สามารถซ่อมแซมค่ายกลได้ด้วยคำพูดประโยคเดียว…หรือว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถของสายเลือดแบบเดียวกันกับเธอ ทำให้ใช้วาจาสิทธิ์ได้?
แต่ไม่ช้า ขงซือเหยาก็รู้ว่าไม่ใช่แบบนั้น
แม้การกระทำของจางเซวียนจะดูคล้ายกับวาจาสิทธิ์ แต่ก็มีความแตกต่าง หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน มันดูเหมือนการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ขั้นสูงมากกว่า
แต่ค่ายกลเยียวยาสวรรค์โลงศพล่องลอยคือสิ่งที่บรรจุเอาพลังงานของสวรรค์ไว้ ดังนั้น แค่เปิดใช้งานมันโดยตรงก็ยังยาก แต่ทำไมมันถึงยอมทำตามการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์อย่างง่ายดายนัก?
นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็เกิดความสงสัยแบบเดียวกัน เขารีบตั้งคำถามกับจางเซวียน
“อ๋อ พิมพ์เขียวค่ายกลที่คุณให้ผมมาน่ะมีปัญหา 2-3 อย่าง ผมจึงแก้ไขมันระหว่างที่ติดตั้งค่ายกล” จางเซวียนตอบยิ้มๆ
“แก้ไขมัน?” ขงซือเหยาตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ “เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ ค่ายกลถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ขง ไม่มีทางที่จะมีข้อบกพร่องหรอก!”
สิ่งที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้จะมีความไม่สมบูรณ์แบบอยู่ได้อย่างไร?
“คืออย่างนี้ ค่ายกลที่ปรมาจารย์ขงสร้างขึ้นน่ะไม่ได้มีข้อบกพร่อง ปัญหาเกิดจากการเปลี่ยนแปลง อย่างมากของอาณาจักรคุนฉื่อตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ถึงตอนนี้ ค่ายกลของปรมาจารย์ขงไม่อาจกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมปัจจุบันของอาณาจักรคุนฉื่อได้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้น คุณคงไม่ต้อง ซ่อมแซมมันอยู่เรื่อยๆในแต่ละชั่วคนหรอก” จางเซวียนพูด
ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่รอดพ้นจากการกัดกร่อนของกาลเวลา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อาณาจักรคุนฉื่อเมื่อหลายหมื่นปีที่ผ่านมาจะต้องแตกต่างจากสภาพที่พวกเขาเห็นตรงหน้า ในเมื่อโลกเปลี่ยนไปแล้ว ค่ายกลจะยังคงไร้ข้อบกพร่องอยู่ได้อย่างไรหากปราศจากการเปลี่ยนแปลง?
คำพูดเหล่านั้นทำให้ขงซือเหยาจำนน ความตกตะลึงเข้าจู่โจมหัวใจของเธออีกครั้ง
สิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมามีเหตุผล…แต่นี่คือค่ายกลของปรมาจารย์ขงนะ!
เขาปรับเปลี่ยนค่ายกลของปรมาจารย์ขง แถมยังทำสำเร็จด้วย!
ขงซือเหยารู้สึกราวกับโลกหมุนติ้วอยู่รอบตัวเธอ
ที่ผ่านมา เธอไม่เคยแคลงใจในความปราดเปรื่องของตัวเอง มั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดที่เธอจะทำไม่ได้หากทุ่มเทความพยายามจนสุดตัว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับปีศาจที่อยู่ตรงหน้าเธอตัวนี้ ก็รู้ทันทีว่าต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงไม่มีวันตามเขาทัน
ส่วนจางเซวียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทถูกสกัดกั้นไว้แล้ว เขาเบนสายตาจากขงซือเหยาที่กำลังจังงังแล้วหันมาพูดกับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงที่ดูจะสุขุมเยือกเย็นกว่า “ผมว่าสถานการณ์ตอนนี้คงเอาอยู่แล้วล่ะ นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง…ไม่ทราบว่าจะช่วยอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟังได้ไหม?”
เขารู้สึกว่าขงซือเหยากำลังทำเรื่องให้ยุ่งยากโดยใช่เหตุ ราวกับเธอไม่เคยเห็นโลกที่กว้างใหญ่กว่านี้มาก่อน
การที่เขาใช้เวลา 20 อึดใจในการติดตั้งค่ายกลนั้นไม่ใช่วีรกรรมน่าทึ่งแต่อย่างใด ออกจะเรียกว่าเชื่องช้าไปสักหน่อยด้วยซ้ำ ถ้าเขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ เรื่องแบบนี้คงใช้เวลาเพียง 2 อึดใจเท่านั้น!
“…ปรมาจารย์จาง คุณคิดอย่างไรกับพลังงานหนักอึ้งเมื่อครู่นี้ คิดว่าจะซึมซับมันเข้าสู่ร่างกายของคุณได้ไหม?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบกลับด้วยการตั้งคำถาม
จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พลังงานหนักอึ้งนั้นมีลักษณะบางอย่างที่เหมือนกันกับพลังจิตวิญญาณ แต่น้ำหนักของมันทำให้ผู้ที่มาจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่สามารถซึมซับมันได้ ถ้าผมซึมซับมันเข้าไป ก็มีโอกาสที่ทางเดินพลังปราณของผมจะแตกสลายเพราะรับน้ำหนักมากเกิน”
ได้ยินคำนั้น นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ “ผมเข้าใจ…บอกคุณตามตรงนะ พลังงานหนักอึ้งนั่นน่ะคือพลังจิตวิญญาณจากมิติเบื้องบน!”
“ พลังจิตวิญญาณจากมิติเบื้องบน?”
“ใช่ คุณเคยสงสัยบ้างหรือเปล่าว่าทำไมสิ่งมีชีวิตจากมิติเบื้องบนถึงทรงพลังกว่าพวกเรามาก? นั่นก็เพราะพลังจิตวิญญาณที่พวกเขาซึมซับแตกต่างจากพลังจิตวิญญาณของพวกเรา มันเข้มข้นกว่าหลายเท่า และช่วยบ่มเพาะสภาวะร่างกายของพวกเขาจนถึงขั้นที่ลูกหลานของคนพวกนั้นมีพละกำลังการต่อสู้อันน่าทึ่งตั้งแต่เกิด” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงอธิบาย
“พวกเขาซึมซับพลังจิตวิญญาณหนักอึ้งนั่น? ทำแบบนั้นจะดีหรือ?” จางเซวียนชะงัก
แม้ด้วยพละกำลังระดับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดอย่างตัวเขา จางเซวียนก็ยังรู้สึกเหมือนว่าอวัยวะภายในน่าจะถูกทำลายหากเขาซึมซับพลังงานนั้นเข้าไปแม้เพียงสักนิด แล้วผู้ที่อยู่ในมิติเบื้องบนแต่กำเนิดสามารถซึมซับพลังงานหนักอึ้งนั้นได้โดยไม่ต้องเผชิญกับแรงตีกลับใดๆเลยหรือ?
“ตามผมมาสิ” เห็นสีหน้าของจางเซวียน นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงหันหลังแล้วร้องเรียกอีกฝ่ายให้ตามไป เขากัดฟันระงับความเหนื่อยอ่อนไว้แล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง
นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเสียเลือดมากเกินไปในการต่อสู้เมื่อครู่ก่อน จนถึงระดับที่พลังชีวิตเหือดแห้งไปเกือบหมด แม้จะยังหายใจ แต่เขาก็เหลือเวลาอยู่ไม่มาก
ทั้งคู่บินไปครู่หนึ่งก่อนจะมาถึงวังที่ถูกปิดตายไว้อย่างแน่นหนา นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงผลักประตูวังและเดินเข้าไป มีค่ายกลสกัดกั้นพื้นที่อยู่ในวังนั้น ภายในค่ายกลมีกรงโลหะขนาดใหญ่ จางเซวียนบอกไม่ได้ว่าโลหะนั้นคืออะไรกันแน่ แต่มีอักษรโบราณจารึกไว้ทั่ว
วัยรุ่น 2 คนถูกขังอยู่ในกรงโลหะ เมื่อเห็นนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง ทั้งคู่หรี่ตาอย่างโกรธจัด หากทำได้ คงจะพุ่งเข้าสังหารนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงไปแล้ว
จางเซวียนรีบประเมินวัยรุ่นทั้งสองและได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก อีกเพียงก้าวเดียวก็จะสำเร็จวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณ ในแง่ของพละกำลัง พวกเขาไม่ได้อ่อนด้อยกว่านักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเลย
“ทำไมคุณถึงขังพวกเขาไว้ในกรง?” จางเซวียนตั้งคำถาม
แม้ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์จะไม่ได้เจริญรอยตามแนวคิดของปรมาจารย์ขงเรื่องการถ่ายทอดความรู้โดยปราศจากการแบ่งแยก แต่จางเซวียนก็ดูออกว่าพวกเขาไม่ใช่คนชนิดที่จะทำร้ายใครโดยปราศจากเหตุผลและความชอบธรรม
หรือว่าวัยรุ่นสองคนนี้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงบางอย่าง?
“ปรมาจารย์จาง คุณดูออกไหมว่าพวกเขาคือใคร?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตั้งคำถาม
จางเซวียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถามนั้น เท่าที่ฟังจากคำพูดของอีกฝ่าย ดูเหมือนนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจะคาดหวังให้เขารู้จักทั้งคู่ จางเซวียนจึงพิจารณาวัยรุ่นทั้งสองอย่างถี่ถ้วน แต่ก็ไม่อาจบอกตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้ ลงท้ายก็ได้แต่ส่ายหัว
“พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจ!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบ
คำนั้นทำให้จางเซวียนตัวแข็งทื่อ “พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือ? เป็นไปได้อย่างไร? หรือว่าจะเป็นฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจปลอมตัวมา?”
ปราณสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นมีพละกำลังล้นเหลือเสียจนไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ไม่เห็น วัยรุ่น 2 คนนี้ไม่ได้แผ่เจตนาสังหารออกมาสักนิด แล้วจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจได้อย่างไร?
หรือว่าทั้งคู่จะเป็นฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ใช้วิธีการพิเศษบางอย่างปลอมตัวมา?
แต่นั่นก็ไม่น่าใช่ เว้นเสียแต่เครื่องรางแห่งการปลอมตัวของหลัวลั่วชิง ก็ไม่มีการปลอมตัวชนิดไหนที่จะหลุดรอดจากดวงตาหยั่งรู้ของเขา
จางเซวียนแน่ใจว่าวัยรุ่นสองคนนี้ไม่ได้กำลังปลอมตัว พวกเขาอยู่ในรูปลักษณ์ดั้งเดิม
“ผมรู้ว่าคุณสงสัย แต่ทั้งคู่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจริงๆ ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ซึมซับพลังงานหนักอึ้งนั้นและแปรสภาพร่างกายไปจนมีหน้าตาอย่างที่เป็นอยู่” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบ
“เอ่อ…” จางเซวียนตัวสั่นด้วยความอัศจรรย์ใจ
เขายังสงสัยอยู่ว่าพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นสามารถถูกซึมซับได้หรือไม่ แต่กลับกลายเป็นว่ามันทรงพลังเสียจนถึงขนาดสามารถเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ปีศาจให้กลายเป็นมนุษย์ เรื่องนี้เป็นไปได้จริงหรือ?
ฟึ่บ!
นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงไม่อธิบาย เขาก้าวออกไปและสะบัดข้อมือ พลังปราณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทที่อยู่บนแท่นบูชาก่อนหน้านี้พุ่งเข้าหาวัยรุ่นทั้ง 2 ที่อยู่ในกรงทันที
เมื่อพลังงานนั้นพุ่งถึงเป้าหมาย ทั้งสองไม่แสดงความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย นัยน์ตาของพวกเขากลับเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้นขณะรีบทรุดตัวลงนั่ง เปิดจุดชีพจร และซึมซับพลังงานนั้นเข้าไป
ขณะที่พลังงานไหลเวียนอยู่ในร่างกายของทั้งคู่ มันก็เริ่มเดือดพล่านราวกับน้ำเดือด รังสีและพลังงานของพวกเขาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
เป็นอย่างนั้นจริงๆ จางเซวียนคิดขณะกำหมัดแน่น
เผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถซึมซับพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทที่แม้แต่ตัวเขาก็ยังซึมซับไม่ได้ พลังงานนั้นช่วยยกระดับวรยุทธของพวกมันให้สูงขึ้นจนถึงขั้นที่เรียกว่าน่าสะพรึง
จางเซวียนหันขวับไปมองนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง หวังว่าจะได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายเกี่ยวกับการทดลองอันน่าพิศวงนี้
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสภาวะร่างกายแต่กำเนิด ตราบใดที่สภาวะร่างกายแต่กำเนิดของผู้นั้นแข็งแกร่งพอ ก็จะสามารถรับเอาพลังงานหนักอึ้งและซึมซับมันเข้าสู่ร่างกายได้ สภาวะร่างกายแต่กำเนิดของเผ่าพันธุ์ปีศาจแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่าพวกมันแข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักรบเหนือมนุษย์แต่กำเนิดก็บอกอะไรได้มากแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ในจำนวนเผ่าพันธุ์ปีศาจ 10 ตัวที่ผมได้ทำการทดลอง มีเพียง 2 ตัวเท่านั้นที่มีชีวิตรอด”นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพูด
“เมื่อปีก่อน ผมยังได้ทำการทดลองนี้กับมนุษย์กว่าหมื่นคนด้วย แต่ไม่มีใครเอาชีวิตรอดได้เลย!”
จางเซวียนหน้าถอดสีอย่างพรั่นพรึงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น สิ่งที่เขาหวาดหวั่นไม่ใช่ความโหดเหี้ยมของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง แต่เป็นเพราะสาระสำคัญของสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา
เขาเคยคิดว่าแม้เผ่าพันธุ์ปีศาจจะเริ่มต้นจากจุดที่เหนือชั้นกว่ามนุษย์มากเพราะสภาวะร่างกายแต่กำเนิดที่แข็งแกร่งกว่า แต่ลงท้าย เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็จะทัดเทียมกันได้ แต่ดูเหมือน ช่องว่างนั้นจะห่างไกลกันเกินกว่าที่เขาเคยคิดไว้…
ถ้าพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนี้แผ่ซ่านไปทั่วทวีปแห่งปรมาจารย์เข้าสักวัน เผ่าพันธุ์มนุษย์มิสูญพันธุ์หมดสิ้น และเผ่าพันธุ์ปีศาจจะมิเรืองอำนาจหรือ?
จางเซวียนถามอย่างระแวง “นี่คือเหตุผลที่ปรมาจารย์ขงใช้ศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนสร้างค่ายกลขนาดมหึมาขึ้นเพื่อปิดกั้นทางเดินแห่งมิติไว้ใช่ไหม? ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อป้องกันพลังงานหนักอึ้งนั้นไม่ให้รั่วไหลเข้าสู่โลก?”