“น้องชายฝาแฝด?” เห็นการปรากฏตัวของอีกร่างหนึ่งที่มีหน้าตาและรังสีของจิตวิญญาณเหมือนกันเป๊ะกับจางเซวียน เทพเจ้าชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มอย่างรู้ทัน “ตัวโคลนของคุณงั้นสิ ใช่ไหม? ฝีมือดีไม่เบานะ การที่ตัวโคลนมีพละกำลังทัดเทียมกับร่างต้นแบบได้ก็แปลว่าต้องใช้วัสดุล้ำค่าบางชนิด เยี่ยมจริงๆ, ผมจะนำมันไปด้วย!”
มีนักรบจำนวนหนึ่งในมิติเบื้องบนที่สร้างตัวโคลนของตัวเองขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ แต่ส่วนมากตัวโคลนเหล่านั้นจะดูเหมือนหุ่นกระบอกที่มีความเหมือนกับร่างต้นแบบเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก
ส่วนตัวโคลนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขามีจิตวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง นั่นหมายความว่าวัสดุที่ใช้รังสรรค์ตัวโคลนจะต้องมีคุณภาพสูงมาก ต่อให้วัดตามมาตรฐานของมิติเบื้องบนก็ตาม หากเขายึดครองทรัพย์สมบัติล้ำค่านี้ไปเป็นของตัวเองและหล่อหลอมให้กลายเป็นตัวโคลนของเขาได้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในทันที
เทพเจ้านัยน์ตาแดงก่ำ เขาชี้หน้าตัวโคลนและพูดด้วยริมฝีปากสั่นเทา “นับจากวันนี้ไป แกจะต้องเป็นของฉัน…”
บึ้มมมม!
พลังงานแรงกล้าระเบิดเข้าใส่ตัวโคลน แต่ยังไม่ทันจะถึงร่างของอีกฝ่าย การมองเห็นของเทพเจ้าก็พร่าเลือนไป
ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว ตัวโคลนก็มายืนประจันหน้าแล้ว และขาข้างหนึ่งก็ตวัดเข้าใส่ใบหน้าของเขา ตัวโคลนตั้งคำถามห้วนๆ “คุณเป็นใครกัน? หน้าอย่างคุณน่ะ คิดหรือว่าจะมีปัญญาทำให้ผมยอมจำนนได้?”
“คุณ…” เทพเจ้าอ้าปากค้าง เขารีบคว้าขาของตัวโคลนไว้เพื่อยับยั้งการโจมตี แต่ขาอีกข้างของตัวโคลนก็ตวัดเข้ามาจากอีกด้านหนึ่ง
พลั่ก!
เทพเจ้าถูกเตะเข้าที่โหนกแก้มจนใบหน้ายุบเข้าไปเพราะแรงปะทะหนักหน่วงนั้น
“อะไรกัน? เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?” เทพเจ้าถึงกับจังงัง
ที่จังงังไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับ แต่เป็นเพราะแรงเตะนั้นทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ
บรรดาตัวโคลนที่เขาเคยเห็นมาล้วนแต่อ่อนแอกว่าร่างต้นแบบทั้งสิ้น แต่ทำไมตัวโคลนของชายคนนี้ถึงแข็งแกร่งกว่าร่างต้นแบบ? มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?
ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!
“คุณน่ะหาเรื่องโดยใช่เหตุ ร่างต้นแบบของผมอ่อนแอจะตาย จะมาเทียบชั้นกับผมได้อย่างไร?” ตัวโคลนเยาะหยันขณะพุ่งเข้าเล่นงานเทพเจ้าอีกครั้งโดยตวัดขาเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
เพราะจางเซวียนกดข่มระดับวรยุทธของเขาไว้ เขาจึงเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่ตัวโคลนนั้นไม่ใช่ ในฐานะของล้ำค่าระดับเทพเจ้า ไม่มีความจำเป็นที่ตัวโคลนจะต้องกดข่มระดับวรยุทธ เมื่อ 1 เดือนก่อน เขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้แล้วโดยใช้นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ ทำให้กลายเป็นนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดอย่างเต็มตัว
แม้ตอนที่ทั้งสองยังมีวรยุทธขั้นเดียวกัน จางเซวียนก็เทียบชั้นกับตัวโคลนของเขาไม่ได้ นับประสาอะไรกับข้อเท็จจริงที่ว่าตอนนี้วรยุทธของเขากับตัวโคลนห่างกันถึง 3 ขั้นเต็มๆ ถ้าจางเซวียนต้องต่อสู้กับตัวโคลนในเวลานี้ ก็ทำได้เพียงใช้หอกสวรรค์กระดูกมังกรปกป้องตัวเองเท่านั้น
สีหน้าประหลาดใจของเทพเจ้าค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นขณะระเบิดเสียงหัวเราะชั่วร้ายออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! สวรรค์เมตตาผมแล้ว ตอนนี้ผมยิ่งตั้งใจมุ่งมั่นกว่าเดิมว่าจะต้องครอบครองคุณให้ได้!”
เขากรีดร้องเสียงแหลม จากนั้นก็กระโจนเข้ารับมือกับการโจมตีของตัวโคลน เทพเจ้ารวบรวมพละกำลังทั้งหมดเพื่อจะเล่นงานแสนยานุภาพของตัวโคลนให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็พอดีกับที่มีเงาหนึ่งมืดทะมึนอยู่เหนือร่างของเขา
เทพเจ้ารีบล่าถอยด้วยความหวาดระแวงก่อนจะเงยหน้ามอง มันคือหนังสือเล่มมหึมา จากนั้นฝ่ามือสีดำสนิทก็โผล่ออกมาจากหนังสือและตรงเข้าเล่นงานใบหน้าของเขา
พลั่ก!
การโจมตีครั้งนี้ทำให้เขาหมุนคว้างไป 2 รอบขณะเลือดสาดกระจายไปทั่ว
“นี่มันบ้าบออะไร?”
เทพเจ้าประหลาดใจกับไม้ตายทั้งหมดที่จางเซวียนซุกซ่อนไว้
หมอนี่ยังมีอะไรซ่อนอยู่อีกบ้าง? เริ่มแรกก็หอก ดาบ ต่อมาก็ก้อนอิฐ จากนั้นไม่นานก็เป็นตัวโคลน มาถึงตอนนี้…หนังสือเล่มหนึ่งก็เข้าร่วมวงด้วย
ที่สำคัญกว่านั้น เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานหนักหน่วงอย่างน่าทึ่งที่แผ่ซ่านออกมาจากหนังสือ บางสิ่งที่มีพละกำลังทัดเทียมกับเขาถูกสกัดกั้นไว้ในนั้น!
ฟึ่บ!
ในช่วงเวลาที่เทพเจ้ากำลังประหลาดใจ จางเซวียนก็พุ่งเข้าใส่พร้อมกับหอกในมือซ้ายและดาบในมือขวา เขากวัดแกว่งอาวุธทั้ง 2 ชิ้นด้วยความสอดคล้องสัมพันธ์กันอย่างน่าทึ่ง ทำให้เทพเจ้าปั่นป่วนไปครู่หนึ่งเพราะการโจมตีที่ผสมผสานกันอย่างพิสดารพันลึกนั้น
ระหว่างนั้น ตัวโคลนกับไอ้โหดก็รี่เข้าเล่นงานเทพเจ้า
พลั่ก! พลั่ก! ตุ้บ!
เมื่อเจอกับการโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อน เพียงไม่นานเทพเจ้าก็ถูกเล่นงานไปหลายร้อยครั้ง แรงปะทะนั้นทำให้กระดูกกระเดี้ยวของเขาแตกสลาย อวัยวะภายในเคลื่อนไปจากจุดเดิม ไม่มีส่วนไหนในร่างกายของเขาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ
“ไม่จริง มันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้…”
เป็นครั้งแรกตลอดระยะเวลาของการต่อสู้ที่เทพเจ้ารู้สึกหวาดกลัว
เขารีบตรงเข้ามาที่นี่เมื่อรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของปราการแห่งมิติ เพราะคิดว่าน่าจะเสาะแสวงหาทรัพย์สมบัติล้ำค่าหายากบางอย่างได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าลงท้ายเขาจะต้องมาจนมุมอยู่ในมิติเบื้องล่างแห่งนี้?
ลำพังจางเซวียนคนเดียวก็เป็นคู่ต่อสู้ที่เจ้าเล่ห์เจ้ากลพออยู่แล้ว แต่เขายังต้องรับมือกับผู้เชี่ยวชาญอีก 2 คน ที่มีพละกำลังทัดเทียมกับเขาพร้อมๆกันด้วย แล้วจะเอาชนะได้อย่างไร?
