จ้งฉิงคือทายาทคนหนึ่งของนักปราชญ์โบราณจื่อลู่ เขาทำหน้าที่ควบคุมการทดสอบของสำนักแห่งขงจื๊อในปีนี้ และเป็นคนเดียวกันกับชายวัยกลางคนที่อ่านกฎกติกาของการทดสอบกลางอากาศเมื่อครู่ก่อนจะเริ่มการทดสอบ
จ้งฉิงไม่ได้ทำแบบเดียวกับอาจารย์คนอื่นๆ เขากลับไปที่ห้องของตัวเองหลังจากเปิดใช้งานค่ายกลรอบภูเขา ไม่ได้อยู่รอกระบวนการคัดออกหรือผลการทดสอบ
มันก็แค่การทดสอบเพื่อคัดเลือกนักเรียนใหม่ รอดูผลลัพธ์ตอนท้ายสุดก็พอ เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าพอที่เขาจะสนใจ
เขายืนอยู่ข้างโต๊ะตัวหนึ่ง คว้าพู่กันมาจุ่มหมึก จากนั้นก็ตั้งต้นเขียนลงบนกระดาษ กลิ่นหมึกอบอวลไปทั่วห้อง
ลายมือของเขาเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวหนังสือทุกตัวล้วนแต่มีแนวคิดอยู่เบื้องหลัง แค่มองแวบเดียวก็จะรู้สึกได้ถึงภาวะสงบเย็นที่เขาดื่มด่ำอยู่
ฟึ่บ!
ร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในห้องอย่างปุบปับ เมื่อเห็นชายวัยกลางคนกำลังเขียนตัวอักษรอย่างสบายใจ ก็เลิกคิ้วขณะอุทานว่า “พี่จ้ง มัวทำอะไรอยู่ที่นี่? ควรจะไปดูการทดสอบเสียหน่อยนะ มีบางอย่างแปลกๆเกิดขึ้น…”
ถ้าจางเซวียนอยู่ด้วย ก็จะจดจำผู้ที่เพิ่งเข้ามาในห้องได้อย่างแม่นยำ…หนานกงหยวนเฟิง!
“หยวนเฟิง คุณน่ะตื่นตกใจเกินกว่าเหตุอีกแล้วนะ ผมบอกคุณอยู่เสมอว่าควรจะสงบจิตสงบใจไว้บ้าง แต่คุณก็ไม่ฟัง มันก็แค่การทดสอบของพวกหนุ่มสาว มีอะไรให้ต้องตื่นเต้น? ถ้าคุณไม่พยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเองล่ะก็ จะไม่มีวันยกระดับวรยุทธไปได้ไกลกว่านี้เลย!”
แม้ยังไม่เงยหน้า จ้งฉิงก็ดูจะรู้ตัวบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาโต้ตอบด้วยน้ำเสียงสุขุมขณะตวัดพู่กันอย่างสง่างามต่อไป
“พี่จ้ง ผมซาบซึ้งในคำแนะนำด้วยความปรารถนาดีของคุณ แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวเยือกเย็นนะ การทดสอบแบบคัดออกน่ะกำลังเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่แล้ว!” หนานกงหยวนเฟิงอุทานอย่างร้อนใจ
“ความวุ่นวายครั้งใหญ่? วุ่นวายแบบไหน?” จ้งฉิงถามเรียบๆขณะยังเขียนตัวอักษรต่อไป
“บรรดาผู้เข้าทดสอบถูกคัดออกเร็วมาก ตอนนี้หายไปเยอะแล้ว ผมเกรงว่าการทดสอบอาจสิ้นสุด ก่อนระยะเวลา 6 ชั่วโมง อีกอย่าง…กลุ่มผู้เข้าทดสอบที่เรามองว่าจะผ่านการทดสอบแน่ๆก็ถูกคัดออกหมด มีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่เหลืออยู่เป็นกลุ่มสุดท้ายในการทดสอบอาจจะไม่ใช่ผู้เข้าทดสอบ 100 คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ได้…”
หนานกงหยวนเฟิงอธิบายอย่างเป็นกังวล
เขาอยู่ในเหตุการณ์ จึงเห็นทุกอย่างชัดเจน
แม้แต่อัจฉริยะชั้นยอดอย่างเหยียนอี้เฉี่ยวก็ยังถูกคัดออก ส่วนผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆที่พวกเขาหมายตาไว้ก็พ่ายแพ้ไม่เป็นท่า
เหตุผลก็คือคนเหล่านั้นได้ปะทะกับทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ
มาถึงตอนนี้ ก็เป็นที่รู้กันโดยไม่ต้องพูดออกมาว่าใครก็ตามที่พบกับเหล่าทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อจะต้องถูกคัดออกทุกราย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป การทดสอบจะไม่ใช่การประลองความแข็งแกร่งอีกต่อไป แต่เป็นการวัดดวงว่าทำอย่างไรจะหลบเลี่ยงไม่ให้พบเจอกับเหล่าทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อได้จนสิ้นสุดการทดสอบ!
