ครู่ต่อมา ผู้อาวุโสอี้ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับขวดหยกใบหนึ่ง เขาเปิดจุกขวดหยก แล้วกลิ่นหอมของสมุนไพรก็อบอวลไปทั่ว
มันคือยาเม็ดฟื้นฟูสภาพร่างกายเกรด 8
จางเซวียนรับยามาเม็ดหนึ่งและกลืนลงไปโดยไม่รีรอ แต่ครู่ต่อมาก็ถอนหายใจเฮือก “ผมเกรงว่ายาเม็ดที่คุณมอบให้คงมีประโยชน์กับผมไม่มาก…”
ถึงสภาพของจางเซวียนตอนนี้จะดูเหมือนไร้พลังอย่างสิ้นเชิง แต่เขาก็ยังคงเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ ยาเม็ดฟื้นฟูสภาพร่างกายเกรด 8 อาจเป็นทรัพยากรล้ำค่าในการเยียวยาบาดแผลทุกประเภทสำหรับนักรบระดับเซียนขั้น 6 แต่ไม่ทำให้ร่างกายของจางเซวียนสะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย
“มีประโยชน์กับคุณไม่มาก?” ตั้นเฉี่ยวเทียนรีบสั่งการให้ผู้อาวุโสอี้นำยาเม็ดฟื้นฟูสภาพร่างกาย ชนิดดีที่สุดที่พวกเขามีออกมา แต่ก็ไม่มีขนานไหนที่ดูจะใช้ได้ผล
“ในเมืองนี้มีตลาดใหญ่ๆที่ผมจะซื้อหายาเม็ดฟื้นฟูสภาพร่างกายหรือยาสมุนไพรได้บ้างไหม?” จางเซวียนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“มีตลาดอยู่แห่งหนึ่ง แต่สมุนไพรและยาเม็ดที่วางขายที่นั่นไม่ได้อยู่ในระดับสูงนัก ยาเม็ดที่เรามี ถือว่าดีที่สุดในท้องตลาดแล้ว…” ตั้นเฉี่ยวเทียนเกาหัว
ในเมื่อแม้แต่ยาพวกนี้ยังไม่มีประโยชน์กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ต่อให้ซื้อหามาอีกก็คงช่วยอะไรไม่ได้
“มีวิธีไหนที่พอจะทำให้ได้ยาเม็ดขั้นสูงกว่านี้มาไหม?” จางเซวียนถามอีก
ตราบใดที่อาการบาดเจ็บของเขายังไม่ทุเลา ก็ไม่มีทางรักษาตั้นเฉี่ยวเทียน ในเวลานี้ ตั้นเฉี่ยวเทียนกับผู้อาวุโสอี้อยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงมาก อย่าว่าแต่มีชีวิตรอดในอีก 3 วันข้างหน้าเลย ยังน่าสงสัยว่าพวกเขาจะผ่านพ้นคืนนี้ไปได้หรือเปล่า!
ตั้นเฉี่ยวเทียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง “นักรบส่วนใหญ่ซื้อหายาเม็ดขั้นสูงกว่านี้โดยใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล ถ้าการซื้อขายเป็นผลสำเร็จ ของเหล่านั้นจะถูกส่งมาโดยเร็ว”
“ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล?” ได้ยินชื่อที่คุ้นหู จางเซวียนพยักหน้า “แล้วผมจะได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมาด้วยวิธีไหน?”
นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่เขาได้ยินเรื่องของล้ำค่าชิ้นนี้นับตั้งแต่มาถึงมิติเบื้องบน
ดูเหมือนเหล่าชนชั้นนำของมิติเบื้องบนจะเกี่ยวข้องกับของล้ำค่าชิ้นนี้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นการได้มาซึ่งเทคนิควรยุทธหรือยาเม็ดขั้นสูง ก็ล้วนแต่ต้องใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล เท่าที่เห็น หากไม่มีตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล พวกเขาก็แทบไปไหนหรือทำอะไรไม่ได้เลย
สิ่งที่จางเซวียนต้องการก็คือยาเม็ดที่เกรดสูงพอจะยื้ออาการบาดเจ็บของเขาไว้ได้สักระยะหนึ่ง ให้เขามีโอกาสได้ซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทจากสภาพแวดล้อมและแปรสภาพมันให้กลายเป็นพลังปราณเทียบฟ้า ซึ่งหากทำได้ ทุกปัญหาก็จะคลี่คลาย เขาจะกำจัดหนอนกู้ออกจากร่างของตั้นเฉี่ยวเทียนและถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบให้อีกฝ่ายได้ เป็นการช่วยชีวิตชายหนุ่มจากวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่
“เมืองที่เราอาศัยอยู่นี้เล็กเกินไป ไม่มีหอนิรันดร์อยู่ที่นี่ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีพ่อค้าคนไหนขายตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล” ตั้นเฉี่ยวเทียนขมวดคิ้ว
“ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือ?” จางเซวียนถาม
“ในเมืองของเรา การจะได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมานั้นมีวิธีเดียว” ตั้นเฉี่ยวเทียนพูด “แต่มันยากมาก จะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลยก็ไม่ผิด!”
“เมื่อครั้งที่ตลาดหงเหยียนก่อตั้งขึ้นใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาจับจ่าย เจ้าของตลาดจึงเขียนคำถามยากๆที่แตกต่างกันไป 10 ข้อ แล้วตั้งรางวัลให้แต่ละคำถาม หากใครตอบได้ก็จะได้รับรางวัลตามนั้น สิ่งนี้ดึงดูดผู้คนมากมายให้แวะเวียนมาที่ตลาดหงเหยียน และคำถามก็ถูกตอบไปแล้ว 9 ข้อ”
“รางวัลของคำถามข้อสุดท้ายคือตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล ผู้คนมากมายอยากได้จนแทบขาดใจ แต่ด้วยความยากของคำถาม ก็ยังไม่มีใครตอบได้จนถึงทุกวันนี้”
“พาผมไปที่นั่นที!” จางเซวียนพูด
ต่อให้มีพ่อค้าที่ขายตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล เขาก็ไม่มีเงินซื้อ แน่นอนว่าด้วยสติปัญญาที่มี เขาคงหาเงินได้ไม่ยาก แต่นั่นอาจก่อให้เกิดปัญหาไม่น้อย ดังนั้นจึงดีที่สุดถ้าจะได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจากการตอบคำถาม
ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่น จึงพยักหน้ารับ
เพราะอาการบาดเจ็บของจางเซวียนยังสาหัสและสร้างความบอบช้ำใหญ่หลวงให้กับร่างกายของเขา ทั้งคู่จึงเดินทางไปตลาดหงเหยียนโดยใช้เกี้ยว
ราว 2 ชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็มาถึงตลาดขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ตั้นเฉี่ยวเทียนลงจากเกี้ยวก่อนจะพยุงจางเซวียนอย่างระมัดระวัง ทั้งคู่มุ่งหน้าไปยังกำแพงที่มีคำถามทั้ง 10 ข้อจารึกไว้
เพราะเป็นสถานที่ที่ดึงดูดใจเหล่านักท่องเที่ยว จึงมีผู้คนมากมายอยู่ในบริเวณนั้น
ความเป็นไปได้ที่จะได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลฟรีๆเป็นความเย้ายวนใจครั้งใหญ่ จึงพอเข้าใจได้ที่มีผู้คนมากมายอยากลอง
“เฮ้อ…ผิดอีกแล้ว…”
“2 เดือนที่ผ่านมานี่ คุณมาที่นี่สิบครั้งแล้วนะ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ทำไมถึงยอมขายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า?”
“ก็แล้วอย่างไรล่ะ? ผมไม่ได้ทำให้คุณขายหน้าสักหน่อย อีกอย่าง คุณมาที่นี่บ่อยกว่าผมเสียอีก!”
“ถ้าการตอบคำถามข้อนี้มันง่ายแบบนั้น มันคงไม่เป็นปริศนาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้หรอก…”
…..
ผู้คนเริ่มบางตาหลังจากตอบคำถามผิดคนแล้วคนเล่า
ระบบการตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบนั้นคล้ายคลึงกับกำแพงคาใจที่จางเซวียนเคยเจอมาก่อน ทุกคำตอบจะถูกประเมินทันทีว่าถูกต้องหรือไม่ ทำให้ดึงดูดผู้คนจำนวนมากในแต่ละวัน เพราะทุกคนมีความหวังว่าจะดวงดีและตอบถูก
ระหว่างทาง จางเซวียนได้รู้จากการพูดคุยกับตั้นเฉี่ยวเทียนว่าตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมีค่ามากขนาดไหน แต่ละอันล้ำค่าถึงขนาดที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับนักปราชญ์โบราณก็ยังใช้เงินซื้อหามาได้ยาก
เท่าที่ฟังจากคำบอกเล่าของตั้นเฉี่ยวเทียน ดูเหมือนต่อให้ตัวเขาเองเทแหวนเก็บสมบัติและขายข้าวของทุกอย่าง ก็ยังซื้อหามาสักอันหนึ่งไม่ได้
ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็ได้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมิติเบื้องบนมากขึ้น
ผู้ที่อาศัยอยู่ในมิติเบื้องบนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท สภาวะร่างกายของพวกเขาจึงแข็งแกร่งมาก เหนือชั้นกว่าแม้แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจที่อาศัยอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์
ผู้คนส่วนใหญ่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 1 ตั้งแต่เกิด และจะเพิ่มสูงขึ้นจนเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 เมื่อเป็นผู้ใหญ่
สำหรับคนอย่างตั้นเฉี่ยวเทียนที่เป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 6 ทั้งที่ใกล้จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถือเป็นคนอ่อนแอที่ไม่มีอนาคต
ยกตัวอย่างเฉว่ชิง, คู่หมั้นของเขา แม้จะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ก็เป็นถึงนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 โลกจารึก ทำให้เธอเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของเมือง
เมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่, ชวนเจียง ไม่ใช่เมืองใหญ่โตนัก อยู่ในระดับที่นักรบขั้นนักปราชญ์โบราณถือเป็นผู้ทรงพลังที่สุด สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งก็คือเมืองนี้อยู่ใต้อาณัติของสำนักดาบเมฆเหิน จึงอธิบายได้ว่าทำไมพวกเขาถึงมาเปิดรับศิษย์สายตรงที่นี่
เจ้าเมืองชวนเจียง, เฉว่เหยา ซึ่งเป็นท่านพ่อของเฉว่ชิง ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ของเมืองนี้ วรยุทธของเขาอยู่ในระดับเดียวกับจางเซวียน คือผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้น
เพราะฉะนั้น ทันทีที่จางเซวียนเรียกพละกำลังกลับคืนมาได้ ก็จะไม่มีใครในเมืองนี้สามารถทำอันตรายเขาได้อีก ด้วยเหตุนี้ การเรียกคืนการเรียกพละกำลังกลับคืนมาจึงถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง
จางเซวียนสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปและเงยหน้าขึ้นพิจารณากำแพงที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก
“ขอดูหน่อยเถอะว่าปัญหาแบบไหนที่ทำให้ผู้คนมากมายจนปัญญา ถึงขนาดที่ผ่านไปหลายปีแล้วก็ยังไม่มีใครตอบได้…ถ้ายาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางถูกหลอมจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ พลังหยางในยานั้นจะรุนแรงเสียจนนักรบที่กินมันเข้าไปไม่อาจควบคุมมันได้…”
ไม่ช้าจางเซวียนก็อ่านคำถามนั้นจบ
คำถามนั้นไม่ได้ซับซ้อนเท่าไหร่ ใจความสำคัญของมันอยู่ที่ยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางและอานุภาพที่เกิดจากกระบวนการหลอม
ยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางคือหนึ่งในทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่จำเป็นต่อบรรดานักรบที่ฝึกฝนเทคนิควรยุทธซึ่งมีองค์ประกอบของพลังหยาง มันจะเติมเต็มพลังชีวิตและผลักดันให้พวกเขายกระดับวรยุทธได้
สูตรของยาเม็ดชนิดนี้เป็นผลงานของนักปรุงยาผู้ปราดเปรื่องคนหนึ่ง ใช้การประสานคุณสมบัติทางยาของสมุนไพรมากมายที่ส่งผลให้เกิดอานุภาพรุนแรงภายในยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยาง แต่ยาเม็ดก็มีข้อบกพร่องข้อใหญ่
หลังจากกินยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางเข้าไป ด้วยการก่อตัวครั้งใหญ่ของพลังหยาง นักรบที่กินมันเข้าไปจะต้องหาทางระบาย ‘ความรุ่มร้อน’ ของพวกเขา ซึ่งเมื่อระบายความรุ่มร้อนออกไปแล้ว จะส่งผลให้เกิดภาวะพร่องพลังหยางซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรมาก
นี่คือปัญหาที่นักปรุงยามากมายพยายามหาวิธีแก้ไข แต่ยังคงเป็นปริศนาอยู่ การปรับปรุงสูตรยาเม็ดที่มีอานุภาพรุนแรงไม่ใช่งานง่าย เพราะเหตุนี้ จึงไม่มีใครทำสำเร็จแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานหลายปี
“ยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยาง?”
หลังจากอ่านคำถาม จางเซวียนส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความงุนงง
ทวีปแห่งปรมาจารย์มียาเม็ดทุกชนิด และตัวเขาก็มีความรู้ความเข้าใจในยาเม็ดมากมายนับชนิดไม่ถ้วนจากหนังสือที่ได้อ่าน แต่ก็ไม่เคยได้ยินชื่อยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางมาก่อน
โชคดีที่ดูเหมือนผู้คนทั่วไปจะไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องยาเม็ดชนิดนี้มากนัก ผู้ตั้งคำถามจึงระบุรายละเอียดของสูตรยาและกรรมวิธีการหลอมมันเอาไว้ด้วย
จางเซวียนนำรายละเอียดเหล่านั้นเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าและประมวลหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา
“เข้าใจล่ะ เข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้า
สมุนไพรที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์กับมิติเบื้องบนนั้นแตกต่างกันมาก สูตรยาและกรรมวิธีการหลอมยาจึงมีความหลากหลาย โชคดีที่หอสมุดเทียบฟ้ายังคงทำงานได้อย่างไร้ที่ติ แค่มองแวบเดียว ข้อบกพร่องและความผิดพลาดทั้งหมดในการผสมยาและกระบวนการหลอมยาก็ปรากฏชัดเจน
ตั้นเฉี่ยวเทียนเห็นรอยยิ้มของจางเซวียน เขาอดถามไม่ได้ “ท่านอาจารย์ คุณรู้วิธีแก้ปัญหาแล้วหรือ?”
เขาเองก็ขบคิดปัญหานี้มาแล้วระยะหนึ่ง แต่ไม่ได้ผล หรือว่าท่านอาจารย์ของเขาจะรู้คำตอบด้วยการมองเพียงแวบเดียว?
“ผมคิดออกแล้ว” จางเซวียนยืนยัน
ตั้นเฉี่ยวเทียนตาโตด้วยความตกใจ เขาละล่ำละลัก “ถ้าอย่างนั้น…วิธีแก้ไขปัญหานี้คืออะไร?”
“ถ้าเรามองด้านเดียว วิธีแก้ก็ไม่ได้ยุ่งยากนัก ในสูตรการหลอมยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางมีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ชื่อหญ้าไฟนรก ปัญหาจะคลี่คลายได้ด้วยการนำสมุนไพรที่ชื่อหญ้าวิญญาณมารดามาใช้แทนหญ้าไฟนรก!” จางเซวียนกระซิบกระซาบ
“หญ้าวิญญาณมารดา…มันเป็นสมุนไพรที่มีองค์ประกอบของพลังหยินไม่ใช่หรือ? เราจะหลอมยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางได้อย่างไรถ้าใช้ของแบบนั้น?” ตั้นเฉี่ยวเทียนประหลาดใจกับคำตอบ
สภาพร่างกายที่พิการทำให้เขาได้เรียนรู้เรื่องยาเม็ดและสมุนไพรไม่น้อย หญ้าไฟนรกไม่ใช่สมุนไพร ที่มีอานุภาพรุนแรงที่สุดในสูตรยา แต่มีบทบาทสำคัญในการก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างของยาเม็ดชนิดนี้ เขาไม่คิดว่ายาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางจะก่อตัวขึ้นได้หากนำหญ้าวิญญาณมารดาไปใช้แทน ในทางตรงกันข้าม หญ้าวิญญาณมารดาจะสลายฤทธิ์ของพลังหยาง ทำให้พลังงานทั้งหมดในตัวยาเหือดแห้งไป
“หยินกับหยางเติมเต็มกันและกัน แม้หญ้าวิญญาณมารดาจะเป็นสมุนไพรที่มีองค์ประกอบของพลังหยิน แต่ก็ใช้เป็นตัวกลางในการบ่มเพาะและสมานคุณสมบัติทางยาของส่วนประกอบหลัก, คือใบเพลิงแดงก่ำได้ สิ่งนี้จะช่วยแก้ปัญหาโดยไม่ทำให้พลังงานในยาเสื่อมไป” จางเซวียนอธิบาย
การเติมเต็มซึ่งกันและกันของพลังหยินกับพลังหยางเป็นความรู้ที่รู้กันทั่วไปในทวีปแห่งปรมาจารย์ และเป็นแนวคิดที่มักใช้ในการกำหนดสูตรยา ไม่น่าเชื่อว่าไม่มีใครสักคนในเมืองชวนเจียงที่รู้เรื่องนี้ เท่าที่เห็น ดูเหมือนแม้แต่คนเก่งๆในมิติเบื้องบนก็ยังเทียบกับผู้คนในทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่ได้ในแง่ของการพัฒนาความรู้เรื่องวิชาชีพ
ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แนวคิดของปรมาจารย์ขงถูกถ่ายทอดต่อๆกันมาหลายหมื่นปี ซึ่งส่งเสริมการแบ่งปันความรู้และการพัฒนาภูมิปัญญาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เห็นได้ชัดว่ามิติเบื้องบนอ่อนด้อยกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์มากในเรื่องนี้
ตั้นเฉี่ยวเทียนถึงกับงงงัน
เขากำลังจะซักถามต่อ ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงซุบซิบพูดคุยอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็เห็นผู้คนที่อยู่รอบๆกำแพงเปิดทางให้คนกลุ่มหนึ่ง
“พวกเขาเป็นใครน่ะ ดูจะสูงส่งเหลือเกิน!” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่อยู่ในหมู่ฝูงชนถามขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ชู่ววว! อย่าพูดพล่อยๆน่ะ นั่นคือเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากสำนักดาบเมฆเหินที่มาเปิดรับศิษย์สายตรงที่นี่ คุณเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงกลางไหม? ว่ากันว่าเขามีความรู้ลึกซึ้งเรื่องการหลอมยา…”
“พวกเขาคือเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากสำนักดาบเมฆเหิน?” ชายวัยกลางคนหน้าซีดอย่างพรั่นพรึง
เขารีบหลบไปเพื่อเปิดทางให้ทั้งกลุ่มเข้ามา
สำนักดาบเมฆเหินมีเกียรติสูงส่งในเมืองชวนเจียง ไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจของพวกเขา