ฉินเฉี่ยวเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อปี้ เขาสำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดตั้งแต่เมื่อปีก่อน ด้วยความสามารถของเขา เขามั่นใจว่าจะผ่านการทดสอบของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ได้อย่างสบาย แต่กลับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ เพราะรูปแบบการทดสอบในปีนี้คือการปล่อยให้มีการถูกคัดออกอย่างอิสระ
ถ้าเป็นการประลองแบบเดิม เขามั่นใจว่าจะได้เป็นหนึ่งในร้อยคนสุดท้ายอย่างแน่นอน แต่เมื่อเป็นการคัดออกอย่างอิสระ ก็มีตัวแปรมากมายที่จะต้องใส่ใจหากอยากได้ชัยชนะ
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้สึกว่าการจะได้เป็น 100 คนสุดท้ายที่อยู่รอดนั้นก็ไม่ได้ยากเกินไปหากเขาเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง แต่โชคร้ายที่ดูเหมือนเทพธิดาแห่งโชคลาภจะไม่เข้าข้างเขาเลย เพียงไม่นานหลังจากเข้าสู่สนามสอบ เขาก็ได้พบกับผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่งที่สุดในการทดสอบครั้งนี้, เหยียนอี้เฉี่ยว และก่อนที่จะรู้ตัว ก็ถูกคัดออกเสียแล้ว
ที่บริเวณรอบนอกของภูเขา ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่เคยยืนอยู่กับหนานกงหยวนเฟิงเมื่อครู่ก่อนเดินเข้ามาหาฉินเฉี่ยวและพูดว่า “เหยียนอี้เฉี่ยวคือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในการทดสอบครั้งนี้ คุณไม่ต้องรู้สึกแย่หรอกที่พ่ายแพ้ให้เขา!”
เขาคือหรันเฟย เชื้อสายตระกูลของนักปราชญ์โบราณหรันหย่ง
ทุกคนที่ถูกคัดออกจะถูกส่งทะลุมิติมายังบริเวณนี้ และเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่น เหล่าผู้เชี่ยวชาญของสำนักแห่งขงจื๊อจะคอยสอดส่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในภูเขาตลอดเวลา
“ผมรู้ว่าการพ่ายแพ้ให้เขาเป็นเรื่องที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยง แต่ก็เจ็บใจ!” ฉินเฉี่ยวกำหมัดแน่นอย่างหงุดหงิด
เขารู้ตัวว่าไม่มีทางอยู่เหนือเหยียนอี้เฉี่ยวได้ เพราะความเหลื่อมล้ำในพละกำลังของพวกเขามีมากเกินไป แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังเป็นความรู้สึกย่ำแย่เหลือเกินที่ต้องถูกคัดออกทันทีที่ก้าวเข้าสู่สนามสอบ
“เหยียนอี้เฉี่ยวคือน้องชายของเหยียนเฉว่ เขาได้รับคำชี้แนะจากอีกฝ่าย ในบรรดาผู้เข้าทดสอบสองพันคนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ มีบางคนที่สำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 การพักฟื้นภายในแล้วด้วยซ้ำ แต่แม้พวกเขาก็ยังรับมือกับเหยียนอี้เฉี่ยวได้ด้วยความยากลำบาก นับประสาอะไรกับคุณ” ผู้เเชี่ยวชาญหรันเฟยปลอบพร้อมกับยิ้มให้ “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ เขาน่าจะได้คะแนนสูงสุดในการทดสอบครั้งนี้…”
การจะได้เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิต 100 คนสุดท้ายเป็นเพียงเงื่อนไขเบื้องต้นของการเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ ส่วนจะได้อันดับที่เท่าไหร่ในบรรดา 100 คนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าได้กำจัดผู้เข้าทดสอบไปมากแค่ไหนตลอดระยะเวลาของการทดสอบ
กล่าวได้ว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของเหยียนอี้เฉี่ยวนั้นไร้เทียมทานเมื่อเทียบกับผู้เข้ารับการทดสอบทั้งสองพันคน และที่เลวร้ายไปกว่านั้น เขายังผนึกกำลังกันกับนักรบชั้นยอดอีก 6 คนด้วย ใครก็ตามที่โชคร้ายพอจะได้พบกับทีมของเขาล้วนแต่ถูกกำจัด ไม่มีหนทางอื่น
“ตระกูลของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญออกมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ผมเชื่อว่าเรื่องนี้คงแก้ไขอะไรไม่ได้…” แม้ฉินเฉี่ยวจะไม่เต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกล้ำกลืน
ทันใดนั้น ก็มีแสงเจิดจ้าระเบิดขึ้นตรงหน้าฉินเฉี่ยว
ตุ้บ!