ในส่วนลึกของหัวใจ เทพเจ้ารู้สึกสิ้นหวัง รู้ดีว่าไม่อาจปล่อยให้การต่อสู้ดำเนินไปแบบนี้ได้ เขาจำเป็นต้องหลบหนี
ดังนั้น เทพเจ้าจึงรวบรวมพลังงานที่ดูเหมือนกับว่ากำลังจะปลดปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้าย ทำให้คู่ต่อสู้ทั้งสามรีบป้องกันตัว แต่แท้ที่จริงแล้วมันคือกลลวง เมื่อไม่มีใครเข้าโรมรันพันตูกับเขา เขาก็หันหลังกลับและรีบหนีไป
แต่ยังไม่ทันจะไปได้ไกล ทั้งโลกก็มืดมิด เทพเจ้ามีเวลาเพียงแค่เงยหน้ามองก่อนที่อิฐก้อนใหญ่จะโถมเข้าเล่นงานศีรษะของเขาอีกครั้ง
ราวกับหมอนี่ใช้เวลาอยู่กลางอากาศมาตลอด เฝ้ารอโอกาสเหมาะๆที่จะโจมตีศีรษะของเขา!
พลั่ก!
ถึงแรงกระแทกจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับเทพเจ้ามากนัก แต่ก็ทำให้เขามึนงงไปครู่หนึ่ง ช่วงเวลาที่เทพเจ้ากำลังวอกแวกนั้นถือเป็นโอกาส พริบตาต่อมา หอกและดาบอย่างละเล่มก็แทงทะลุหน้าอกของเขา จากนั้นหมัดหนึ่งก็ชกเข้าที่ศีรษะ แล้วมือสีดำอีกข้างก็ควักหัวใจ
แม้เมื่อถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย เทพเจ้าก็ยังคงมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ ราวกับยังทำใจไม่ได้ที่นักรบผู้เก่งกาจเหนือชั้นอย่างเขาจะต้องพ่ายแพ้ให้กับฝูงมด ขณะที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายหลุดรอดออกจากริมฝีปาก ร่างของเขาก็อ่อนปวกเปียกและร่วงลงมาจากกลางอากาศ
น่าเสียดายถ้าปล่อยให้เลือดเนื้อของผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ต้องร่วงลงไปอยู่กับพื้น จางเซวียนคิดขณะรีบเก็บศพของเทพเจ้าเข้าสู่รังนางพญามด
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก การต่อสู้สิ้นสุดแล้ว
ถึงอย่างไร ศัตรูที่เขาเผชิญหน้าก็เป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ หากทำอะไรผิดพลาดไปสักนิดในระหว่างการต่อสู้ คงจะถูกเล่นงานถึงตายทันที ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงทุ่มเทสมาธิทั้งหมดของเขาตลอดช่วงระยะเวลานั้น
แต่รางวัลจากการต่อสู้ก็ถือว่าคุ้มค่า แน่นอนว่าเลือดเนื้อและร่างกายของเทพเจ้าจะต้องเป็น ขุมทรัพย์ชั้นดีสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณของเขาในอนาคต
จางเซวียนเก็บตัวโคลนกับไอ้โหดเข้าสู่รังนางพญามด จากนั้นก็หันไปมองสันเขาที่มีแต่ความว่างเปล่า เขาเหม่อมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินทางกลับ
…..
บนแท่นบูชาที่อยู่ใจกลางสันเขา นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน เขามองรอยแยกแห่งมิติขนาดใหญ่ที่อยู่รอบตัวด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ในตอนนั้น ขงซือเหยาก็บินมาสมทบและตั้งคำถาม “นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง ชายหนุ่มคนนั้นคือปรมาจารย์ฟ้าประทานที่คุณเคยพูดถึง, จางเซวียน ใช่ไหม?”
เพราะสำแดงความสามารถของสายเลือดด้วยพละกำลังเกินพิกัด สีหน้าของเธอจึงซีดเผือดอย่างน่ากลัว เธอต้องใช้เรี่ยวแรงทุกหยาดหยดที่มีเพื่อให้ยังคงบินได้
“ใช่” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพยักหน้า
“เขาเป็นคนพิเศษจริงๆ…” ขงซือเหยาพยักหน้าด้วยความยำเกรง
สวรรค์ประทานให้เธอมีสายเลือดอันทรงพลังแต่กำเนิด จึงไม่มีใครเทียบชั้นกับเธอได้ในด้านความปราดเปรื่อง เธอเคยมั่นใจว่าในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นนักปราชญ์โบราณ ย่อมไม่มีใครที่แข็งแกร่งกว่าเธออีกแล้ว แต่จากการต่อสู้เมื่อครู่ ก็เห็นได้ชัดว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของชายหนุ่มเหนือชั้นกว่าเธอมาก
ตั้งแต่ได้ยินชื่อเสียงของจางเซวียน เธอก็อยากพบหน้าและประลองกับเขา เธอคิดว่าหลังจากที่เธอฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณแล้วก็คงจะดวลกับเขาได้ แต่เท่าที่เห็น คงไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้นอีก
เพราะแม้จะเปิดใช้งานความสามารถของสายเลือด เธอก็ยังยับยั้งการโจมตีของเทพเจ้าไม่ได้ ส่วนชายหนุ่มกลับต่อสู้กับเทพเจ้าได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ทั้งยังล่ออีกฝ่ายออกไปได้ด้วย เพียงเท่านี้ก็เห็นชัดแล้วถึงช่องว่างในความสามารถของทั้งคู่
“ปฏิเสธไม่ได้ว่าจางเซวียนน่ะเก่งกาจไร้เทียมทาน แต่เขาก็ยังคงอ่อนด้อยกว่าหากเทียบกับเทพเจ้าจากมิติเบื้องบน ผมเกรงว่าเขาจะตกอยู่ในอันตราย!” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งเปรยอย่างเป็นห่วง
“ด้วยสภาวะของพวกเราในตอนนี้ เราช่วยอะไรเขาไม่ได้หรอก แค่จะพยุงกำลังของค่ายกลไว้ยังทำไม่ได้เลย…”
ตอนนี้บรรดานักปราชญ์โบราณมีสภาพเป็นแค่โครงกระดูก และอาจเสียชีวิตในไม่ช้าหากปราศจากนิรันดร์กาลนักของนักปราชญ์โบราณที่จะมาฟื้นฟูพลังงานของพวกเขา ในสภาพนี้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำเพื่อช่วยเหลือจางเซวียนได้
เพราะรู้เรื่องนี้ดี นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจึงได้แต่ส่ายหน้า
ถึงเทพเจ้าจะถูกจางเซวียนล่อออกไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอันตรายครั้งนี้จะจบสิ้น ค่ายกลที่มีศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพยุงกำลังไว้เปิดออกแล้ว และพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทก็กำลังทะลักเข้ามาข้างใน หากพวกเขาไม่รีบสมานรอยแยกให้ไว ทุกชีวิตที่อยู่ในอาณาจักรคุนฉื่อจะต้องตายเพราะพลังงานหนักหน่วงนั้น
ชีวิตประชากรทั้งหมดของพวกเขากำลังตกเป็นเดิมพัน!
“โชคดีที่พลังงานนี้ไม่ได้ทะลักเข้ามารวดเร็วนักเพราะน้ำหนักของมัน ซึ่งสิ่งที่ด่วนกว่าสำหรับพวกเราก็คือกำจัดเทพเจ้าให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างที่เราทำไปจะต้องสูญเปล่า” ขงซือเหยาพูด
ขอแค่พวกเขาปิดกั้นจุดชีพจรไว้ ก็จะสามารถต้านทานพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ตราบใดที่เทพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็จะเหมือนกับมีกิโยตีนที่พร้อมจะฟันคอของพวกเขาให้ขาดได้ในทุกขณะ
“คุณพูดถูก ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต พวกเราก็จะต้องกำจัดเทพเจ้านั่นให้ได้…”
ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นพ้องต้องกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ละคนรวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้ายและกำลังจะเคลื่อนตัวไปตามทิศทางที่จางเซวียนหายตัวไป ก็พอดีกับที่ชายหนุ่มคนหนึ่งโผล่เข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาดปราศจากฝุ่นผง ไม่มีร่องรอยของเลือดหรือบาดแผลบนร่างกาย ราวกับว่าที่เขาจากไปเมื่อครู่ก่อนนั้นไม่ใช่เพื่อไปต่อสู้ แต่ไปพักผ่อนในวันหยุด
ชายหนุ่มคนนั้นจะเป็นใครอื่นได้นอกจากจางเซวียน?
“คะ-คุณไม่เป็นอะไรหรือ? แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเทพเจ้า? คุณ…ฆ่าเขาหรือเปล่า?” ทุกคนถาม อย่างร้อนรน