เหตุผลที่จางเซวียนปลีกตัวออกมาตระเวนท่องโลกก็เพราะความสับสนในหัวใจ เขารู้สึกว่าตัวเองหลงทางและหาทิศที่จะไปไม่เจอ
จางเซวียนพิจารณาประวัติของปรมาจารย์ขง แต่ชีวิตของทั้งคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นคนสองคนที่ไม่มีอะไรเหมือนกันสักนิด เขาไม่อาจคาดหวังที่จะได้พบสิ่งเดียวกันกับปรมาจารย์ขง ต่อให้พยายามเดินตามรอยของอีกฝ่ายก็ตาม
จางเซวียนรู้ดีว่าการได้เป็นครูบาอาจารย์ของโลกคือหนทางที่เขาจะสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ ว่าแต่จะทำได้อย่างไร? โลกนี้ช่างกว้างใหญ่และมีกฎกติกาของตัวเอง เสียงร่ำร้องของเขาก็ไม่อาจดังจนสวรรค์รับรู้ แล้วเขาจะกลายเป็นครูบาอาจารย์ของโลกได้อย่างไร?
เมื่อทำความเข้าใจสิ่งนี้ไม่ได้ จางเซวียนจึงรู้สึกเหมือนอยู่ในมุมอับไม่ว่าจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไปไม่ได้ไกลกว่าเดิมสักนิด
แน่นอนว่าเขารู้ว่าความสับสนชนิดนี้เป็นสิ่งที่นักรบทุกคนจะต้องเผชิญในช่วงชีวิตของพวกเขา แต่มันคือปราการที่เขาไม่รู้จริงๆว่าจะจัดการกับมันอย่างไร
ตลอดเวลาที่ผ่านมา จางเซวียนพึ่งพาหอสมุดเทียบฟ้าในการฝึกฝนวรยุทธ เขาจะรวบรวมหนังสือจำนวนมากมายเข้าด้วยกันและประมวลมันขึ้นมา และหากจำเป็น ก็ปรับเปลี่ยนแก้ไขไปตามขั้นตอน เมื่อมองภาพรวม ทุกอย่างที่เขาฝึกฝนไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการรังสรรค์ของตัวเขาเองได้เลย แม้จะพัฒนาวรยุทธได้มากด้วยวิธีการนี้ แต่ก็กลายเป็นข้อจำกัดของเขาเช่นกัน
จางเซวียนสามารถปรับปรุงเทคนิคการต่อสู้ใดๆก็ตามจนแน่ใจว่าปราศจากข้อบกพร่อง แต่การพึ่งพาความสามารถของมันทำให้เขาไม่อาจฝึกฝนได้หากไม่มีเทคนิควรยุทธที่ใช้อ้างอิง
นี่คือข้อบกพร่องใหญ่หลวงที่สุด และเขาก็กำลังแบกรับผลกระทบของมัน
แม้แต่สวรรค์ยังมีข้อบกพร่อง จึงไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ได้มาโดยปราศจากการแลกเปลี่ยน
ดังนั้น จางเซวียนจึงออกเดินทางท่องโลก เขาไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนและไม่รู้ว่ามันจะนำพาเขาไปยังจุดใด แต่นั่นคือทั้งหมดที่ทำได้ในตอนนี้
การเดินทางช่วยเปิดหูตาให้กว้างไกล ทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวมากมายของโลกใบนี้ที่ไม่เคยรู้มาก่อน แต่เมื่อฟังคำพูดของเสิ่นปี้หรู ก็ทำให้รู้สึกอะไรได้บางอย่าง
คำตอบที่เขาเสาะแสวงหาตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาไม่ใช่สิ่งที่จะหาพบได้จากที่ไหนในโลก มันอยู่ภายในตัวเขา
ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือทำให้ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายและใส่ใจกับประสบการณ์ของคนอื่น
ทุกคนมีเส้นทางของตัวเองให้เดิน ไม่มีความจำเป็นต้องเลียนแบบใคร สิ่งที่เขาต้องทำคือซื่อสัตย์ต่อหัวใจของตัวเองและก้าวต่อไปบนเส้นทางที่เลือกแล้วอย่างมั่นคง เท่านั้นก็มากพอ
ต่อให้ไม่มีเทคนิควรยุทธที่ดีพร้อมให้เขาได้ฝึกฝนและเขาไม่อาจกลายเป็นครูบาอาจารย์ของโลก ก็แค่เป็นตัวของตัวเองที่สมบูรณ์แบบ เท่านั้นก็พอแล้ว!
“ขอบคุณมาก เสิ่นปี้หรู!”
จางเซวียนยิ้มออกเมื่อรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เขาได้คำตอบของตัวเองแล้ว และในที่สุดก็พร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ
ทั่วทั้งบริเวณมีแต่ความเงียบงัน
เสียงของจางเซวียนไม่ดังนัก แต่ดึงดูดความสนใจของฝูงชนในทันที
เสิ่นปี้หรูหันมามองเมื่อได้ยินเสียงนั้น เธอตาโตด้วยความตื่นเต้น“อาจารย์จาง! คุณมาทำอะไรที่นี่?”
ถ้าจางเซวียนไม่อยากให้ใครจดจำเขาได้ ต่อให้ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดกันที่สุดก็มองการปลอมตัวของเขาไม่ออก
แต่เพราะสำนึกในบุญคุณของเสิ่นปี้หรู จึงไม่อยากปกปิดตัวตนของตัวเองกับเธอ ด้วยเหตุนี้ สาวน้อยจึงดูออกทันทีว่าเขาคืออาจารย์ที่ไม่ประสบความสำเร็จและโดนใครๆดูถูก อีกทั้งยังเกือบถูกไล่ออกจากโรงเรียนหงเทียนเมื่อ 2 ปีก่อน, จางเซวียน!
รูปร่างหน้าตาของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักตลอด 2 ปีที่ผ่านมานอกจากชื่อเสียงที่โด่งดังกว่าเดิม อีกทั้งผิวพรรณที่เรียบเนียนและนัยน์ตาที่ล้ำลึกกว่าแต่ก่อน
“ครั้งสุดท้ายที่เราพบกันก็นานมากแล้วนะ” จางเซวียนยิ้มตอบขณะเดินช้าๆขึ้นไปบนเวที
“ใช่ นานมากแล้ว…” เสิ่นปี้หรูพยักหน้าขณะตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
เธอเคยคิดว่าด้วยสถานภาพที่แตกต่างกันลิบลับระหว่างเธอกับเขา คงไม่มีทางที่จะได้พบกันอีก ใครจะไปคิดว่าการกลับมาพบกันอีกครั้งจะเกิดขึ้นอย่างปุบปับแบบนี้?
ชายหนุ่มยังคงเหมือนเดิม ทั้งรอยยิ้มใสซื่อและท่าทีที่ปราศจากการวางมาด
“ปรมาจารย์จาง?”
“เมื่อกี้เธอพูดว่าเธอเป็นเพื่อนร่วมงานของปรมาจารย์จาง แล้วตอนนี้ก็ดูตกตะลึงขึ้นมาดื้อๆ…หรือเธอกำลังจะบอกว่าชายหนุ่มคนนั้นคือครูบาอาจารย์ของโลก, ปรมาจารย์จาง?”
“การที่เธอจะพูดมั่วๆกับเราก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ แต่ถึงกับแอบอ้างหน้าตาเฉยอย่างนี้…คิดจะดูถูกสติปัญญาของพวกเราหรือไง?”
“นี่คิดจะทดสอบความอดทนของพวกเราจนถึงหยดสุดท้ายใช่ไหม? ถ้าหมอนั่นคือปรมาจารย์จางจริงๆ ผมก็เป็นประธานสภาปรมาจารย์แล้วล่ะ!”
