ตอนที่ 1592 นักรบทองคำแห่งลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณ
“ขอรับ!” เหล่าผู้อาวุโสรีบพยักหน้าเมื่อได้ยินคำสั่ง ก่อนจะกระจายกำลังกันออกไป
การสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิตินั้นคือการเข้าถึงสุดยอดของศาสตร์แห่งมิติ หากมีผู้เชี่ยวชาญระดับนี้อยู่ในหมู่พวกเขา ก็ไม่มีใครสามารถยับยั้งความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลหลัวได้!
พวกเขาจะสามารถเอาคืนตระกูลจางที่บังอาจมาดูถูกเหยียดหยาม และทำให้พวกเขาต้องอับอายขายหน้าจากการถูกปฏิเสธ
ด้วยสิ่งนี้ โลกทั้งโลกจะได้รู้ว่าจางเซวียนโง่เง่าขนาดไหนที่ปฏิเสธตระกูลหลัว!
“จางเซวียน คุณคงนึกไม่ถึงหรอกว่ามีใครบางคนในตระกูลหลัวของเราฝ่าด่านวรยุทธได้อย่างรวดเร็วหลังจากการปฏิเสธของคุณ!” หลัวกั้นเจินพึมพำด้วยนัยน์ตาเป็นประกายเย็นเยียบ “รอให้เราพบคนผู้นั้นและสถาปนาเขาขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลเสียก่อนเถอะ…ผมจะเหยียดหยามคุณกลับคืนเป็น 2 เท่า!”
ผู้ที่ทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติได้นั้นจะถือว่าได้รับสุดยอดแห่งมรดกของตระกูลหลัว ขอแค่ระดับวรยุทธของบุคคลผู้นั้นถึงขั้น ตำแหน่งทายาทน้อยของตระกูลจางก็ไร้ความหมาย!
“จริงด้วย! ผมคงขจัดความเกลียดชังออกไปไม่ได้ถ้าไม่ได้หั่นหมอนั่นเป็น 2 ท่อน!” หลัวชวนฉิงคำรามกร้าว
เขาเคยมองชายหนุ่มเป็นเพื่อนรัก แต่อีกฝ่ายทำร้ายจิตใจน้องสาวของเขาอย่างสาหัส ราวกับว่าเธอไม่มีความสำคัญอะไรเลย!
ฟึ่บ!
ไม่ช้า เหล่าผู้อาวุโสที่กระจายกำลังกันออกไปก็กลับมา
“เรียนท่านรองหัวหน้าตระกูล พวกเราตรวจสอบเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 ทุกคนในตระกูลแล้ว แต่ไม่มีใครสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติเลย!”
“เรียนท่านรองหัวหน้าตระกูล ไม่มีสมาชิกคนไหนที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 8 ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ!”
…..
เหล่าผู้อาวุโสรีบรายงานผลการค้นหาของพวกเขา ความผิดหวังครอบงำทั่วทั้งห้อง
ข้อเท็จจริงที่ว่าแม้แต่ผู้ก่อตั้งตระกูลของพวกเขาก็ยังแสดงการคารวะนั้นมากเกินพอที่จะบ่งบอกว่ามีผู้สำเร็จความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติจริงๆ ไม่มีทางเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ แต่พวกเขาก็ไต่ถามนักรบทุกคนที่อยู่ในตระกูลแล้ว ไม่มีใครสักคนผ่านประสบการณ์ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการฝ่าด่านวรยุทธเลย
เรื่องนี้ออกจะน่าสับสนมาก
“ไม่มีใครเลยหรือ? จะไม่มีใครเลยได้อย่างไร? กฏเกณฑ์แห่งมิตินั้นถือเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับการสกัดกั้นมิติ หากปราศจากสายเลือดและมรดกตกทอดของตระกูลหลัว ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่ใครสักคนจะเข้าใจแม้แต่ความรู้ขั้นพื้นฐาน…” หลัวกั้นเจินไม่อยากเชื่อในผลของการค้นหา
ผู้ก่อตั้งหลัวหยุนเทียนประสบความสำเร็จในการทำความเข้าใจวิชานี้เพราะได้รับเครื่องเก็บงำมิติและบังเอิญเจอเข้ากับมรดกตกทอดของนักปราชญ์ชิวอู๋ หากผู้ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติไม่ใช่สมาชิกจากตระกูลของเขา แล้วจะเป็นใครไปได้?
“พวกเราตรวจสอบแล้วแม้กระทั่งกับเหล่านักรบที่เข้าปลีกวิเวก…จะเป็นไปได้ไหมว่าบุคคลนั้นไม่ได้มาจากตระกูลหลัวจริงๆ?” หลัวชิงเฉินถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
ถ้าคนคนนั้นมาจากตระกูลหลัว ก็จะต้องรู้ดีว่าการสำเร็จวิชานี้มีความหมายอย่างไร ต่อให้พวกเขาไม่ต้องออกไปสอบถาม ผู้นั้นก็จะต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสเพื่อรายงาน แต่นี่ก็ไม่มีใครมาเลย
หลักฐานทุกอย่างดูจะชี้ชัดว่าคนผู้นั้นไม่ได้มาจากตระกูลหลัว
“เราต้องหาให้เจอว่าเขาเป็นใคร ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม ต้องพาเขากลับสู่ตระกูลหลัวให้ได้ ต่อให้จะหมายความว่าต้องลากตัวเขามาด้วยการ…” หลัวกั้นเจินหรี่ตา “…การแต่งงานก็เถอะ!”
“การแต่งงาน?” หลัวชวนฉิงชะงัก
“ใช่แล้ว! ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้นั้นสำเร็จเคล็ดวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติย่อมหมายความว่าศาสตร์ลับทั้งหมดของตระกูลหลัวจะไม่เป็นความลับกับเขาอีกต่อไป ซึ่งหากเขากลายเป็นศัตรู ตระกูลของเราจะต้องพังพินาศแน่! ดังนั้น พวกเราจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อนำเขาเข้าสู่ตระกูลของเราให้ได้ ต่อให้เขาอยากแต่งงานกับน้องสาวของเจ้า เราก็ต้องอนุญาต!” หลัวกั้นเจินโบกมืออย่างคนที่ตัดสินใจดีแล้ว
“ไม่นะ แต่ว่า…” ได้ยินคำนั้น หลัวชวนฉิงนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความพรั่นพรึง
“ไม่มีความจำเป็นต้องหารืออะไรทั้งนั้น เรื่องจางเซวียนกับน้องสาวของเจ้าน่ะไม่มีหวังแล้ว และในเมื่อเป็นแบบนั้น เราก็จะต้องหาตัวบุคคลที่สำเร็จวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติมาให้ได้ ด้วยวิธีนี้ เราจะได้แก้แค้นตระกูลจาง…เราจะประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าตระกูลหลัวของเราสามารถยืนเป็นที่หนึ่งได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร!” หลัวกั้นเจินคำราม
ได้ยินคำนั้น หลัวชวนฉิงจ้องหน้าท่านพ่อของเขาด้วยแววตาสับสน
เขาเองก็อยากแก้แค้นจางเซวียนกับตระกูลจาง และจะทำแบบนั้นให้ได้หากพวกเขาสามารถหาตัวบุคคลที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติมาเป็นพวกได้สำเร็จ เพราะในเวลาเดียวกัน ตระกูลหลัวก็จะได้เรียกศักดิ์ศรีกลับคืนมาด้วย
แต่หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นในงานหมั้น เขาก็ไม่อาจทนดูน้องสาวของเขาต้องกลายเป็นแพะบูชายัญอีก ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว!
“เอาล่ะ เป็นอันจบเรื่องนะ รีบส่งคนออกไปควานหาตัวเขา! ทันทีที่พบ ให้รายงานผมทันที ผมจะไปพบเขาด้วยตัวเอง!” หลัวกั้นเจินสะบัดแขนเสื้ออย่างวางมาด
“ขอรับ!”
เหล่าผู้อาวุโสรีบกระจายกำลังกันออกไป
…..
เมื่อไม่มีผืนทรายแห่งมิติมาขวางทาง ทั้งสามก็รุดหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว
ไม่ช้า พวกเขาก็มาหยุดที่หน้าประตูพระราชวัง
จางเซวียนเงยหน้าขึ้นและมองขั้นบันไดสูงตระหง่านที่อยู่ตรงหน้า
ทั้งสองด้านของประตูทางเข้ามีรูปปั้นหิน 2 ตัวที่แกะสลักเป็นรูปเด็กชายวัยรุ่น พวกเขาสวมเสื้อผ้าตามแบบยุคสมัยโบราณและไว้ผมยาว ทั้งคู่อยู่ในท่าโค้งคำนับ ดูเหมือนจะแสดงการคารวะผู้ที่มาเยือนพระราชวังแห่งนี้
มีป้ายอยู่เหนือทางเข้าซึ่งมีตัวอักษรขนาดใหญ่ 3 ตัวเขียนไว้บนนั้น มันแผ่รังสีอันคมกริบออกมา ราวกับหอกที่พร้อมจะพุ่งเข้าใส่และฉีกร่างผู้บุกรุกให้แหลกเป็นชิ้นๆ
ช่างเป็นการจับคู่ที่แสนพิลึกพิลั่น – ภาพเด็กชายวัยรุ่น 2 คนที่กำลังโค้งคำนับเพื่อแสดงการคารวะ กับถ้อยคำอันดุร้ายที่อยู่บนป้ายชื่อ
“หอหรันจื่อ!” หวู่เฉินอ่านเสียงดัง
“ดูเหมือนนักปราชญ์โบราณหรันชิวจะเป็นผู้เขียนด้วยตัวเอง” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตพร้อมกับพยักหน้า
หากใช้มุมมองของจิตรกร ตัวอักษร 3 ตัวนั้นดูจะไม่ได้เขียนขึ้นด้วยทักษะอันสูงส่งนัก แต่มันมีแนวคิดของความงามสง่าที่แม้แต่ผู้ที่มีสายตาหยั่งรู้ระดับจางเซวียนก็ยังไม่อาจมองทะลุได้ ยากที่จะจินตนาการว่ามันเป็นฝีมือของใครอื่นหากไม่ใช่นักปราชญ์โบราณหรันชิว
จางเซวียนส่ายหน้าและโค้งคำนับอย่างงามให้กับรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นทั้งสอง รวมทั้งป้ายชื่อที่อยู่ตรงกลาง
ภูมิปัญญา ความสามัคคี ความชอบธรรม ความรู้ และความสมบูรณ์แบบ ข้อเท็จจริงที่ว่าความชอบธรรมถูกวางในตำแหน่งที่อยู่ก่อนหน้าความรู้และความสมบูรณ์แบบนั้นบ่งบอกว่าปรมาจารย์ขงให้คุณค่ากับคุณลักษณะข้อนี้ ในเมื่อพวกเขาอยู่ในอาณาจักรโบร่ำโบราณของศิษย์สายตรงคนหนึ่งของปรมาจารย์ขง จึงเป็นการดีที่สุดที่จะไม่หลงลืมเรื่องมารยาท
ครืดดด!
หลังจากคารวะ ก็เกิดการสั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อย รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นที่อยู่ทางซ้ายลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะมองหน้าพวกเขาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“บรรดาแขกเหรื่อของหอหรันจื่อ ผมขอชื่นชมพวกคุณที่มาได้ไกลขนาดนี้ แต่ก็โชคไม่ดีที่จะต้องบอกว่าพวกคุณยังไม่ได้เข้าถึงใจกลางของหอหรันจื่อ ถ้าพวกคุณอยากเข้าไป ก็ต้องผ่านการทดสอบก่อน” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นพูด
“ไม่ทราบว่าการทดสอบคืออะไร?” จางเซวียนถามขณะประสานมือ
“นักปราชญ์โบราณหรันชิวไม่ชอบพิธีการที่ฟุ่มเฟือยวุ่นวาย เพราะฉะนั้นบททดสอบของเขาจึงเรียบง่าย คุณจะต้องท้าทายหนึ่งในนักรบของเราที่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับคุณ ซึ่งหากคุณได้ชัยชนะ ก็จะได้เข้าสู่เส้นทางที่นำไปด้านใน ถ้าไม่อย่างนั้น ผมคงต้องขอให้พวกคุณหันหลังกลับแล้วจากไปเสีย!” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นพูดขณะยกมือขึ้น
ตุ้บ!
ตัวอักษรขนาดใหญ่ 3 ตัวที่อยู่บนป้ายร่วงลงสู่พื้น จากนั้นพวกมันก็กลายร่างเป็นนักรบเกราะทอง 3 คนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน
“เฮ้ย…” จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจ
ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของเขา เขาบอกได้ว่านักรบทั้งสามคนนี้ไม่ใช่ของล้ำค่าชนิดพิเศษ แต่เป็นร่างที่แท้จริงของตัวอักษรที่อยู่บนป้าย ทั้งสามมีรังสีคุกคามเหมือนกับตัวอักษรที่อยู่บนป้ายนั้น ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเย็นเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง
เห็นสีหน้าประหลาดใจของจางเซวียน หลัวลั่วชิงอธิบาย “พวกนี้คือนักรบทองคำแห่งลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณ!”
“นักรบทองคำแห่งลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณ?” จางเซวียนทวนคำ
เขาเคยได้ยินเรื่องการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์และหัวใจครูบาอาจารย์ แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องนักรบทองคำแห่งลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณมาก่อน
“ตำนานกล่าวไว้ว่าปรมาจารย์ผู้ทรงพลังบางคนสามารถเก็บรักษาจิตวิญญาณของตัวเองไว้ในรูปของถ้อยคำได้ และภายใต้สภาวะพิเศษบางอย่าง ถ้อยคำเหล่านั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นนักรบทองคำที่สามารถสู้รบกับคนอื่นๆ” หลัวลั่วชิงอธิบาย “นักรบทองคำเหล่านี้เป็นผลผลิตจากจิตวิญญาณ ของปรมาจารย์ พวกเขามีทั้งสัญชาตญาณการต่อสู้และการเคลื่อนไหวในแบบของปรมาจารย์ ทำให้เป็นคู่ต่อสู้ที่ไร้เทียมทานมาก”
“มีสัญชาตญาณของการต่อสู้และการเคลื่อนไหวในแบบของปรมาจารย์…ในเมื่อถ้อยคำเหล่านี้เป็นฝีมือของนักปราชญ์โบราณหรันชิว นั่นก็หมายความว่านักรบทองคำพวกนี้มีประสิทธิภาพการต่อสู้แบบเดียวกับเขาน่ะสิ?” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกตะลึง