ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็พิจารณาทั้งกลุ่มอย่างถี่ถ้วน
ผู้ที่ยืนอยู่แถวหน้าคือชายหนุ่มที่มีสีหน้าเย็นชา น่าจะอายุราว 20 กลางๆ เขาสวมเสื้อคลุมสีเทา มีดาบเหน็บเอว นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายเยือกเย็นและมีเหตุมีผล บ่งบอกถึงความเป็นคนชนิดที่จะไม่มีวันปล่อยให้ความรู้สึกเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจใดๆของตัวเอง
แม้จะอายุยังน้อย แต่ระดับวรยุทธของชายหนุ่มก็ถือว่าน่าประทับใจ เขาเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติ
ในทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่มีผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ แต่ดูเหมือนที่นี่จะหาพบได้ไม่ยาก…มิติเบื้องบนช่างเป็นสถานที่ที่น่าสะพรึงเสียจริง!
“เธอ…”
ขณะที่จางเซวียนกำลังประเมินชายหนุ่ม ก็เห็นตั้นเฉี่ยวเทียนตัวแข็งขึ้นมาเมื่อเห็นคนกลุ่มนั้น จางเซวียนมองไป เห็นอีกฝ่ายกำหมัดแน่น เมื่อมองตามสายตาของตั้นเฉี่ยวเทียน ก็เห็นเฉว่ชิง, สาวน้อยที่เพิ่งปฏิเสธการแต่งงานกับตั้นเฉี่ยวเทียนเดินตามหลังชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีเทาคนนั้น
เฉว่ชิงสวมชุดรัดรูปสีม่วงที่ขับเน้นเรือนร่างงดงามของเธอ เผยให้เห็นลำคอระหงขาวผ่อง เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แผ่รังสีของความสง่างามและภาคภูมิใจออกมา
การที่เธอได้รับอนุญาตให้ติดตามเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสำนักดาบเมฆเหินก็มากเกินพอที่จะบ่งบอกแล้วว่าเธอได้การยอมรับให้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักนี้ และสำหรับเมืองเล็กๆอย่างชวนเจียง…เรียกได้ว่าเป็นวีรกรรมน่าทึ่ง
“ปัญหาแค่นี้ทำให้พวกคุณงงงันกันแสนนานหรือ?” ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีเทาตั้งข้อสังเกตขณะอ่านคำถามที่อยู่บนกำแพงอย่างรวดเร็ว เขาร้องเรียกชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ด้านหลัง “เขียนคำตอบให้ผมด้วย เปลี่ยนจากการใช้หญ้าไฟนรกไปเป็นหญ้าวิญญาณมารดา”
“ขอรับ!”
ชายหนุ่มรีบเดินไปที่กำแพงแล้วเขียนคำตอบลงไป
นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมองเห็นต้นตอของปัญหาได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว แถมยังได้คำตอบเดียวกันกับท่านอาจารย์ของเขา ตั้นเฉี่ยวเทียนตาค้าง เขารีบหันไปพูดกับจางเซวียน “แต่เรารู้คำตอบเป็นคนแรกนะ!”
เขากำลังสงสัยว่าคำตอบของท่านอาจารย์ถูกต้องหรือไม่ ก็พอดีกับที่กลุ่มคนจากสำนักดาบเมฆเหินเข้ามาและให้คำตอบแบบเดียวกัน นั่นหมายความว่าคำตอบของท่านอาจารย์ไม่ผิดพลาด
แต่แล้วก็กลับเป็นพวกสำนักดาบเมฆเหินที่เป็นคนตอบปัญหา นั่นหมายความว่าตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจะตกเป็นของพวกเขา
ขณะที่ตั้นเฉี่ยวเทียนกำลังจะรีบเข้าไป ก็รู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งยึดข้อมือของเขาไว้แน่น เป็นท่านอาจารย์ของเขาเอง
“อย่าวุ่นวายน่ะ สายไปแล้ว…”
ตั้นเฉี่ยวเทียนหันไปมอง และเห็นว่าชายหนุ่มจากสำนักดาบเมฆเหินเขียนคำตอบลงไปบนกำแพงเรียบร้อยแล้วก่อนจะทาบฝ่ามือลงไปบนนั้นเบาๆ
วิ้ง!
แสงสีแดงเจิดจ้าสว่างวาบจากผิวหน้าของกำแพงนั้น
“เป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือ?”
“สมกับที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากสำนักดาบเมฆเหิน เขาแก้ปัญหาได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว!”
ผมได้ยินมานานแล้วว่าเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสำนักดาบเมฆเหินคือสุดยอดของโลกใบนี้ ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขาไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย…”
“จำนวนศิษย์สายตรงที่สำนักดาบเมฆเหินรับในแต่ละครั้งก็มีจำกัดมาก ผมยังสงสัยว่าคราวนี้จะมีผู้ผ่านเกณฑ์สักกี่คน ถึงจะเป็นแค่ศิษย์สายตรงระดับล่าง แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ของโอกาสที่จะได้ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ…”
“ผมพนันว่าคงมีแค่ 3 คนเท่านั้นแหละ ปกติก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้วนี่!”
…..
ฝูงชนส่งเสียงดังเซ็งแซ่
ขนาดคำถามที่ทำให้ผู้คนในเมืองชวนเจียงงงงันมากว่า 10 ปีก็ถูกกลุ่มคนจากสำนักดาบเมฆเหินแก้ไขอย่างง่ายดาย พวกเขาไม่ธรรมดาจริงๆ
“นายน้อย ผมขอแสดงความยินดีที่คุณแก้ปัญหาข้อสุดท้ายของตลาดหงเหยียนได้ นี่คือของรางวัลที่ทางเราเตรียมไว้ให้!”