ร่างหนึ่งตกลงมากระแทกกับพื้นที่ไม่ห่างออกไปนัก
เมื่อเห็นร่างของผู้ที่เพิ่งถูกส่งทะลุมิติมา ฉินเฉี่ยวตาค้างด้วยความตกตะลึง
“นั่นมันทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อเหิง, ฉีหย่วนใช่ไหม? เขาอยู่ในทีมของเหยียนอี้เฉี่ยวนี่ และเป็นคนที่กำจัดผมออกด้วย…”
ในฐานะหนึ่งใน 7 สมาชิกในทีมของเหยียนอี้เฉี่ยว เขาถูกคัดออกได้อย่างไร?
ใครกันที่กล้าเล่นงานลูกทีมของเหยียนอี้เฉี่ยว หรือว่าจะเกิดความขัดแย้งกันเอง?
ตุ้บ!
ขณะที่กำลังตกตะลึง แสงสว่างวาบก็เจิดจ้าเข้าตาของฉินเฉี่ยวอีกครั้งขณะที่อีกร่างหนึ่งร่วงลงมากองกับพื้น เขามาจากทีมของเหยียนอี้เฉี่ยวเช่นกัน
ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!
จากนั้น นักรบอีก 4 คนก็ตกลงมากองกับพื้นด้วยสีหน้าที่ดูกระอักกระอ่วนเต็มที
“หรือว่าพวกเขาทุกคน…” ฉินเฉี่ยวจังงังกับสิ่งที่เห็น
ทุกคนล้วนแต่มีใบหน้าคุ้นตา! พวกเขาเคยอยู่กับเหยียนอี้เฉี่ยวตอนที่ตัวเขาเองถูกคัดออกเมื่อก่อนหน้านี้ มันเรื่องอะไรถึงถูกกำจัดไปทีละคนสองคนภายในระยะเวลาอันรวดเร็วขนาดนั้น?
เหยียนอี้เฉี่ยวเล่นงานพวกเขา หรือว่าเจอเข้ากับผู้เชี่ยวชาญที่ไร้เทียมทานสักคน?
เมื่อทนความอยากรู้ไว้ไม่ไหว ฉินเฉี่ยวรีบเข้าไปถาม “พวกคุณน่ะ…เกิดอะไรขึ้น…”
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ อีกร่างหนึ่งก็ร่วงลงมากองกับพื้น
ตุ้บ!
เมื่อฉินเฉี่ยวพิจารณาร่างนั้นอย่างถี่ถ้วน ก็ตัวแข็งไปทันที พูดอะไรไม่ออก แม้แต่หรันเฟยก็ยืนงง แทบเข่าอ่อนและทรุดฮวบลงกับพื้น
ผู้ที่เพิ่งถูกคัดออกไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้เข้าทดสอบที่พวกเขายืนยันอย่างมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องได้เป็นแชมป์ของการทดสอบครั้งนี้…เหยียนอี้เฉี่ยว!
เหยียนอี้เฉี่ยวกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนขณะจ้องมองยอดเขาด้วยสายตาแผดเผาดุจเปลวเพลิง เขาระงับความร้อนรุ่มในอกไว้ไม่ไหวและคำรามออกมา “ฟ่านเฉี่ยวฉู ยังไม่จบแค่นี้หรอกนะ!”
นี่เป็นการเหยียดหยามอย่างเลวร้ายที่สุดที่เขาเคยเจอ
เขาเป็นนักรบขั้นการพักฟื้นภายใน ผู้คนมากมายมองว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เหมาะสมกับตำแหน่งแชมป์ เขาเคยคิดว่าในที่สุดก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะได้สำแดงพละกำลังและขึ้นเป็นที่ 1 ในการทดสอบ แต่ใครจะไปรู้ว่าฟ่านเฉียวฉู่คนนั้นจะคว้าคอของเขาและจับเขาโยนออกมาราวกับบีบคอลูกไก่ตัวหนึ่ง และที่เลวร้ายกว่านั้น…เขาตอบโต้ไม่ได้เลยสักนิด
มันเป็นรอยด่างในชีวิตที่เขาไม่มีวันลบมันออกไปได้!
เหยียนอี้เฟยมองไปรอบๆ เมื่อเห็นผู้เชี่ยวชาญหรันเฟย ก็เดินเข้าไปประสานมือให้อีกฝ่ายและรายงาน “อาจารย์หรันเฟย ผมสงสัยว่าฟ่านเฉี่ยวฉูที่มาจากตระกูลนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อจะใช้กลโกง ผมขอให้กองกำลังลาดตระเวนมุ่งหน้าไปตรวจสอบเขาด้วย!”
“ใช้กลโกง?”
“ถูกต้อง ผมพบฟ่านเฉี่ยวฉูเมื่อครึ่งปีก่อน แม้เขาจะไม่อ่อนด้อยนัก แต่ก็ยังห่างไกลกับการที่จะรับมือกับผม แต่เมื่อครู่นี้ เขาเล่นงานผมจนพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย…” เหยียนอี้เฟยกัดฟันคำราม
“ผมเข้าใจ” ผู้เชี่ยวชาญหรันเฟยพยักหน้า “ผมจะแจ้งกองกำลังลาดตระเวนให้ไปตรวจสอบเรื่องนั้น”
เขานึกไม่ออกว่าฟ่านเฉี่ยวฉูจะใช้กลโกงแบบไหน แต่ในเมื่อมีใครคนหนึ่งร้องเรียน แถม ‘ใครคนนั้น’ ยังเป็นผู้เข้าทดสอบที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีโอกาสจะได้เป็นแชมป์ด้วย ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะต้องเข้าไปสอดส่อง
ดังนั้น เขาจึงนำตราหยกสื่อสารออกมาและสั่งการลงไป จากนั้นก็หันกลับมามองเหยียนอี้เฉี่ยวและให้ความมั่นใจ “ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าฟ่านเฉี่ยวฉูใช้กลโกงจริงๆ พวกเราจะต้องค้นพบบางอย่างแน่ เรามีสายตามากมายคอยสอดส่องอยู่ทั่วทั้งภูเขา ไม่มีทางที่การกระทำของเขาจะหลุดรอดสายตาของพวกเราไปได้หรอก…”
ด้วยความสำคัญของการทดสอบครั้งนี้ การใช้กลโกงถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด แต่ก็แน่นอนว่าถ้าฟ่านเฉี่ยวฉูเอาชนะเหยียนอี้เฉี่ยวได้ด้วยพละกำลังของตัวเอง เรื่องนี้ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้
“อือ!” เหยียนอี้เฉี่ยวถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าคุณถูกฟ่านเฉี่ยวฉูกำจัดใช่ไหม? ไม่ทราบว่าทีมของเขามีกี่คน ถึงเล่นงานพวกคุณจำนวนมากได้พร้อมกันในคราวเดียว?” ผู้เชี่ยวชาญหรันเฟยตั้งคำถาม
ในมุมมองของเขา ฟ่านเฉี่ยวฉูคนนั้นน่าจะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญไว้ได้มากมาย เพราะการกระทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ในการทดสอบ
แต่ถ้าไม่ใช่แบบนั้น ก็หมายความว่าเขาเอาชนะการผนึกกำลังกันของนักรบถึง 7 คนได้โดยลำพัง ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เพราะต่อให้นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ก็ยังไม่อาจทำอะไรแบบนั้นได้!
“เขา…” คำถามนั้นกระตุกความทรงจำของเหยียนอี้เฉี่ยวเมื่อครู่ก่อน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว “เขามาคนเดียว…มีผู้เข้าทดสอบอีกคนหนึ่งอยู่กับเขา แต่หมอนั่นไม่ได้ขยับตัวเลยสักนิด!”
“คุณกำลังบอกผมว่าฟ่านเฉี่ยวฉูเล่นงานพวกคุณทุกคนได้ด้วยตัวเขาเพียงลำพังหรือ?” ผู้เชี่ยวชาญหรันเฟยถึงกับจังงัง “มันเป็นการดวลตัวต่อตัวใช่ไหม?”
“ไม่ใช่…พวกเรารวมหัวกันโจมตีเขาเพื่อประหยัดเวลา…” เหยียนอี้เฟยหน้าแดงก่ำขึ้นกว่าเดิม
เพราะเห็นความเก่งกาจของฟ่านเฉี่ยวฉู เขาจึงเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้เข้าร่วมทีม แต่หมอนั่นกลับดูถูกคำเชิญของเขา นั่นทำให้เขาโมโหมาก จึงสั่งการให้ทั้งทีมเข้าตะลุมบอน
ใครจะไปคิดว่าทั้งๆที่มีผู้เชี่ยวชาญมากมายอยู่ข้างกาย แต่กลับไม่มีใครสักคนที่ต้านทานการตอบโต้ของฟ่านเฉี่ยวฉูได้?
“เอาเป็นว่า ทั้งๆที่รุมเล่นงานเขาพร้อมกันเป็นทีม แต่ลงท้ายพวกคุณก็ถูกเขากำจัดออกมา?” ผู้เชี่ยวชาญหรันเฟยนัยน์ตาเบิกโพลง ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
เหยียนอี้เฉี่ยวไม่ค่อยเต็มใจจะพูด จึงได้แต่พยักหน้าอย่างเงียบๆ
“เอ่อ…” ผู้เชี่ยวชาญหรันเฟยตกตะลึงเสียจนหุบปากไม่ลง การที่สามารถเล่นงานนักรบมากมายพร้อมกันด้วยตัวคนเดียว…หรือว่าระดับวรยุทธของฟ่านเฉี่ยวฉูคนนั้นจะเหนือกว่าขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2-บรมครูนักปราชญ์ไปแล้ว?
แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ใครสักคนจะสำเร็จวรยุทธขั้นนั้นก่อนที่จะได้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ
ด้วยความตกตะลึง ผู้เชี่ยวชาญหรันเฟยกำลังจะสืบเสาะเรื่องราวให้ละเอียดลออกว่านี้ ก็พอดีกับที่เกิดการระเบิดของแสงขึ้นอีกครั้ง จากนั้น นักรบอีกกลุ่มหนึ่งก็ร่วงลงมากองกับพื้น
ตุ้บ! ตุ้บ!
“นี่มันกองกำลังลาดตระเวน…”
“กองกำลังลาดตระเวนมีหน้าที่กำจัดผู้เข้าทดสอบไม่ใช่หรือ? ทำไมลงท้าย…ถึงถูกกำจัดเสียเองล่ะ?”
ฉินเฉี่ยว เหยียนอี้เฉี่ยว และคนอื่นๆถึงกับมึนงง
เมื่อครู่นี้เองที่กองกำลังลาดตระเวนถูกส่งออกไปเพื่อตรวจสอบฟ่านเฉี่ยวฉู…แต่ใครจะไปคิดว่าคนเหล่านั้นจะถูกดีดออกมาจากภูเขา!
“มันเกิดอะไรขึ้น? พวกคุณไม่มีตราหยกนี่ เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูก ‘คัดออก’?” ผู้เชี่ยวชาญหรันเฟยอุทาน
หัวหน้ากองกำลังลาดตระเวนกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนขณะอธิบาย “ฟ่านเฉียวฉู่จับตัวพวกเราไว้และสร้างค่ายกลทะลุมิติเพื่อส่งพวกเราออกมา…”
“เขาสร้างค่ายกลทะลุมิติเพื่อส่งพวกคุณออกมา?” ทุกคนถึงกับจังงัง
…..
ในระหว่างนั้น บนภูเขา จางเซวียนหันไปมองฟ่านเฉี่ยวเฟิงที่กำลังงงงันและพูดว่า “ไปตามหาฟ่านเฉี่ยวชิงกันเถอะ!”