การทดสอบที่เคร่งขรึมจริงจังกลายเป็นเรื่องเล่นๆไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วจะไม่ให้เขาตื่นตระหนกได้อย่างไร?
“อ้าว? แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ?” จ้งฉิงดูจะไม่ประหลาดใจกับข่าวที่ได้ยิน เขาจุ่มพู่กันลงในหมึกอีกครั้งแล้วเขียนตัวอักษรต่อไปก่อนจะหัวเราะหึๆ “ระดับความชาญฉลาดของเหล่าทายาทของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์นั้นไม่ได้เหลื่อมล้ำกันมากนัก สิ่งที่เราต้องทำก็คือบีบจำนวนของพวกเขาให้เหลือเพียง 100 คน ส่วนจะเป็นใครบ้าง เรื่องนั้นเป็นประเด็นรอง ต่อให้ตอนนี้พวกเขาจะทรงพลังสักแค่ไหน แต่ก็จะประสบความสำเร็จมากกว่านี้หลังจากได้เข้าเรียนที่สำนักแห่งขงจื๊อแล้ว”
“ก็ใช่ ผมว่าที่คุณพูดก็ฟังขึ้น…” เห็นความสุขุมเยือกเย็นของจ้งฉิง หนานกงหยวนเฟิงดูจะคลายความกังวลไปเล็กน้อย
ก็จริงที่ว่าพวกเขาสนใจแค่การบีบจำนวนผู้เข้ารับการทดสอบให้เหลือเพียง 100 คน ส่วนคนเหล่านั้นจะเป็นใครนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่
การทดสอบแบบคัดออกอาจไม่ยุติธรรมนัก แต่ในท้ายที่สุด ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับขีดจำกัดของพละกำลัง ใครที่มีพละกำลังไม่มากพอหรือไม่รู้จักวิธีเอาตัวรอด ก็คงต้องโทษตัวเองเท่านั้น
“ถึงสิ่งที่คุณพูดมาจะฟังขึ้น แต่ผู้เข้าทดสอบส่วนใหญ่ถูกคัดออกเพราะคนเพียงคนเดียวนะ แถมจำนวนผู้ถูกคัดออกก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนพวกเขาจะจะรวมหัวกันตั้งสมาคมประหลาดอะไรสักอย่างขึ้นมาด้วย…” หนานกงหยวนเฟิงพูด
“พวกเขาถูกกำจัดโดยคนคนเดียว? ใครกัน? เหยียนอี้เฉี่ยว หรือต้วนมู่เฉี่ยว?” จ้งฉิงถาม
“ไม่ใช่น่ะสิ พวกเขาถูกกำจัดโดยทายาทคนหนึ่งของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ” หนานกงหยวนเฟิงตอบ
“ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ?” จ้งฉิงผงะไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ “คุณหมายถึงฟ่านเฉี่ยวฉู ฟ่านเฉี่ยวเฟิง และฟ่านเฉี่ยวชิงใช่ไหม?”
เขาได้อ่านรายชื่อของตระกูลต่างๆแล้ว และจดจำชื่อของผู้เข้าทดสอบทุกคนได้
“ถูกต้อง” หนานกงหยวนเฟิงตอบหนักแน่น
“ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อไม่เคยทำผลงานได้โดดเด่นในการทดสอบเลย การที่พวกเขาก้าวขึ้นเป็นผู้นำของการทดสอบได้บ่งบอกว่าพวกเขาได้หมั่นเพียรฝึกฝนอย่างหนัก ซึ่งก็ไม่เป็นไรนี่ ปล่อยให้พวกเขาทำตามใจ ทุกคนมีขีดจำกัดของตัวเอง การที่พวกเขาขึ้นมาเป็นผู้นำในตอนนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้นำไปได้จนกระทั่งสิ้นสุดการทดสอบ ในฐานะกรรมการ บทบาทของเราคือเฝ้าดูและประเมิน ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว!” จ้งฉิงตอบอย่างสุขุมขณะเขียนตัวอักษรต่อไป
“ในเมื่อคุณพูดแบบนี้ ผมก็คงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว…” เห็นความเยือกเย็นของจ้งฉิง หนานกงหยวนเฟิงยักไหล่ เขากำลังจะหันหลังกลับแล้วออกจากห้อง ก็พอดีกับที่นึกได้ “อ้อ ผมลืมบอกคุณ หัวหน้าสมาคมผู้เข้าทดสอบที่ถูกคัดออกโดยทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อนั่นน่ะ ดูเหมือน จะเป็นหลานชายของคุณนะ, จ้งจื้อชุน!”
ฟึ่บ!
พู่กันสะบัดหมึกสีดำสนิทลงบนกระดาษสีขาวขณะที่จ้งฉิงเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ
เขารู้ว่าหลานชายของเขาเข้าทดสอบด้วย และคิดว่าคงจะเอาตัวรอดไปได้จนถึงสิ้นสุดการทดสอบ แต่แล้วก็กลับกลายมาเป็นหัวหน้าของสมาคมอะไรสักอย่างที่ถูกคัดออก นี่มันบ้าบออะไร?
“รอก่อน คุณกำลังบอกผมว่าจื้อชุนถูกคัดออกหรือ?” แม้จ้งฉิงจะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็พยายามรักษาความสุขุมและอดทนอดกลั้นไว้
“ใช่แล้ว เขาภาคภูมิใจมากที่ถูกคัดออกเป็นคนแรกๆ และการที่เขารับตำแหน่งหัวหน้าสมาคมก็หมายความว่าทุกคนย่อมเชื่อฟังคำพูดของเขา!” หนานกงหยวนเฟิงพูด
“เจ้าสารเลว!” จ้งฉิงกำหมัดแน่น
ในตระกูลของเขามีคนงี่เง่าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ไม่เพียงแต่จะไม่อับอายที่ถูกคัดออก ยังรู้สึกเป็นเกียรติด้วย…
เขาต้องสั่งสอนบทเรียนเจ้านั่นให้ได้!
“ช่างเถอะ ปล่อยเขาไป!” จ้งฉิงสูดหายใจลึก พยายามระงับความโมโหก่อนจะส่ายหน้า “ถึงอย่างไรผมก็มีทายาทถึง 8 คนที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ เป็นเพราะผมตามใจจื้อชุนมาตั้งแต่เขายังเล็ก เขาจึงทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรออกไป เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นกับคนอื่นๆหรอก…”
“คนอื่นๆ?” หนานกงหยวนเฟิงเงียบกริบ เขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถาม “คุณหมายถึง จ้งจื่อเฟิง จ้งจื่ออี้ จ้งจื่อชวน และคนอื่นๆใช่ไหม?”
จ้งฉิงพยักหน้า “พวกนั้นน่าจะไว้ใจได้มากกว่าเจ้างี่เง่าจ้งจื้อชุน…”
“เอ่อ พวกนั้นถูกคัดออกแล้วเหมือนกัน และเป็นกลุ่มแรกที่เข้าร่วมสมาคม ถ้าไม่ใช่เพราะการออกเสียงของพวกเขา จ้งจื้อชุนจะได้เป็นหัวหน้าสมาคมได้อย่างไร?”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หนานกงหยวนเฟิงอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ “ผมต้องขอบอกว่าเชื้อสายตระกูลของคุณนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจริงๆ ขณะที่คนอื่นๆเสียอกเสียใจกับความพ่ายแพ้ แต่เหล่าเชื้อสายตระกูลของคุณได้พยายามก่อตั้งสมาคมขึ้น บอกเลยว่าผมยำเกรงกับวิธีการที่พวกเขารับมือกับความพ่ายแพ้ได้อย่างสุขุมเยือกเย็น…”
ป๊อกกก!
เกิดเสียงหักดังป๊อกขณะที่พู่กันในมือของจ้งฉิงหักเป็นสองท่อน เขาคำรามลั่นด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ ราวกับทุ่งหญ้า “เจ้าพวกโง่เง่า ผมจะฆ่าพวกมันให้หมดเดี๋ยวนี้!”
ฟึ่บ!
ร่างของจ้งฉิงหายวับไปจากห้องทันที
เห็นชายที่เพิ่งสุขุมเยือกเย็นอยู่เมื่อครู่เกิดอาการของขึ้น หนานกงหยวนเฟิงเกาหัวและพูดอะไรไม่ออก
ลงท้าย ที่จ้งฉิงบอกให้ทำใจเย็นก็เพราะเรื่องพวกนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเขา พอมีสมาชิกในตระกูลของเขาเข้ามาพัวพัน เขาก็เป็นฟืนเป็นไฟราวกับว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้…
แต่ก็นั่นแหละ เขาต้องยอมรับว่าฟ่านเฉี่ยวฉู ฟ่านเฉี่ยวเฟิง และฟ่านเฉี่ยวชิงเป็นนักรบที่น่าทึ่ง
สามารถกำจัดผู้เข้าทดสอบทั้ง 8 คนที่มาจากเชื้อสายของตระกูลนักปราชญ์โบราณจื่อลู่ได้พร้อมกันในคราวเดียว ช่างไร้ความปรานีเสียเหลือเกิน!
เท่านั้นยังไม่หมด ดูเหมือนพวกเขาจะไม่สนใจว่าใครคอยหนุนหลังผู้เข้าทดสอบเหล่านั้นด้วย ใครก็ตามที่เผชิญหน้ากับพวกเขาจะถูกกำจัดในทันที ราวกับว่าหัวจิตหัวใจของทั้งสามไม่มีคำว่าเมตตาปรานีอยู่เลย
พวกเขาสร้างความขุ่นเคืองให้กับคนจำนวนมากมายขนาดนี้ภายในระยะเวลาอันสั้น ไม่กลัวว่าใครต่อใครจะทำให้พวกเขาลำบากบ้างหรือเมื่อได้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อแล้ว?
ใครก็รู้ว่าแม้สำนักขงจื๊อจะก่อตั้งขึ้นด้วยการลงทุนลงแรงของ 72 นักปราชญ์ และเหล่าทายาทของ 72 นักปราชญ์ก็ล้วนแต่มีส่วนในการบริหารองค์กร แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเหลื่อมล้ำของอำนาจระหว่างแต่ละตระกูล
อย่าว่าแต่เรื่องอื่น ลำพังเชื้อสายของนักปราชญ์โบราณจื่อลู่ที่จ้งฉิงเป็นคนหนึ่งในตระกูลนั้นก็มีบทบาทและมีสิทธิ์มีเสียงมากมายในสำนักแห่งขงจื๊อแล้ว เพราะจำนวนผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ภายใต้สังกัดของพวกเขา
การปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา ตอนนี้อาจดูน่าตื่นเต้น แต่ความซับซ้อนยุ่งเหยิงจะต้องติดตามมาในอีกไม่นาน
แต่ก็นั่นแหละ สามคนนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ปล่อยให้ตัวเองทำผิดพลาด ในอนาคตอันใกล้ สำนักแห่งขงจื๊อคงมีอะไรสนุกๆให้เห็นอีกมากมายแน่!