1906 : ท่านอาจารย์ไปไหน?
ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ถือเอาปรมาจารย์ขงเป็นศูนย์รวมจิตใจมาตลอด จึงไม่มีใครคัดค้านการที่ขงซือเหยาจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำหลังจากที่ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ
ด้วยสิ่งนี้ ก็หมายความว่าจางเซวียนกับศิษย์สายตรงทั้ง 9 คนของเขามีเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์ปีศาจ และแม้แต่ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์อยู่ในสังกัด
รู้ดีว่าตัวเองแบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบอันหนักอึ้งไว้ ขงซือเหยาหันไปถามท่านอาจารย์ของเธอ “ท่านอาจารย์ เราจะรับมือกับเรื่องฉนวนของอาณาจักรคุนฉื่ออย่างไร?”
ท่านอาจารย์บอกไว้ว่าเขาจะสามารถแก้ไขทุกอย่างได้หากเธอยอมรับเขาเป็นอาจารย์
“ขอผมลองดู”
จางเซวียนเดินตรงเข้าหาฉนวน เขาใช้ความคิดแวบหนึ่ง จากนั้นก็นำหน้าหนังสือสีทองออกจากหว่างคิ้ว
ฟิ้วววว!
หน้าหนังสือสีทองลอยเข้าหาฉนวนของอาณาจักรคุนฉื่อและหลอมรวมเข้ากับมันอย่างรวดเร็ว แล้วฉนวนก็แปรสภาพเป็นประตูโอ่อ่าที่มีขนาดมหึมา
ทันทีที่ประตูขนาดมหึมาปรากฏ สายฟ้าฟาดและลูกไฟที่คำรามกึกก้องอยู่กลางอากาศราวกับได้พบศัตรูตัวฉกาจก็สลายตัวไปทันที
“วิกฤต…วิกฤตนี่คลี่คลายไปได้ด้วยวิธีแบบนี้หรือ?”
ทุกคนถึงกับจังงัง
แต่ละคนนึกสงสัยอยู่ว่าจะหานักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติจากที่ไหนมาช่วยพวกเขาให้พ้นจากวิกฤตครั้งนี้ ใครจะไปรู้ว่าทุกอย่างจะคลี่คลายได้อย่างง่ายดายด้วยหน้าหนังสือสีทองหน้าเดียว?
ถ้ามันง่ายขนาดนี้ ทำไมจางเซวียนถึงไม่นำมันออกมาตั้งแต่แรก?
จางเซวียนไม่แยแสสายตากังขาที่อยู่รอบตัว เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เราคิด…”
อันที่จริง เขาเองก็ไม่แน่ใจในขีดจำกัดความสามารถของหอสมุดเทียบฟ้า
ตั้งแต่ต้น ข้อจำกัดข้อแรกที่เขาพบก็คือหอสมุดเทียบฟ้าไม่อาจมองทะลุข้อบกพร่องของเหล่านักปราชญ์โบราณได้ บางทีอาจเป็นเพราะนักปราชญ์โบราณคือสิ่งมีชีวิตที่ทัดเทียมกับสวรรค์ ซึ่งนั่นคือขอบเขตความสามารถของมัน
แต่เมื่อหลัวลั่วชิงหลอมรวมมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเข้ากับหอสมุดเทียบฟ้าของเขาก่อนที่เธอจะจากไป ขีดจำกัดนั้นก็สลายไปด้วย
ตอนนั้นจางเซวียนเคยสงสัยว่าหอสมุดเทียบฟ้าอาจพัฒนาขึ้นจนเหนือชั้นกว่าสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ ซึ่งจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น
สวรรค์ไม่อาจหาญลงทัณฑ์สิ่งที่สูงส่งกว่ามัน และหอสมุดเทียบฟ้ากับหน้าหนังสือสีทองก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งนั้น
ฉนวนที่ก่อตัวขึ้นโดยหน้าหนังสือสีทองดูจะสูงส่งกว่าสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ ผลลัพธ์นั้นชัดเจน ไม่มีทางที่สวรรค์จะอาจหาญตัดสินอะไรอาณาจักรคุนฉื่ออีก
