พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
หลังจากเล่นงานและกำจัดผู้เข้าทดสอบไปได้มากกว่า 12 คนในคราวเดียว ฟ่านเฉี่ยวชิงก็ตาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
เขาเพิ่งตั้งต้นร่ำเรียนจากเฉี่ยวฉูได้ไม่ถึง 2 ชั่วโมง แต่กำจัดผู้เข้าทดสอบไปได้อย่างน้อย 300 คนแล้ว!
การพัฒนาตัวเองในระดับนี้คือสิ่งที่เขาไม่เคยกล้าฝันถึง เนิ่นนานมาแล้วที่เขาคิดว่าการฝึกฝนวรยุทธคือกระบวนการที่เชื่องช้าแสนสาหัสและต้องอาศัยการเพิ่มพละกำลังทีละน้อย แต่แนวคิดนั้นแตกสลายไปจากสมองของเขาจนหมดสิ้น
แต่ถึงเขาจะก้าวหน้าขึ้นมาก ก็ยังห่างไกลกับฟ่านเฉี่ยวเฟิง หมอนั่นกำจัดผู้เข้าทดสอบไปได้อย่างน้อย 700 คน!
ส่วนเฉี่ยวฉูก็เดินไปพร้อมๆกับพวกเขา แต่ไม่ได้ปล่อยการโจมตี แต่ถึงอย่างนั้น ทันทีที่พวกเขาทั้งคู่ทำอะไรผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะถูกเชือดเฉือนด้วยสายตาและการวิพากษ์วิจารณ์อันเย็นชาอย่างน่าสะพรึง เพราะสิ่งนี้ พวกเขาจึงพัฒนาได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น
“ต้องแบบนี้สิ บ่มเพาะร่างกายของคุณอีกหน่อยและรักษาวรยุทธให้มั่นคง ไม่ช้าก็จะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ…”
หลังจากทั้งสองฝ่าฟันคลื่นของผู้เข้าทดสอบระลอกสุดท้ายได้สำเร็จ จางเซวียนก็พยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ
แม้ทั้งคู่จะหัวทื่อไปบ้าง แต่เพราะความอดทนเกินพิกัดของจางเซวียน เขาจึงยกระดับความสามารถของทั้งคู่ได้ไม่น้อย
ต่อให้ผ่านพ้นการทดสอบไปแล้ว พวกเขาก็จะยังคงได้รับประโยชน์จากการยกระดับสภาวะจิตและประสิทธิภาพการต่อสู้ แต่แน่นอนว่าในอนาคตจะไปได้ไกลแค่ไหนนั้น ก็ไม่ใช่กงการอะไรของเขา
“เหลือผู้เข้าทดสอบอยู่เพียง 100 คนบนภูเขา ผมขอประกาศว่าการทดสอบเสร็จสิ้นก่อนเวลา!”
พร้อมๆกันกับเสียงที่ดังกึกก้อง ฝูงชนรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานที่โอบล้อมพวกเขา พริบตาต่อมา ทุกคนก็ถูกส่งทะลุมิติมายังจัตุรัสที่อยู่ด้านหน้าภูเขา
จางเซวียนมองไปรอบๆ และเห็นว่ามีผู้เข้าทดสอบอยู่ 100 คนพอดีในจัตุรัสนั้น ซึ่งนอกจากพวกเขาทั้งสามคนแล้ว คนอื่นๆที่เหลือดูจะยับเยินเพราะพลังงานอะไรสักอย่างและอยู่ในสภาพไม่น่าดูนัก
แม้ผู้เข้าทดสอบส่วนใหญ่จะดูไม่โดดเด่นอะไร แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเอาตัวรอดมาได้จนสิ้นสุดการทดสอบจากจำนวนผู้เข้าแข่งขันถึง 2000 คน ก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องมีวิถีทางอันน่าทึ่ง และที่สำคัญกว่านั้น ยังโชคดีมากอีกด้วยที่ไม่ได้ปะทะกับพวกเขาทั้งสาม!
“อันดับแรกสุด ผมขอแสดงความยินดีกับพวกคุณทุกคนอย่างเป็นทางการที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าเป็นนักเรียนของสำนักแห่งขงจื๊อในปีนี้” จ้งฉิงประกาศอย่างวางมาด
ขณะที่กำลังพูด สายตาของเขาก็จับจ้องที่จางเซวียนกับพรรคพวก ใบหน้าของเขากระตุกเล็กน้อย จ้งฉิงอยากรี่เข้าไปซ้อมคนเหล่านั้น แต่สุดท้ายก็ได้แต่ยับยั้งตัวเองไว้
การที่เหล่าทายาทของเขาถูกคนเหล่านี้กำจัดก็แปลว่าพวกนั้นอ่อนแอ เขาจะไม่ละทิ้งเกียรติยศศักดิ์ศรีเพียงเพื่อทำให้อะไรๆยุ่งยากกว่าเดิม
จ้งฉิงสูดหายใจลึกและพูดต่อ “หลังจากนี้ พวกคุณจะต้องนำตราหยกมาแลกรับแหวนเก็บสมบัติไป ภายในแหวนเก็บสมบัติคือเส้นทางและกรรมวิธีในการเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ รวมทั้งหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในและทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธด้วย พวกคุณมีเวลา 3 วันในการใช้ความสามารถของตัวเองเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อให้ได้ ต่อเมื่อคุณทำสำเร็จเท่านั้น ถึงจะได้เป็นนักเรียนของสำนักแห่งขงจื๊ออย่างเต็มตัว”
“ผมรู้ว่าบททดสอบนี้คงไม่ยากเย็นอะไรสำหรับพวกคุณ แต่ขอให้ผมได้แนะนำสักหน่อย ยิ่งคุณเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อได้เร็วขึ้นเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่จะได้พบเจอครูบาอาจารย์ที่ดีขึ้นเท่านั้น คงไม่ต้องบอกนะว่าสิ่งนี้จะช่วยแผ้วถางเส้นทางที่นำไปสู่การพัฒนาวรยุทธของคุณในอนาคต”
ก็เหมือนกับสถาบันการศึกษาอื่นๆ การให้คำชี้แนะในสำนักแห่งขงจื๊อเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย ขณะที่ลูกศิษย์มีสิทธิ์เลือกอาจารย์ อาจารย์ก็สามารถเลือกลูกศิษย์ของพวกเขาได้เช่นกัน
จำนวนลูกศิษย์ที่อาจารย์แต่ละคนรับได้นั้นมีจำกัด ดังนั้นผู้ที่เข้าถึงสำนักแห่งขงจื๊อก่อนย่อมมีโอกาสดีกว่าที่จะได้เข้าหาครูบาอาจารย์ที่พวกเขาต้องการ ในเวลาเดียวกัน ทรัพยากรที่จะได้รับก็แตกต่างออกไปด้วย
“เอาล่ะ คืนตราหยกของคุณได้แล้ว!”