“ปรมาจารย์จางผู้สูงส่งจะมาอยู่ในเมืองไกลปืนเที่ยงของพวกเราได้อย่างไร? แม่นั่นอาจดูสวยก็จริง แต่หัวจิตหัวใจสกปรกเหลือเกิน…”
…..
ทั้งคู่ไม่ได้พยายามปกปิดการพูดคุย บทสนทนาของพวกเขาจึงทำให้ฝูงชนโมโหเดือด ราวกับมีใครสักคนโยนดินปืนเข้าสู่กองเพลิง
ปรมาจารย์จางเป็นบุคคลที่พวกเขาเคารพก็จริง แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายอยู่ไกลเกินเอื้อม ไม่มีทางที่พวกเขาจะได้เจอปรมาจารย์จางตัวเป็นๆแน่
แต่สาวน้อยคนนั้นกลับเรียกชื่อ ‘อาจารย์จาง’ ออกมาทันทีหลังจากพูดจบ…เธอกำลังจะบอกว่าชายหนุ่มที่ดูถ่อมเนื้อถ่อมตัวคนนั้นคือจางเซวียนจริงๆหรือ?
คุณกำลังตบตาพวกเราแล้วล่ะ!
ที่โม้ออกมานั่นก็ยังพอรับได้ แต่ทำให้ปรมาจารย์จางเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย…ให้อภัยไม่ได้จริงๆ!
“คุณไม่รู้หรือว่าการแอบอ้างตัวเป็นปรมาจารย์จางคือข้อห้ามของสภาปรมาจารย์ คุณจะถูกลงโทษข้อหากระด้างกระเดื่องนะ ไม่อย่างนั้น สภาปรมาจารย์จะคงความน่าเชื่อถือไว้ได้อย่างไร?”ปรมาจารย์คนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนร้องออกมาด้วยความโกรธ
“จริงด้วย! จับเจ้าคนชั่วร้ายหลอกลวงสองคนนั้นไว้ ถลกหนังเลย…” อีกคนตะโกนออกมา
แต่ยังไม่ทันขาดคำ เสียงสั่นๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ“พอที! เกิดอะไรขึ้นน่ะ…”
ฝูงชนที่กำลังโมโหพากันจับจ้องเวที สิ่งที่เห็นเกือบทำให้พวกเขาลมจับ
ชายหนุ่มที่แอบอ้างตัวว่าเป็น ‘ปรมาจารย์จาง’ กำลังยิ้มละไมและลอยขึ้นสู่กลางอากาศอย่างช้าๆ
ทุกคนรู้กันว่าความสามารถหนึ่งของนักรบที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนแล้วคือการบินได้ หรือว่าแท้ที่จริง เจ้าคนที่กำลังแอบอ้างตัวต่อหน้าพวกเขาจะเป็นนักรบระดับเซียน?
แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงกึกก้องก็ดังขึ้นกลางอากาศขณะหมู่เมฆดำนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามา
อาณาบริเวณของหมู่เมฆดำนั้นกว้างใหญ่มาก มันครอบคลุมทั่วทั้งเมืองอย่างรวดเร็ว แถมยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่ช้ามันก็แผ่ออกไปจนสุดขอบฟ้า ทั่วทุกหนแห่งมืดมิดไปหมด
“นี่คือ…การทดสอบวรยุทธ?”
“เกิดการทดสอบวรยุทธขนาดมหึมาแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร?”
“ว่ากันว่าแม้แต่การทดสอบนักปราชญ์โบราณที่ไร้เทียมทานที่สุดก็ยังกินอาณาบริเวณราวหนึ่งแสนหมู่เท่านั้น แต่นี่ปาเข้าไปอย่างน้อยก็หนึ่งล้านหมู่แล้วใช่ไหม?”