ตราบใดที่ฉนวนที่สร้างขึ้นโดยหน้าหนังสือสีทองยังคงอยู่ สวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์จะไม่กล้า เข้ามาก้าวก่าย อันที่จริง ไม่สำคัญแล้วด้วยซ้ำว่าอาณาจักรคุนฉื่อจะยังคงซ่อนตัวต่อไปหรือไม่
จางเซวียนพอใจกับผลที่ได้ เขามองหน้าขงซือเหยาขณะพูดว่า“ผมอยากไปเยี่ยมเยียนที่พักของบรรพบุรุษตระกูลขง”
ขงซือเหยารีบออกเดินนำทุกคนกลับเข้าสู่อาณาจักรคุนฉื่อ
ที่พักบรรพบุรุษตระกูลขงตั้งอยู่ในอาณาบริเวณของสำนักแห่งขงจื๊อ จางเซวียนเดินทอดน่องชมพื้นที่โดยรอบอย่างสบายใจ
ตระกูลขงได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของปรมาจารย์ขงมาซึ่งเป้าหมายของพวกเขาก็คือ ผลักดันแนวคิดและเทคนิควรยุทธของปรมาจารย์ขงให้แพร่หลายก้าวหน้าต่อไป มีบรรยากาศของภูมิปัญญาอันเข้มข้นอบอวลอยู่ในที่พัก จางเซวียนรู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงจิตวิญญาณและปรัชญาของปรมาจารย์ขงในทุกย่างก้าว
หลังจากชมบริเวณโดยรอบตระกูลขงแล้ว จางเซวียนก็ออกจากอาณาจักรคุนฉื่อ คราวนี้เขาไม่ได้พาบรรดาศิษย์สายตรงไปด้วยเพราะอยากสำรวจให้ทั่ว
…..
ครั้งหนึ่ง ปรมาจารย์ขงเคยเดินทางตระเวนไปทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ ทำให้มีความเข้าใจในชีวิต อย่างล้ำลึกขึ้นมาก สิ่งนี้จุดประกายให้เขารังสรรค์ของล้ำค่าอันทรงพลังซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง
จางเซวียนอยากเห็นทวีปปรมาจารย์ทั้งหมดกับตา และระหว่างการเดินทาง เขาก็หวังจะได้รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
ในทุกๆเมืองที่เขาแวะไป เขาจะพักอยู่ที่นั่นสักระยะเพื่อสัมผัสและเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น
เพราะภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจถูกกำจัดไปแล้ว ทั้งโลกจึงสงบสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สภาปรมาจารย์ได้รับการจัดระเบียบใหม่ตามแบบแผนของปรมาจารย์หยาง ขจัดเสี้ยนหนามจากกลุ่มก๊วนต่างๆไปจนหมดสิ้น ตอนนี้มันกลายเป็นองค์กรที่อุทิศตัวให้กับการถ่ายทอดภูมิปัญญาสู่ชาวโลก
ภายใต้คำสั่งของจางเซวียน บรรดาศิษย์สายตรงของเขาต่างออกเดินทางท่องโลกเพื่อเผยแผ่คำสอน อดีตลูกศิษย์ของเขาจำนวนมากมายจากสถาบันปรมาจารย์หงหย่วนก็ตระเวนไปทั่วโลกเพื่อเปิดการบรรยายเช่นกัน
บ่อยครั้งที่ผู้ได้ฟังคำสอนของจางเซวียนผ่านทางบรรดาลูกศิษย์ของเขาพลันเกิดความรู้แจ้งขึ้นมากะทันหันระหว่างการบรรยายทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดดส่งผลให้ทักษะของคนเหล่านั้นดูจะเหนือชั้นกว่านักรบรุ่นเดียวกันจากนั้น ผู้คนมากมายก็กลายเป็นสานุศิษย์ของ ‘สำนักจาง’
ภายในระยะเวลาไม่นาน ชื่อเสียงของจางเซวียนในฐานะปรมาจารย์หมายเลข 1 ของโลกก็ระบือลั่นยิ่งกว่าเดิม ถึงขนาดที่ชื่อของเขาเกือบจะเทียบชั้นกับปรมาจารย์ขงได้เลยทีเดียว
ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่ใฝ่ฝันอยากจะได้ฟังคำสอนจากตัวจางเซวียนโดยตรงสักครั้ง แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะหายวับไปจากโลกใบนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไรหรือไปไหน
ไม่ใช่เฉพาะสภาปรมาจารย์ที่ไม่รู้ชะตากรรมของจางเซวียน แม้แต่ศิษย์สายตรงของเขาก็ไม่มีเงื่อนงำสักนิดว่าท่านอาจารย์ของพวกเขาไปไหน ไม่ว่าจะพยายามติดต่ออย่างไรก็ไม่ได้การตอบรับ
“ท่านอาจารย์ไปไหนนะ?” เจิ้งหยางถอนหายใจเฮือกใหญ่
เขาบินลงไปถึงดินแดนใต้สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นท่านอาจารย์ของเขา
จ้าวหย่าบินขึ้นไปถึงจุดเหนือสุด แต่การค้นหาของเธอก็ล้มเหลว
ศิษย์สายตรงทั้ง 9 คนของจางเซวียนตามหาตัวเขาอยู่ถึง 4 เดือนเต็ม พลิกแผ่นดินแทบทุกตารางนิ้วของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์ของพวกเขาหายไปไหน
“ดูเหมือนท่านอาจารย์ของเรากำลังพยายามเสาะแสวงหาหนทางของตัวเองและไม่ต้องการให้ใครรบกวน เขาน่าจะสบายดีแหละพวกเราคงไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากไป” หวังหยิ่งปลอบใจ
“หวังหยิ่งพูดถูก” ลู่ชงพูด “สิ่งที่พวกเราควรทำตอนนี้ไม่ใช่การตามหาท่านอาจารย์ แต่คือการทำตามคำสอนและถ่ายทอดภูมิปัญญาของเขาให้แพร่หลายไปทั่วโลก อีกอย่าง เราจะต้องเอาใจใส่เรื่องวรยุทธด้วย เป้าหมายของพวกเราคือวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึก เราต้องสำเร็จวรยุทธขั้นนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้แบ่งเบาภาระของท่านอาจารย์ได้บ้าง”
“ถูกต้อง!”
คนอื่นๆพยักหน้ารับ
ด้วยความแข็งแกร่งของท่านอาจารย์ในตอนนี้ ไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ทำอันตรายเขาได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวล
ในเวลานี้ สิ่งที่ดีกว่าก็คือพยายามปฏิบัติภารกิจที่ท่านอาจารย์มอบหมายไว้ให้สำเร็จและยกระดับวรยุทธของตัวเอง อย่างน้อยที่สุด เมื่อเวลามาถึง พวกเขาก็จะไม่เป็นภาระของท่านอาจารย์อีกต่อไป
…..
ขณะที่โลกทั้งโลกกำลังตามหา จางเซวียนก็กำลังเดินทอดน่องอย่างสบายใจอยู่ในเมืองห่างไกลเมืองหนึ่งในทวีปแห่งปรมาจารย์
เกือบครึ่งปีแล้วตั้งแต่เขาออกจากร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์มาซึ่งนั่นหมายความว่าเขาทะลุมิติมายังโลกใบนี้ได้เกือบ 2 ปี
ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา เขาได้พบความยินดีปรีดา ความเสียใจการกลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง และการแยกจาก ทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน เสียงหัวเราะของความดีใจ เสียงร้องไห้ของความทุกข์ทรมาน ความอบอุ่นของการสวมกอด ความเย็นเยือกของการถูกปฏิเสธ…
เมื่อนึกถึงอารมณ์และประสบการณ์อันหลากหลายของผู้คนที่อยู่รอบตัวเขา จางเซวียนรู้สึกเหมือน ตัวเองมีหลายชีวิตในร่างเดียว
วันนี้เป็นวันที่ 3 นับตั้งแต่เขามาถึงเมืองเล็กๆแห่งนี้ ซึ่งตามกิจวัตรของเขา ตอนนี้ก็ได้เวลาที่จะต้องจากไปแล้ว
จางเซวียนจ้องมองเมืองเล็กๆอันสงบสุขที่อยู่รอบตัวเขาเป็นครั้งสุดท้ายและกำลังจะออกจากประตูเมืองไป ก็พอดีกับที่เกิดความวุ่นวายขึ้นกลางถนน ผู้คนมากมายกำลังวิ่งไปทางเดียวกันอย่างร้อนรนตื่นเต้น
“เร็วเข้า เร็วๆหน่อย! ปรมาจารย์คนหนึ่งกำลังจะเผยแผ่คำสอน!”
“ว่ากันว่าปรมาจารย์คนนั้นมาที่นี่เพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาของปรมาจารย์จาง พวกเราจะต้องตั้งใจฟังให้ดี ขอแค่เราตั้งใจฟังและเรียนรู้ ก็จะต้องมีโอกาสได้ต้นข้าวสาลีแตกยอด!”
“ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมเลย ข้าวสาลีแตกยอดปลูกได้โดยร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์เท่านั้น มันเติบโตในทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่ได้นี่ใช่ไหม? คุณรู้จักช่างตีเหล็กในอีกหมู่บ้านหนึ่งหรือเปล่า? เมื่อวันก่อนเขากินข้าวสาลีแตกยอดไปต้นหนึ่ง จากนั้นก็ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นจงซรือได้ทันที!”
“โชคดีเป็นบ้า! ถ้าผมสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือล่ะก็ คงหัวเราะได้แม้ยามหลับ!”
…..
เสียงพูดคุยออกความเห็นดังเซ็งแซ่
“การบรรยาย?” จางเซวียนทวนคำก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ
เขาได้เห็นภาพเหล่านี้มากมายตลอดการเดินทางในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา จึงหมดความสนใจอย่างสิ้นเชิงต่อเรื่องแบบนี้
มีปรมาจารย์มากมายที่ใช้ชื่อของเขาเพื่อผลักดันชื่อเสียงของตัวเอง ซึ่งการบรรยายเหล่านั้นบางส่วนก็ลึกซึ้งและทำให้ผู้ฟังเกิดความคิดที่ล้ำลึกกว่าเดิม ขณะที่บางส่วนก็เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง
แต่จางเซวียนก็ไม่เคยเข้าไปขัดจังหวะใคร
เขาเลือกจะเล่นบทผู้ชมเพื่อให้ได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆอันหลากหลายของโลกใบนี้ด้วยใจเปิดกว้าง จึงตั้งใจมุ่งมั่นที่จะละวางศักดิ์ศรี ความเชื่อ และแม้แต่ตัวตนของตัวเอง
เราควรย้ายไปอีกเมืองหนึ่งได้แล้ว จางเซวียนคิดขณะเดินออกจากประตูเมือง
แต่สิ่งที่เขาได้เห็นแวบหนึ่งทำให้ต้องหยุด
“นั่นเธอหรือ?” จางเซวียนพึมพำขณะเห็นร่างงดงามร่างหนึ่งทางหางตา
ความงามของเธอยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะผ่านไปแล้วถึง 2 ปีดึงดูดสายตาทุกคู่ไม่ว่าเธอจะย่างกรายไปที่ไหน
เธอไม่ใช่อาจารย์ธรรมดาคนหนึ่งในโรงเรียนต๊อกต๋อยอีกแล้ว แต่กลายเป็นปรมาจารย์ระดับ 3 ดาว
“ยินดีที่ได้พบพวกคุณ ฉันชื่อเสิ่นปี้หรู ปรมาจารย์ระดับ 3 ดาว!”
สาวน้อยที่ยืนอยู่บนเวทีเผชิญหน้ากับฝูงชนที่กำลังตื่นเต้น เธอเผยรอยยิ้มงดงามออกมา