หลังจากพูดจบได้ไม่นาน ตราหยกที่อยู่บนหน้าอกของทุกคนก็ลอยขึ้นสู่กลางอากาศ แล้วแหวนเก็บสมบัติ 100 วงก็ลอยเข้าสู่มือของทุกคนอย่างพร้อมเพรียง
จางเซวียนสวมแหวนอย่างแผ่วเบา ข้าวของที่อยู่ในนั้นปรากฏในหัวสมองของเขา
อย่างที่ได้รับการบอกเล่าไว้ มีเทคนิควรยุทธขั้นการพักฟื้นภายใน แม้จะไม่มีเทคนิควรยุทธทั่วไป ให้นักรบในระดับขั้นนี้ฝึกฝน แต่หนังสือเทคนิควรยุทธที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติก็ชี้ทางที่ชัดเจนให้ การมีหนังสืออยู่ในมือจะช่วยผลักดันให้การฝ่าด่านวรยุทธเป็นไปได้ง่ายขึ้นมาก
นอกเหนือจากหนังสือเทคนิควรยุทธ ก็ยังมียาเม็ดเกรด 9 ที่ได้รับการขัดเกลารูปร่างมาเป็นอย่างดี
ยานี้มีอานุภาพชำระร่างกายและพลังปราณ รวมถึงกระบวนการเร่งศักยภาพของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายในด้วย ดังนั้นมันจึงช่วยเพิ่มโอกาสของการฝ่าด่านวรยุทธได้อีกราว 10 เปอร์เซ็นต์
สุดท้ายก็คือตราหยกอีกอันหนึ่ง
จางเซวียนนำตราหยกออกมาแล้วแตะมันเบาๆ แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรเลย
เห็นทีท่าของจางเซวียน ฟ่านเฉี่ยวเฟิงรีบอธิบาย “มีค่ายกลอยู่บนตราหยก ถ้าเราอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ก็จะต้องถอดรหัสค่ายกลให้ได้ก่อน นี่คือหนึ่งในบททดสอบของสำนักแห่งขงจื๊อ”
“มีบททดสอบแบบนี้ด้วย? แล้วคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องค่ายกลล่ะ จะทำอย่างไร?” จางเซวียนตั้งคำถาม
อาจมีผู้เข้าทดสอบบางคนที่ไม่คุ้นเคยกับค่ายกล การใช้บททดสอบแบบนี้กับพวกเขาจึงออกจะไม่ค่อยยุติธรรม
“ค่ายกลที่อยู่บนตราหยกไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ ดังนั้น จะคุ้นเคยกับค่ายกลหรือไม่ก็ไม่ได้แตกต่าง ความยากอยู่ที่ความยุ่งเหยิงของมัน ผู้นั้นจะต้องควบคุมพลังปราณให้ได้อย่างแม่นยำเพื่อถอดรหัสมันอย่างระมัดระวัง แม้จะเป็นการทดสอบ แต่ก็เป็นเหมือนคำเตือนที่บอกพวกเราว่าเราไม่ควรให้ความสนใจกับการสร้างรากฐานของพลังปราณเพียงอย่างเดียว แต่การควบคุมมันให้ได้ถูกต้องแม่นยำก็ถือว่าสำคัญมากเช่นกัน” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงพูด
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพยักหน้า
วรยุทธของฟ่านเฉี่ยวเฟิงกับฟ่านเฉี่ยวชิงไม่ได้พัฒนามากนักนับตั้งแต่เข้ามาในภูเขา แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของทั้งคู่เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ทำให้พวกเขาเล่นงานคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่าได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเหตุผลหลักที่ทำได้ก็เพราะทั้งคู่ได้ร่ำเรียนวิธีการควบคุมและปลดปล่อยพละกำลังอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยการเลือกสรรกระบวนท่าที่ใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดผนวกกับการโจมตีจุดอ่อนใดๆก็ตามอย่างตรงเป้า จึงเป็นธรรมดาที่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของทั้งคู่จะเพิ่มสูงขึ้นมาก
จางเซวียนตรวจสอบตราหยกอย่างรวดเร็ว เห็นอักษรจารึกมากมายนับไม่ถ้วนถูกสลักไว้บนนั้น ดูเหมือนเขาจะต้องควบคุมพลังปราณให้ได้แม่นยำสูงสุดเพื่อถอดรหัสอักษรจารึกที่เห็น
แม้ภารกิจนี้จะสร้างความท้าทายไม่น้อยต่อผู้เข้าทดสอบคนอื่นๆ แต่กลับง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากสำหรับเขา จางเซวียนโบกมือเบาๆเหนือตราหยกนั้น
วิ้งงงง!
