตวรรษ!” วัยรุ่นคนที่เป็นหัวหน้าทีมคำรามเย้ยหยัน “จัดการเขาซะ!”
ฟึ่บ!
ได้ยินสัญญาณบอกการโจมตี ทั้ง 3 พุ่งเข้ามะรุมมะตุ้มทำร้ายฟ่านเฉี่ยวเฟิง การโจมตีของพวกเขาครอบคลุมทุกทิศทาง ทำให้อีกฝ่ายหมดหนทางหลบหนี
วัยรุ่นที่เป็นหัวหน้าทีมนั้นสำเร็จวรยุทธระดับกึ่งนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขณะที่อีก 2 คนเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด การที่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงจะสู้กับคนใดคนหนึ่งก็ยากพอแล้ว นับประสาอะไรกับการที่ทั้ง 3 ปล่อยการโจมตีพร้อมกัน เขาปั่นป่วนจนทำอะไรไม่ถูกตั้งแต่เริ่ม
พลั่ก!
แรงปะทะหนักหน่วงสอยเขากระเด็นไปกระแทกกับก้อนหินที่อยู่ด้านหลังอย่างแรง ร่างของฟ่านเฉี่ยวเฟิงอ่อนปวกเปียกและทรุดลงไปกองกับพื้นราวกับโคลนกองหนึ่ง
เมื่อเห็นฟ่านเฉี่ยวเฟิงไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ หัวหน้าทีมบอกลูกทีมอีก 2 คนที่เหลือ “อย่ามัวเสียเวลาเลย รีบทำลายตราหยกของเขาเถอะ แล้วเราจะได้ล่าเหยื่อคนต่อไป!”
“ได้!”
วัยรุ่นคนที่อยู่ทางซ้ายหัวเราะหึๆขณะกระโจนเข้าหาฟ่านเฉี่ยวเฟิง แล้วยื่นมือออกไปที่ตราหยกซึ่งอยู่บนหน้าอกของอีกฝ่าย
ถ้าการโจมตีนั้นถึงเป้าหมาย ฟ่านเฉี่ยวเฟิงจะต้องถูกคัดออกแน่
“ดูเหมือนเรากำลังจะทำลายความคาดหวังของตระกูลเสียแล้ว…” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงมีสีหน้าสิ้นหวัง เขารู้ดีว่า โอกาสกลับมาอีกครั้งนั้นไม่มีอีกต่อไป
จึงได้แต่หลับตาอย่างหมดอาลัยตายอยาก แล้วยินยอมพร้อมใจรับโชคชะตา
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตราหยกที่อยู่บนหน้าอกของเขาก็ยังไม่แตกสลาย ฟ่านเฉี่ยวเฟิงลืมตาขึ้นอีกครั้งและเห็นร่างหนึ่งนั่งอยู่บนโขดหินที่ไม่ห่างออกไป ร่างนั้นนั่งเขย่าขาขวาอย่างสบายอารมณ์ขณะมองมายังพวกเขาพร้อมกับอมยิ้ม
“พวกคุณ 3 คนคงภูมิใจมากสินะที่ได้รวมหัวกันเล่นงานหมอนั่น?”
“เฉี่ยวฉู…” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงใจเต้นตึกตักเมื่อได้ยินเสียงนั้น
เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลูกชายของหัวหน้าตระกูล, ฟ่านเฉี่ยวฉู!
อีกฝ่ายมาช่วยชีวิตเขาในช่วงเวลาคับขันพอดี!
“รนหาที่ตายอีกคนหนึ่งแล้วสินะ ใช่ไหม?” เห็นชายหนุ่มที่มาใหม่กล้ายั่วโมโหพวกเขา วัยรุ่นที่เป็นหัวหน้าทีมคำรามเยาะ เขาเชิดหน้ามองวัยรุ่นอีก 2 คนที่เหลือและเข้าตีวงล้อมจางเซวียนอย่างรวดเร็ว
“คุณควรจะได้เห็นกับตานะว่าพวกเราภาคภูมิใจในตัวเองขนาดไหน!”
ฟึ่บ!
รู้ดีว่าเวลามีค่าถึงขั้นที่หากเผลอแม้เพียงวินาทีเดียวก็จะก่อให้เกิดความเสี่ยงใหญ่หลวง ทั้ง 3 จึงพุ่งเข้าใส่จางเซวียนทันที
เห็นวัยรุ่นทั้ง 3 หันไปเล่นงานลูกชายหัวหน้าตะกูล ฟ่านเฉี่ยวเฟิงอุทานด้วยความตื่นตระหนก “เฉี่ยวฉู, หนีเร็ว! อย่างน้อยที่สุดพวกเราคนใดคนหนึ่งก็จะได้ผ่านการทดสอบ ไม่ต้องห่วงผม!”
เขารู้ว่าเฉี่ยวฉูแข็งแกร่งกว่าเขาไม่มาก จึงไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเอาชนะวัยรุ่นทั้ง 3 ที่อยู่ตรงหน้าได้ แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองถูกคัดออก ฟ่านเฉี่ยวฉูควรจะหนีไปมากกว่า อย่างน้อยที่สุด ตระกูลของพวกเขาก็จะยังพอมีหวัง
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
แต่ยังไม่ทันที่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงจะพูดจบ เสียงหมัดและเสียงเตะเนื้อสดๆก็ดังก้องไปทั่วกลางอากาศ เมื่อเห็นทุกอย่างเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา คำพูดที่เขากำลังจะพูดพลันติดอยู่ในลำคอ ทำให้อึกอักจนพูดอะไรออกมาไม่ได้
ทุกอย่างกลับตาลปัตร วัยรุ่นทั้ง 3 ที่ยังยืนจองหองอยู่เมื่อครู่ล้วนแต่นอนระเกะระกะอยู่กับพื้น นัยน์ตาของพวกเขาฉายความพรั่นพรึง
ระหว่างนั้น ฟ่านเฉี่ยวฉูยังคงนั่งอยู่บนโขดหิน ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อน อีกฝ่ายมองเขาด้วยรอยยิ้มให้กำลังใจและพูดว่า “คุณควรกำจัดเจ้าพวกนี้ด้วยตัวเองนะ”
“ผม?” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงผงะกับคำพูดนั้น
จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเฉี่ยวฉูที่เขารู้จักเล่นงานวัยรุ่นทั้ง 3 อย่างง่ายดายได้อย่างไร เขางุนงงสงสัยกับเรื่องนั้นจนคิดอะไรอย่างอื่นไม่ออก
“เมื่อครู่ก่อน เจ้าพวกนี้พยายามกำจัดคุณไม่ใช่หรือ? ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็เป็นสิทธิ์ของคุณที่จะ เอาคืน” จางเซวียนตอบ
การที่เขาโจมตีวัยรุ่นทั้ง 3 ก็ถือเป็นการรังแกกันพอแล้ว เขาคงจะละอายใจมากกว่านี้หากต้องกำจัดเจ้าพวกนี้ด้วยตัวเอง
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็อยากรักษาศักดิ์ศรีไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ตะ-แต่…ผมสู้พวกนั้นไม่ได้!” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงร้องออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ถึงวัยรุ่นทั้ง 3 จะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปะทะกับฟ่านเฉี่ยวฉู แต่อาการบาดเจ็บของตัวเขาเองก็ไม่น้อย ต่อให้เขาอยากกำจัดวัยรุ่นทั้ง 3 มากขนาดไหน ก็รู้ดีว่าตัวเขาในสภาพนี้ไม่มีความสามารถพอจะทำอย่างนั้น
“วางใจเถอะ เจ้า 3 คนนี่น่ะไม่มีอะไรหรอก ทำตามคำสั่งของผม แล้วคุณจะเล่นงานพวกเขาได้สบาย!” จางเซวียนตอบ
“เล่นงานพวกเขาได้สบาย? ผมนี่นะ?” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงลังเลเล็กน้อย แต่ดูเหมือนความคิดหนึ่งจะแวบเข้ามาในหัวใจของเขา จึงกัดฟันแล้วตอบว่า “ก็ได้ ผมจะลองดู!”
ถึงอย่างไรฟ่านเฉี่ยวฉู่ก็อยู่ด้วย และจากสถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะปลอดภัย ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องกังวล ต่อให้จะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ก็ตาม
“คุณจะไม่โจมตีพวกเราหรือ?” วัยรุ่นที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมองจางเซวียนอย่างหวาดระแวง
อีกฝ่ายเล่นงานพวกเขาได้ในกระบวนท่าเดียว ในแง่ของความแข็งแกร่ง คงไม่มีนักรบรุ่นหลังคนไหนที่เทียบชั้นกับเขาได้ การสู้รบกับคู่ต่อสู้ระดับนี้มีแต่จะทำให้พวกเขาพ่ายแพ้
แต่ถ้าคู่ต่อสู้ของเขาเป็นแค่เจ้าหนุ่มที่พวกเขาไล่ต้อนอยู่เมื่อครู่ การจะเอาชนะก็คงไม่ยากเกินไป
“ผมไม่โจมตีหรอก เพราะฉะนั้น ใช้วิธีไหนก็ได้ที่พวกคุณมีอยู่ ถ้าคุณเอาชนะเขาได้ ผมจะปล่อยให้คุณทั้ง 3 จากไป แต่ผมเกรงว่าพวกคุณน่ะคงจะต้องจบเส้นทางของวรยุทธอยู่ที่นี่แหละ!” จางเซวียนตอบอย่างเย็นชา
ได้ยินคำนั้น ฟ่านเฉี่ยวเฟิงแทบเข่าอ่อน “เฉี่ยวฉู คุณบ้าไปแล้วหรือไง?”