“แค่ก แค่ก! ปรมาจารย์จาง เข้าเรื่องเถอะ!”
แม้แต่นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงยังทนฟังไม่ไหว
การทดสอบนักปราชญ์โบราณเป็นหนึ่งในวิกฤตการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่นักรบคนหนึ่งจะต้องเผชิญ ต่อให้มีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณอยู่กับตัว แต่ถ้าผู้นั้นขาดความปราดเปรื่องระดับชั้นยอด ก็ไม่มีทางฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ
เหตุผลส่วนหนึ่งที่ขงซือเหยาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จก็เพราะได้รับทรัพยากรปริมาณมหาศาลจากอาณาจักรคุนฉื่อ อันเนื่องมาจากสถานภาพของเธอในฐานะทายาทของปรมาจารย์ขง แม้ในตระกูลขงจะไม่มีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณหลงเหลือแล้ว แต่พวกเขาก็ยังพอมอบเศษเสี้ยวบางส่วนให้เธอได้บ้าง
แต่ถึงอย่างนั้น การฝ่าด่านวรยุทธทุกครั้งที่ขงซือเหยาผ่านมาก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินบนแผ่นน้ำแข็งบางๆ เพราะหากก้าวพลาดสักก้าวก็จะจมลงสู่หลุมลึกของความสิ้นหวังทันที แต่หมอนี่กำลังบอกเธอให้ดูแลการทดสอบวรยุทธเหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว ทั้งยังต้องแสดงความห่วงใยใส่ใจมันด้วย…
คุณเห็นฉันเป็นไอ้งั่งหรือ?
นี่คิดจะให้ฉันยอมรับคำพูดเหลวไหลที่คุณกำลังพล่ามอยู่งั้นสิ?
“ดูเหมือนคุณจะแคลงใจในคำพูดของผมนะ” จางเซวียนส่ายหน้า เขาหันไปมองหมู่เมฆดำที่อยู่กลางอากาศและคว้ามันไว้
การลงทัณฑ์ของสวรรค์ปล่อยสายฟ้าสายหนึ่งฟาดลงมาทันที
เปรี้ยงงงงง!
สายฟ้าพยายามดิ้นรน อยากจะหนีให้พ้นจากเงื้อมมือของจางเซวียน แต่ไม่เป็นผล
จางเซวียนเขย่าสายฟ้าเบาๆและปลอบ “เด็กดี เด็กดีนะ…”
เสียงของเขานุ่มนวลราวกับกำลังปลอบโยนสัตว์เลี้ยงที่อารมณ์เสีย
เมื่อเจอกับการปลอบโยนอย่างนุ่มนวลของจางเซวียน สายฟ้าที่กำลังดิ้นรนก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะ สลายความตึงเครียดออกจากตัวมัน มันค่อยๆซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังของจางเซวียนและเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างช้าๆ
ขงซือเหยากับคนอื่นๆถึงกับจังงัง
แบบนี้ก็ได้หรือ?
นี่ต้องเป็นเรื่องตลกแน่ ใช่ไหม?
“เห็นหรือยังล่ะ? ก็แค่ทำแบบนี้ ความรักน่ะเป็นกุญแจของทุกอย่าง แทนที่จะต่อต้าน คุณจะต้องโอบกอดมันและปล่อยให้มันเข้าสู่ร่างกายของคุณ ด้วยวิธีนี้ คุณก็จะสามารถเอาชนะใจและทำให้มันเชื่อฟังคุณได้” จางเซวียนอธิบายขณะสะบัดข้อมือ แล้วสายฟ้าสายนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เขาเขย่ามันเบาๆ ราวกับกำลังโอ๋แมวตัวหนึ่งที่ส่งเสียงครางอยู่ในอ้อมกอด
แม้ภาพตรงหน้าจะดูเหลือเชื่อสุดๆ แต่ก็ทำให้ทุกคนเกิดความสงสัย
หรือว่าจะเอาชนะการทดสอบนักปราชญ์โบราณได้ด้วยวิธีการนี้จริงๆ?
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมาถึงไม่มีใครเคยทำมาก่อนเลย?
“ก็เพราะความทรงพลังของการทดสอบวรยุทธ ใครจะกล้าทำกับมันราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงล่ะ? ไว้ใจผมเถอะ ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่ หลังจากนี้ เมื่อคุณเรียกการทดสอบนักปราชญ์โบราณมา ให้คุณเปิดจุดชีพจรทั้งหมดในร่างกายและซึมซับมันโดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร ห้ามแสดงอาการขัดขืนหรือต่อต้าน จำไว้ว่าคุณจะต้องใช้ใจกับมัน” จางเซวียนอธิบาย “ขอแค่คุณทำตามนี้ได้ทั้งหมด ผมรับประกันเลยว่าคุณจะไม่เจอกับปัญหาอะไรทั้งนั้นในการผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณ!”
ขงซือเหยายังคงกังวลเล็กน้อย
ไม่ว่าจะมองอย่างไร คำพูดของอีกฝ่ายก็ยังดูไม่ค่อยน่าวางใจ…
“คุณไม่เชื่อใจผมหรือไม่เชื่อมั่นในตัวเองกันแน่? ถ้าคุณไม่เชื่อว่าตัวคุณจะสามารถผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 4 ไปได้ล่ะก็ ล้มเลิกความคิดเสียตอนนี้เลย แล้วก็อยู่ดักดานเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานไปทั้งชีวิตก็แล้วกัน!” จางเซวียนโบกมืออย่างรำคาญ
“ผมน่ะเคารพปรมาจารย์ขงเสมอในความเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ และคิดว่าทายาทของเขาก็ต้องเก่งกล้าและปราศจากความหวาดกลัวไม่ต่างกับเขา แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดที่ทึกทักไปเองว่าทายาทของปรมาจารย์ขงจะได้รับการถ่ายทอดความกล้าหาญของเขามา…”
“อย่าบังอาจตำหนิฉันนะ!” ขงซือเหยาคำราม “ฮึ่มมมมม! อย่างมากก็แค่ตาย ฉันขอบอกคุณเลยว่าพวกเราตระกูลขงไม่เคยหวาดกลัวอะไรทั้งนั้น มาเลย บอกมาว่าฉันต้องทำอะไรบ้าง!”
เมื่อยั่วยุขงซือเหยาให้ของขึ้นได้สำเร็จ จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ เขารีบถ่ายทอดกรรมวิธีที่เธอจะต้องดำเนินการหลังจากเรียกการทดสอบนักปราชญ์โบราณมา ซึ่งหัวใจของมันก็คือสิ่งเดียวกันกับที่เขาพูดไปเมื่อครู่นี้
เมื่อเรียกการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาแล้ว เธอจะต้องไม่ต่อต้าน แต่จะต้องนำมันเข้าสู่จุดชีพจรและทางเดินพลังปราณ จากนั้นก็ใช้ใจสัมผัสและรับรู้มัน…
หลังจากฟังคำพูดเหล่านั้นจบ ขงซือเหยาถึงกับขนลุกขนพอง
แม้มันจะดูเหลวไหล แต่ตอนนี้เธอก็ตัดสินใจแล้วที่จะกระโจนเข้าใส่โชคชะตาและติดตามมันไป ขงซือเหยากัดฟันกรอด “ฉันจะลองดู!”
ขงซือเหยาไม่แยแสเสียงคัดค้านของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง เธอกระโจนขึ้นสู่กลางอากาศเพื่อเตรียมตัวเรียกการทดสอบนักปราชญ์โบราณ
“อย่าทำที่นี่! ไปหาที่ไกลๆหน่อย!”
ตอนนี้พวกเขาอยู่ใจกลางอาณาจักรเทียนเซวียน ถ้าขงซือเหยาเรียกการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาตรงนี้ ทุกอย่างที่อยู่ในพื้นที่จะถูกทำลายจนสิ้นซาก จางเซวียนจึงรีบห้ามไว้และเรียกเธอไปที่อื่น
พวกเขารีบออกจากบริเวณนั้น อึดใจต่อมาก็มายืนอยู่ท่ามกลางสันเขาโล่งแจ้งแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากอาณาจักรเทียนเซวียนพอสมควร
จางเซวียนกับคนอื่นๆเลือกที่จะเฝ้าดูกระบวนการของขงซือเหยาในระยะที่ห่างออกไป 20 ลี้
ฟึ่บ!
ขงซือเหยาขับเคลื่อนพลังงานในร่างกายของเธอจนเต็มพิกัดอย่างไม่ลังเลและปลดปล่อยรังสีทั้งหมดออกมาในคราวเดียว ทำให้พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว
เพียงพริบตาเดียว การกระทำของเธอก็ดึงดูดความสนใจของสวรรค์ หมู่เมฆดำก่อตัวหนาแน่นขณะที่สายฟ้ากับเปลวเพลิงสวรรค์ที่ออกันอยู่บริเวณทางเข้าอาณาจักรคุนฉื่อกรูเข้ามาล้อมรอบตัวเธอ พร้อมจะฉีกร่างของเธอเป็นชิ้นๆได้ทุกเมื่อ
“มันช่าง…”
ราวกับเธอกำลังเฝ้ามองต้นกล้าสักต้นหนึ่งงอกงามขึ้นอย่างพิสดารพันลึกต่อหน้าต่อตา ทุกอย่างดูจะไม่เป็นไปตามที่คาดไว้สักนิด
นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงไปถามจางเซวียนอย่างกังวล “ปรมาจารย์จาง เธอจะทำให้การทดสอบวรยุทธอันทรงพลังยอมจำนน และรักมันได้จริงๆหรือ?”
“คุณพูดเหลวไหลอะไรออกมาน่ะ? ทำไม่ได้อยู่แล้ว!” จางเซวียนมองนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงด้วยสายตาราวกับจะตำหนิอีกฝ่ายว่าเป็นคนโง่
“ทำไม่ได้อยู่แล้ว?”
ได้ยินคำตอบนั้น ฝูงชนพากันเข่าอ่อน
ก็คุณไม่ใช่หรือที่พยายามหว่านล้อมพวกเราว่าอานุภาพของความรักจะเอาชนะได้ทุกอย่าง?
มันเรื่องอะไรถึงปลิ้นปล้อนขนาดเปลี่ยนใจได้ในชั่วพริบตา?
“การทดสอบนักปราชญ์โบราณน่ะคือการลงทัณฑ์จากสวรรค์ที่มีต่อบรรดานักรบ” จางเซวียนตอบ “คนบาปสักคนพยายามจะทำให้ผู้บงการยอมจำนน…แบบนั้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร? ไอ้การใช้หัวใจเพื่อสัมผัสการทดสอบวรยุทธ และการปลอบประโลมมันด้วยความรักและความห่วงใยนั่นน่ะ…นึกอะไรขึ้นได้ ผมก็พูดออกไปส่งๆอย่างนั้นแหละ!”
“นึกอะไรขึ้นได้ คุณก็พูดออกไปส่งๆอย่างนั้น…ตะ-แต่…ซือเหยากำลังเผชิญหน้าการทดสอบนักปราชญ์โบราณนะ…เธออาจจะตายก็ได้!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงโมโหจนแทบปรี๊ด
จะเล่นตลกอะไรก็ต้องบันยะบันยังบ้าง!
ขงซือเหยาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของปรมาจารย์ขงที่มีระดับความบริสุทธิ์ของสายเลือดเท่ากับ ‘8’ ถ้าเขาปล่อยให้เธอตาย คงไม่มีวันมองหน้าเหล่าบรรพบุรุษได้!
“ใจเย็นน่ะ ผมไม่คิดจะปล่อยให้เธอตายหรอก รอดูก็แล้วกัน” จางเซวียนยืนยันพร้อมส่งยิ้มอย่างมั่นใจให้ฝูงชนที่ยังคงหวาดวิตก
ในตอนนั้น พละกำลังที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางหมู่เมฆดำก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด สายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์อันเกรี้ยวกราดพุ่งเข้าใส่ขงซือเหยาราวกับห่าฝน
ครืนนนนน!
พลังงานมหาศาลก่อตัวเป็นหอคอยเปลวเพลิงและสายฟ้าที่เข้าโอบล้อมและทำลายล้างทุกอย่างในรัศมีหลายร้อยเมตร
“บ้าที่สุด! ถ้าหมอนั่นทำได้ ทำไมเราถึงทำไม่ได้?” ขงซือเหยาสบถขณะรู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อตึงเขม็งจากความกดดันที่ถาโถมเข้าใส่
พลังปราณของเธอเดือดพล่านอยู่ภายในร่างกาย พร้อมที่จะระเบิดออกมาเพื่อปัดป้องพละกำลังทำลายล้างออกไป แต่ในวินาทีสุดท้าย เธอก็ระงับพลังงานเฮือกสุดท้ายของตัวเองไว้
ไปตายซะ!
แค่คิดถึงรอยยิ้มยียวนนั่นก็ทำให้เธอโมโหเดือด ถ้าเธอต้องตาย จะไม่มีวันปล่อยให้หมอนั่นหนีรอดไปได้ ต่อให้เธอจะกลายเป็นผีแล้วก็ตาม!
ขณะที่พลังงานอันเกรี้ยวกราดและน่าสะพรึงเข้าครอบงำขงซือเหยา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพากันหลับตา ไม่กล้าลืมตามองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกเขาไม่คิดว่าหัวใจของตัวเองจะรับไหวถ้าต้องเห็นร่างของสาวน้อยแหลกเป็นชิ้นๆเพราะพละกำลังทำลายล้างของการทดสอบวรยุทธ!
แต่รอแล้วรอเล่า ก็ยังไม่ได้ยินเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดหรือสิ้นหวังเล็ดลอดออกมา ทุกคนลืมตามองด้วยความกังขา และสิ่งที่เห็นก็ทำให้ถึงกับจังงัง
ในตอนนั้น ขงซือเหยาถูกโอบล้อมด้วยเปลวเพลิงสวรรค์และสายฟ้า แต่แทนที่เธอจะพยายามขัดขืนหรือปัดป้องพลังงานเหล่านั้น จุดชีพจรทั้งหมดของเธอกลับเปิดออกขณะที่รับเอาพลังงานเข้าสู่ร่างอย่างไม่ลังเล
ไม่เหมือนกับที่ใครๆคาดเดาไว้ พละกำลังทำลายล้างนั้นไม่ได้สร้างความบอบช้ำหรือแผดเผาร่างของเธอ มันนอนนิ่งอยู่ในทางเดินพลังปราณ ราวกับถูกฝึกให้เชื่องมาแล้วเรียบร้อย
นี่…มันเกิดอะไรขึ้น?
ทุกคนมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าที่สุดจะบรรยาย
เมื่อกี้นี้เขาเพิ่งบอกว่าทุกอย่างเป็นเรื่องโกหกไม่ใช่หรือ? แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นล่ะ?
ถ้าขงซือเหยาทำได้…พวกเขาควรลองดูไหม?
เหยียนเฉว่ซึ่งเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานมีสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“ปรมาจารย์จาง…” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตั้งคำถามด้วยความอยากรู้สุดขีด “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”