ฉนวนเปิดออกทันที แล้วรายละเอียดภายในก็ลอยเข้าสู่หัวสมองของเขา
มันคือตำแหน่งที่ตั้งที่ชัดเจนของสำนักแห่งขงจื๊อและวิธีการเข้าไปในนั้น
เป็นอย่างที่จางเซวียนคาดไว้ สำนักแห่งขงจื๊อไม่ได้อยู่แถวนี้ แต่อยู่ที่ใจกลางทะเลทรายซึ่งห่างออกไปราวหมื่นลี้ ในการจะไปถึงที่นั่นได้ เขาจะต้องไปตามเส้นทางพิเศษที่มีบอกไว้บนตราหยก
“เอาล่ะ พวกคุณเริ่มถอดรหัสค่ายกลที่อยู่บนตราหยกได้แล้ว!”
เมื่อเห็นทุกคนนำตราหยกที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติออกมา จ้งฉิงกวาดสายตาไปโดยรอบก่อนจะพูดต่อ “ในประวัติศาสตร์ของสำนักแห่งขงจื๊อ สถิติการถอดรหัสฉนวนที่เร็วที่สุดคือ 6 ชั่วโมง ซึ่งในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ผู้ที่เข้าใกล้สถิตินั้นมากที่สุดคือทายาทของปรมาจารย์ขง, ขงซือเหยา โดยใช้เวลา 7 ชั่วโมง จากนั้นก็คือทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวน, เหยียนเฉว่ ใช้เวลา 8 ชั่วโมง สำหรับพวกคุณที่เหลือ หากถอดรหัสฉนวนนี้ได้ภายในเวลา 1 วันก็ถือว่าน่าทึ่งแล้ว”
ถึงค่ายกลที่อยู่บนตราหยกจะดูเรียบง่าย แต่มันยุ่งยากกว่าที่เห็น หากปราศจากจิตใจที่สงบและการควบคุมพลังปราณอย่างเฉียบคม ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถอดรหัสสำเร็จ
ต่อให้อัจฉริยะชั้นยอดของสำนักแห่งขงจื๊อก็ยังต้องใช้เวลาถึง 7 ชั่วโมงในการถอดรหัสมัน!
“เอาล่ะ ให้ผมได้แนะนำอะไรพวกคุณสักหน่อย ความรีบร้อนและบุ่มบ่ามจะไม่ช่วยให้คุณได้อะไรขึ้นมา หากคุณปฏิบัติภารกิจนี้ไม่สำเร็จภายในเวลา 3 วัน ถึงจะผ่านการทดสอบมาแล้ว แต่ก็จะไม่ได้การยอมรับอย่างเป็นทางการให้เป็นนักเรียนของสำนักแห่งขงจื๊อ” จ้งฉิงเตือนล่วงหน้าก่อนจะโบกมือเบาๆ
ฟึ่บ!
ปราการที่มีหน้าตาเหมือนกระจกเงาปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน
“นี่คือค่ายกลทะลุมิติ ทันทีที่คุณถอดรหัสฉนวนบนตราหยกได้ ก็จะถูกดูดเข้าไปในค่ายกล จากนั้น คุณจะต้องตามรอยเส้นทางที่บันทึกไว้บนตราหยกเพื่อเข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ เอาล่ะ ได้เวลาถอดรหัสฉนวนแล้ว ผมอยากรู้เหลือเกินว่าสถิติที่เร็วที่สุดของพวกคุณคือ…” จ้งฉิงพูด
แต่ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็เห็นปราการที่มีหน้าตาเหมือนกระจกเงานั้นสั่นสะเทือน
ร่างหนึ่งค่อยๆลอยขึ้นสู่กลางอากาศก่อนจะดำดิ่งเข้าสู่ปราการนั้น
“อะไรกัน? เขา…ถอดรหัสค่ายกลเรียบร้อยแล้วหรือ?”
ทุกอย่างเงียบงันไปเป็นเวลานาน