ฝูงชนด้านล่างตกตะลึงอย่างหนัก
“สามารถเรียกการทดสอบวรยุทธที่ใหญ่โตขนาดนี้มาได้ หรือว่าชายหนุ่มคนนั้นคือปรมาจารย์จางจริงๆ?”
เมื่อเริ่มสงสัย ต่างคนต่างเงียบกริบ
ก็จริง นอกเสียจากปรมาจารย์จาง ใครกันที่จะสร้างปรากฏการณ์ระดับนี้ได้?
…..
ที่ศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง
“ท่านแม่ วางใจเถอะ ฉันจะดูแลตัวเอง จะไม่ทำอะไรหุนหันพลันแล่น” สาวน้อยที่มีผิวพรรณเรียบเนียนราวกับประติมากรรมน้ำแข็งยิ้มหวานให้ความมั่นใจกับหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง
เธอคือหัวหน้าศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง, จ้าวหย่า
หญิงวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าคืออดีตหัวหน้าศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง, ท่านแม่ของเธอเอง
ในครั้งนั้น หลังจากที่ความขัดแย้งระหว่างท่านอาจารย์ของเธอกับกลุ่มอำนาจอื่นๆในสมาพันธ์นานาจักรวรรดิได้รับการคลี่คลายไปจ้าวหย่าก็รีบกลับมายังศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็งเพื่อปลดปล่อยท่านแม่ของเธอ จากนั้นก็พาท่านแม่กลับอาณาจักรเทียนเซวียนเพื่อให้พบกันกับท่านพ่ออีกครั้ง ก่อนจะพาทั้งคู่กลับมายังศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง
“ลูกเอาแต่ปลีกวิเวกเพื่อฝึกฝนวรยุทธ ไม่ยอมกินหรือดื่มอะไรเลย…” ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาขณะส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย“พ่อกับท่านแม่ของลูกเกรงว่าลูกจะบีบบังคับตัวเองมากเกินไป!”
เขาคือท่านพ่อของจ้าวหย่า, ขุนนางของเมืองไป๋หยูแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน, จ้าวเฟิง!
หลังจากปรมาจารย์จางหายตัวไป ลูกสาวของเขาก็ออกตระเวนไปทั่วโลกเพื่อพยายามตามหาอีกฝ่าย แต่เวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้วก็ยังไม่พบจางเซวียน จึงตัดสินใจกลับมายังศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง
แต่ทันทีที่กลับมาถึง จ้าวหย่าก็ทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกฝนวรยุทธไม่เป็นอันกินอันนอน…ช่างเจ็บปวดหัวใจที่ได้เห็นลูกสาวของเขาใช้ชีวิตแบบนี้
แม้จ้าวหย่าจะสำเร็จวรยุทธเหนือชั้นกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการถึง แต่ความหุนหันพลันแล่นของเธอก็นำพาเธอเข้าสู่อันตรายไปพร้อมๆกับการยกระดับวรยุทธ ทั้งสองรู้สึกว่าสุดท้ายจ้าวหย่าอาจเป็นอันตรายเพราะสิ่งนี้
“ฉันไม่เป็นไร แค่อยากให้ท่านอาจารย์ภาคภูมิใจเมื่อเขากลับมาไม่อยากให้เขาผิดหวังในตัวฉัน” จ้าวหย่าตอบยิ้มๆ
ความทรงจำระหว่างตัวเธอกับท่านอาจารย์ร้อยเรียงกันเข้ามาในหัวสมอง เติมเต็มความแข็งแกร่งให้เธออีกครั้ง จ้าวหย่ากำลังจะปลอบโยนท่านพ่อท่านแม่ของเธอก่อนจะกลับไปฝึกฝนวรยุทธต่อก็พอดีกับที่ต้องเลิกคิ้ว
เธอเงยหน้ามอง เห็นท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปถูกปกคลุมด้วยเมฆดำกลุ่มใหญ่ มันกำลังเคลื่อนตัวเข้าหาศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง