“ผมเข้าใจแล้ว!”
เห็นฟ่านเฉี่ยวชิงถูกเล่นงานจนถึงจุดที่จังงังไปอย่างสิ้นเชิง บางทีอาจจะลืมชื่อของตัวเองแล้วด้วยซ้ำ ฟ่านเฉี่ยวเฟิงตาโตขณะพยักหน้าอย่างตื่นเต้น
เฉี่ยวฉูช่างเป็นคนน่าทึ่งจริงๆ เขามองทะลุถึงแก่นของเรื่องนี้ได้ในทันที
ถ้าเป็นตัวเขา ไม่เพียงแต่การโจมตีจะพลาดเป้า อีกฝ่ายยังอาจใช้โอกาสนี้พลิกสถานการณ์กลับมาเล่นงานเขาได้ด้วย แต่ด้วยการใช้หมัดเพียง 2-3 หมัด หมอนั่นก็หมดสภาพไปอย่างสิ้นเชิง เกิดเป็นผลการต่อสู้ที่ชัดเจน
แม้จะยังต้องใช้อีก 2-3 กระบวนท่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่ากันมาก บางทีอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะจบการต่อสู้เสียด้วยซ้ำ!
“คุณคิดว่าเพียงเพราะเขาถูกเล่นงานที่ใบหน้าอย่างจังติดต่อกันหลายครั้ง จึงไม่มีทางตอบโต้ได้ใช่ไหม?” ฟ่านเฉียวฉู่ตั้งคำถาม
“ฮะ? เกิดเหตุแบบนั้นแล้ว ยังจะกลับมาสู้ได้ด้วยหรือ? ผมเกรงว่าผมไม่รู้จริงๆว่าจะรับมือกับสถานการณ์แบบนั้นอย่างไร” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงตอบอย่างละอายใจ
ถ้าเขาเป็นฟ่านเฉี่ยวฉิง หมัดเหล่านั้นคงเล่นงานเขาจนราบคาบ จิตใจของเขาคงปั่นป่วนจนอาจถึงกับพ่ายแพ้การต่อสู้
จะเล่นงานใครก็ต้องไม่ใช่ที่ใบหน้า…นี่เป็นคำพูดที่รู้กันโดยทั่วไป การที่ใครคนหนึ่งถูกโจมตีเข้าที่ใบหน้าถือเป็นการดูถูกกันอย่างใหญ่หลวง
“สถานการณ์ที่คุณไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไรนั้นมักมีโอกาสดีๆอยู่มากมายที่จะพลิกผันเหตุการณ์ได้ ในเมื่อศัตรูเอาแต่โจมตีใบหน้าของเขา พวกนั้นก็น่าจะเปิดจุดอ่อนอื่นๆไว้ อย่างเช่นหน้าอกหรือหว่างขา” จางเซวียนพูด
“เอ่อ…” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงตาโตเมื่อนึกได้ “จริงด้วย! ในการสู้รบ ศีรษะเป็นพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มกันอย่างดีที่สุด หากจะเล่นงานศีรษะให้โดนจังๆ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะต้องเข้าใกล้เพื่อเปิดการโจมตี ในช่วงเวลาแบบนี้ การตอบโต้กลับที่จุดอื่นอาจให้ผลที่คาดไม่ถึงได้เลยทีเดียว!”
พลั่ก! ตุ้บ!
ขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดกัน ฟ่านเฉี่ยวชิงก็ยังถูกโจมตีที่ศีรษะต่อไป เขาแทบจะเห็นดาวหมุนอยู่รอบตัว
“คงหวังพึ่งพาเจ้างี่เง่า 2 ตัวนั้นให้ช่วยเราไม่ได้…” เห็นทั้งคู่ยังเมามันกับการถกเถียงหารือ ไม่แสดงอาการว่าอยากช่วยเหลือเขาสักนิด ฟ่านเฉี่ยวชิงปาดน้ำตา
เขาเคยคิดว่าเมื่อทั้งคู่มาถึง ตัวเขาคงปลอดภัย แต่กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีก
ซึ่งก็เป็นอย่างที่พูด ตรรกะที่คู่ต่อสู้ใช้เป็นแบบเดียวกัน เจ้าพวกนั้นเมามันกับการเล่นงานใบหน้าของเขา จึงคลายการคุ้มกันบริเวณอื่นลงโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เราไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ ถึงอย่างไรก็ต้องลองดู!” เมื่อต้องเจ็บปวดจากอีกหนึ่งหมัด ฟ่านเฉี่ยวชิงกัดฟันแล้วเตะเสยออกไป
พลั่ก!
เขาเล่นงานหว่างขาของอีกฝ่ายได้ หมอนั่นทรุดตัวลงไปงอหงิกอยู่กับพื้นราวกับกุ้ง
“เราทำสำเร็จหรือนี่?” เมื่อเห็นว่าตัวเองเล่นงานศัตรูคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย ฟ่านเฉี่ยวชิงพลันเกิดความมั่นใจขึ้นมา หัวใจของเขาเต้นถี่รัว
จริงอยู่ว่าเจ้าสองคนนั่นเป็นพันธมิตรที่ไว้ใจไม่ได้ แต่การวิเคราะห์ของทั้งคู่ถือว่าตรงประเด็น
ขณะที่ปัดป้องการโจมตีของศัตรูอีก 3 คนที่เหลือโดยใช้พลังปราณ ฟ่านเฉี่ยวชิงก็เงี่ยหูฟังการวิเคราะห์นั้นอย่างตั้งใจ
ในเวลานั้น ทั้งคู่ยังคงหารือกันอยู่
“ทั้ง 4 ผนึกกำลังกันอย่างดี และนักรบที่ฟ่านเฉี่ยวชิงเพิ่งเตะไปก็ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม การหมดสภาพไปอย่างกะทันหันของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนในกลุ่มนักรบที่เหลือขณะที่พวกเขาพยายามจะคงสภาพของค่ายกลผนึกกำลังเอาไว้ ถ้าผมเป็นเขา ผมจะใช้เพลงหมัดชิงผิงผนวกกับ แนวคิดเรื่องน้ำไหลของตระกูลของเราเพื่อตัดกำลังของพวกนั้น!”
“การใช้เพลงหมัดชิงผิงผนวกกับแนวคิดน้ำไหลเป็นความคิดที่ดี แต่กุญแจอยู่ที่การเล่นงาน ชายเสื้อคลุมสีเทาซึ่งกุมบทบาทสำคัญในค่ายกลผนึกกำลัง หากเขายังอยู่ ค่ายกลก็ยังคงเป็นอันตราย ไม่ว่ากระบวนท่าของคุณจะว่องไวและยืดหยุ่นขนาดไหน ก็ยากที่จะเอาชนะทั้ง 3 ได้หากพวกเขายังคงผนึกกำลังกันอย่างแน่นหนา”
“คุณพูดถูก ว่าแต่เราจะรับมือกับชายเสื้อคลุมสีเทาคนนั้นอย่างไร?”
“ง่ายนิดเดียว ใช้ย่างก้าวทานตะวันเพื่อถอยหลังไปก่อนจะแทงนิ้วไปทางซ้ายในระยะ 3 นิ้ว ชายเสื้อคลุมสีเทาจะตอบโต้ ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสที่เราจะเล่นงานเขาได้!”
…..
“เราต้องลองดู!”
ฟ่านเฉี่ยวชิงไม่ค่อยอยากเชื่อว่ากระบวนท่าแบบนั้นจะล่อลวงให้ชายเสื้อคลุมสีเทาเปิดการโจมตีได้ แต่เขาไม่มีทางเลือกมากนัก จึงกัดฟันกรอดแล้วสำแดงกระบวนท่าย่างก้าวทานตะวันเพื่อถอยไป 2 เมตร จากนั้นก็ใช้นิ้วของเขาแทนดาบแล้วจ้วงแทงออกไปด้วยพละกำลังหนักหน่วง
ด้วยธรรมชาติของค่ายกลผนึกกำลัง การล่าถอยของฟ่านเฉี่ยวชิงทำให้ทั้ง 3 ต้องบังคับค่ายกลให้พุ่งตรงไปยังทิศทางของเขา ชายเสื้อคลุมสีเทาที่ตรึงกำลังค่ายกลอยู่ลงเอยด้วยการถูกลากตัวไป ทำให้เขาเข้าสู่แนวของการโจมตีโดยใช้นิ้วที่ฟ่านเฉี่ยวชิงสำแดงกระบวนท่าไว้
กระแสดาบฉีปะทะกับตราหยกของชายเสื้อคลุมสีเทาอย่างจัง
ฟึ่บ!
ด้วยสีหน้าที่แทบไม่อยากเชื่อ ชายเสื้อคลุมสีเทาถูกโอบล้อมด้วยการระเบิดของลำแสง ก่อนจะหายวับไป
“ได้ผลหรือนี่?” ฟ่านเฉี่ยวชิงถึงกับผงะ
เขาเคยคิดว่าเจ้าสองคนนั่นแค่พล่ามเรื่องไร้สาระที่ปฏิบัติจริงไม่ได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าข้อเสนอของทั้งคู่ใช้การได้จริง? เมื่อกำจัดศัตรูไปได้ถึง 2 คนอย่างง่ายดาย หัวใจของเขาก็เต้นรัวด้วยความตื่นเต้น
ตอนนี้ ฟ่านเฉี่ยวชิงรู้สึกได้ว่าการหารือที่เคยเกิดขึ้นอย่างเปิดเผยเมื่อครู่ก่อนได้แปรเปลี่ยนไปเป็นการใช้พลังปราณแล้ว ซึ่งหมายความว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะไม่อาจได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นอีก
ดูเหมือนสองคนนั้นไม่ได้คิดจะทอดทิ้งเขา แต่คาดหวังให้เขาเอาชนะการสู้รบครั้งนี้ให้ได้ด้วยพละกำลังของตัวเอง
แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อสงสัยข้อหนึ่ง เพราะทั้งสองไม่น่าจะแข็งแกร่งกว่าเขามากนัก แล้วจู่ๆจะมาเสนอรูปแบบการโจมตีที่น่าทึ่งออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร?
เพียงแค่คำชี้แนะนำง่ายๆของทั้งคู่ก็ทำให้เขาได้ชัยชนะอย่างง่ายดาย
หรือผู้สังเกตการณ์จะมีมุมมองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจนกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นโดยตรง?
รู้ดีว่าไม่ใช่เวลาจะมัวคิดมาก ฟ่านเฉี่ยวชิงเงี่ยหูฟังสิ่งที่ทั้งสองพูดกันเพื่อจับใจความอย่างถี่ถ้วน
เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นต่อเนื่อง
“ในเมื่อค่ายกลผนึกกำลังของพวกเขาถูกทำลายแล้ว เราควรพุ่งเป้าการโจมตีไปที่ใครคนหนึ่งเพื่อเล่นงานเขาให้พ่ายแพ้ราบคาบก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายหรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่! แม้อันตรายของค่ายกลผนึกกำลังจะคลี่คลายไปแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบอีกต่อไปก็หมายความว่าคู่ต่อสู้อีก 2 คนที่เหลือจะต้องหวาดระแวงคุณมากกว่าเดิม ถ้าคุณโจมตีหนึ่งในนั้น อีกคนก็จะต้องหาโอกาสเล่นงานจุดอ่อนของคุณ สิ่งที่คุณควรทำตอนนี้คือตั้งตัวให้มั่นและให้ความสำคัญกับการป้องกันตัว!”
“ให้ความสำคัญกับการป้องกันตัว?”
เพราะเขารู้สึกว่าการหารือของสองคนนั้นมีเหตุมีผลดี ก่อนหน้านี้เขาจึงทำตาม แต่ตอนนี้ ฟ่านเฉี่ยวชิงอดขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้
ต่อให้ไม่มีค่ายกลผนึกกำลัง เขาก็ไม่อาจรับมือกับการโจมตีของคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังทั้งสองคนนั้นได้พร้อมกันได้อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะเล่นงานทั้งคู่ เพราะฉะนั้น เขาควรใช้โอกาสคราวนี้เล่นงานทั้งคู่เสียเลย ถ้ามัวแต่ป้องกันตัวอยู่ ไม่ช้าไม่นาน เรี่ยวแรงของเขาก็คงหมดเกลี้ยง
“เราไม่จำเป็นต้องทำตามที่พวกนั้นพูด เจ้าสองคนนั่นอาจไม่ถูกเสมอไปก็ได้…” เมื่อหวนคิดขึ้นมาว่าทั้งคู่ไม่ยอมเข้ามาช่วยเขา แต่เลือกที่จะยืนดูอยู่ข้างๆ ฟ่านเฉี่ยวชิงกัดฟันกรอดด้วยความโมโห
เขาคำราม จากนั้นก็เงื้อฝ่ามือขึ้นและพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ 1 ใน 2 คนนั้น
ฟ่านเสี่ยวชิงรวบรวมพลังปราณทั้งหมดของเขาเข้าสู่ฝ่ามือ ขณะที่กำลังจะเล่นงานคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า หัวใจของเขาก็เต้นรัวด้วยความพรั่นพรึงขณะหรี่ตาอย่างตกตะลึง
อยู่ดีๆ เท้าข้างหนึ่งก็มาจ่ออยู่ตรงหน้าเขา
พลั่ก!
เขาถูกเล่นงานจุดสำคัญ ทำให้กระเด็นไปไกล ความเจ็บปวดแสนสาหัสจากการเตะนั้นแทบทำให้เขาสลบ
“เฉียวฉู่ คุณพูดถูก! เขาพุ่งเป้าการโจมตีไปที่คู่ต่อสู้คนหนึ่ง และนั่นทำให้คู่ต่อสู้อีกคนจับจุดอ่อนของเขาได้!” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงอุทานด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าการวิคราะห์ของฟ่านเฉียวฉู่เป็นความจริง
“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าเขาตัดสินใจที่จะป้องกันตัวต่อไป ไม่ช้าไม่นาน 2 คนนั้นจะต้องปั่นป่วน เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เพิ่งเห็นเพื่อนร่วมทีม 2 คนถูกกำจัดไปหมาดๆ ทั้งยังสูญเสียการรักษาความปลอดภัยจากค่ายกลผนึกกำลังด้วย ในช่วงเวลาแบบนี้ ทั้งคู่จะร้อนอกร้อนใจเกินกว่าจะเล่นงานเขาให้พ่ายแพ้ได้ ถ้าเขารออีกสัก 3 กระบวนท่า ความตื่นตระหนกของทั้งคู่จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นหลายเท่า ทำให้การสำแดงกระบวนท่าใดๆก็ตามของอีกฝ่ายเพื่อจบการต่อสู้มีความเสี่ยงมากกว่าเดิม นั่นจะเป็นโอกาสดีสำหรับการโจมตี…เรื่องนี้ช่างน่าเสียดายจริงๆ” ฟ่านเฉียวฉู่พูด
“การต่อสู้คือการฉกฉวยเวลาและแสวงหาโอกาส ถ้าไม่มีโอกาสอยู่ในนั้น คุณก็ต้องสร้างมันขึ้นเอง!”
“ใช่ คุณพูดถูก” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น
“การฉกฉวยเวลาและแสวงหาโอกาส…” ฟ่านเฉี่ยวฉิงระงับความเจ็บปวด จากนั้นก็พยายามลุกขึ้นยืนและสร้างเกราะป้องกันตัวอีกครั้ง
เห็นฟ่านเฉี่ยวชิงลุกขึ้นยืนได้ คู่ต่อสู้ทั้ง 2 ชะงักด้วยความประหลาดใจ ความหวาดกลัวและวิตกกังวลฉายชัดอยู่บนสีหน้าของพวกเขา หนึ่งในนั้นพุ่งเข้าใส่และคำรามกร้าว
การออกตัวของเขาอาจดูหุนหันพลันแล่น แต่อันที่จริงเขากำลังพยายามเปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมอีกคนหนึ่ง
เพราะเข้าใจตรรกะนี้ คราวนี้ฟ่านเฉี่ยวชิงจึงรู้ดีเกินกว่าจะเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่าม เขารวบรวมพละกำลังและพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้คนที่ 2
ในเวลาเดียวกัน คู่ต่อสู้คนที่ 2 ก็รับรู้ได้ถึงจุดอ่อนที่คู่ต่อสู้คนแรกเปิดให้ฟ่านเฉี่ยวชิงเห็น ซึ่งเขาก็ตั้งใจจะเคลื่อนไหวเพื่อปกปิดจุดอ่อนนั้น แต่แล้วก็นึกไม่ถึงว่าฟ่านเฉี่ยวชิงจะไม่ยอมตกหลุมพรางและหันมาโจมตีเขาแทน เขาถูกเล่นงานทันทีจนเลือดพุ่งออกจากจมูก
“ได้ผลนี่!” เห็นทุกอย่างเป็นไปตามที่คิด ฟ่านเฉี่ยวฉิงน้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจ
เจ้าบ้า 2 คนนั่น…ไม่ได้ทอดทิ้งเขา!