ไม่ช้า ชายวัยกลางคนร่างท้วมคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มประจบประแจง เขาใช้สองมือประคองหีบไม้ที่เปิดอ้า ที่อยู่ใจกลางหีบนั้นคือตราสัญลักษณ์ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ
ตราสัญลักษณ์มีตัวอักษรจารึกไว้แน่นขนัด ผู้พบเห็นจะรู้สึกได้ถึงกระแสของพลังจิตวิญญาณที่แผ่ออกมา
“นั่นคือตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลหรือ?”
“ผมได้ยินมาว่าอันหนึ่งก็มีราคา 100,000 เหรียญนิรันดร์แล้ว?”
“ว้าว ทั้งชีวิตของผมก็คงไม่มีปัญญาได้มันมาหรอก…”
…..
พวกเขาอาจเป็นนักรบที่เติบโตขึ้นในมิติเบื้องบน แต่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลคือสิ่งที่มีแต่ชนชั้นนำของมิติเบื้องบนเท่านั้นที่จะมีโอกาสครอบครอง ซึ่งก็มีอยู่เพียงหยิบมือในเมืองชวนเจียง ผู้คนส่วนใหญ่จึงไม่เคยเห็นมันมาก่อน
ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีเทาใช้สองนิ้วคีบตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไว้และถ่ายทอดพลังปราณของเขาเข้าไป ซึ่งหลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นของแท้ ก็พยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะยื่นให้เฉว่ชิง
“ผมให้คุณ”
เฉว่ชิงตาโตด้วยความดีใจขณะรับตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไว้ เธอหายใจถี่กระชั้นอย่างตื่นเต้น
ไม่ใช่แค่มูลค่าของมันที่ทำให้เธอตื่นเต้นดีใจ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือความหมายที่อยู่เบื้องหลังของกำนัลชิ้นนี้
การที่เธอได้เป็นศิษย์สายตรงระดับล่างของสำนักดาบเมฆเหินก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว แถมยังได้รับของกำนัลจากมือของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า…ด้วยสิ่งนี้ เธอจะเป็นที่อิจฉาตาร้อนของคนทั้งเมือง!
เฉว่ชิงกำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไว้แน่น เธอโค้งคำนับขณะพูดว่า “ขอบคุณ, ศิษย์พี่!”
หลังจากกล่าวคำขอบคุณแล้ว เธอก็เห็นว่าตั้นเฉี่ยวเทียนอยู่ในหมู่ฝูงชน นัยน์ตาของเธอเปล่งประกายคมปลาบออกมาแวบหนึ่ง เธอรีบเดินตรงมาหาตั้นเฉี่ยวเทียน จากนั้นก็พูดเบาๆพร้อมกับยิ้มเยาะ “คุณก็อยู่ที่นี่หรือ? พยายามจะคว้าตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเพื่อพลิกผันสถานการณ์ของตัวเองหรือไง? น่าเสียดายนะที่มันเป็นของฉันแล้ว! คุณควรจะเจียมตัวเสียบ้าง คิดว่าคนอย่างตัวเองคู่ควรจะได้ครอบครองตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลหรือ? ปัญญานิ่ม!”
ก่อนหน้านี้ เธอยังหวั่นเกรงว่าการปฏิเสธการแต่งงานจะกระทบชื่อเสียงของเธอ แต่เมื่อมีศิษย์พี่จากสำนักดาบเมฆเหินคอยดูแลเธอแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวอีก
ตั้นเฉี่ยวเทียนจะทำอะไรได้? เธอกับเขาอยู่กันคนละโลก มีอะไรต้องกลัว?
แน่นอนว่าในพื้นที่นี้เต็มไปด้วยคนของสำนักเจ้าเมือง จึงไม่มีใครกล้าแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่แม้แต่บรรดานักรบพเนจรที่แวะมาแสวงโชค เพราะพวกเขายังรักตัวกลัวตายอยู่
อีกอย่าง เธอก็ไม่ได้พูดดังนัก จึงยากที่จะฟังออกว่าเธอกำลังพูดอะไร
“คุณ…” ตั้นเฉี่ยวเทียนตัวแข็งเมื่อถูกหยามหน้าอีกครั้ง
“เขาเป็นใครน่ะ?” ชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีเทาตั้งคำถาม
“ก็แค่สหายคนหนึ่งที่ฉันเคยพบ…” เฉว่ชิงพ่นลมใส่ตั้นเฉี่ยวเทียนก่อนจะหันกลับมามองหน้าชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีเทา เปลี่ยนรอยยิ้มเยาะเย้ยของเธอกลายเป็นยิ้มหวานในชั่วพริบตา
“ไปกันเถอะ!” ชายหนุ่มด้วยเสื้อคลุมสีเทาพูดก่อนจะเดินจากไป
เฉว่ชิงรีบตามไปติดๆ
ตั้นเฉี่ยวเทียนตัวสั่นก่อนจะก้มหน้าและมองจางเซวียนด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย “ท่านอาจารย์ ผมขอโทษ…”
ท่านอาจารย์ของเขาบอกคำตอบที่ถูกต้องแล้ว แต่เขามัวสงสัย ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอาจารย์ต้องเสียเวลาอธิบาย ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลก็คงตกเป็นของพวกเขาแล้ว
“ได้รับของกำนัลล้ำค่าขนาดนั้นจากศิษย์พี่…ดูเหมือนคู่หมั้นของคุณคงไม่ได้ตำแหน่งศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินมาด้วยวิธีการธรรมดาสามัญหรอกนะ” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตก่อนจะหันไปมองตั้นเฉี่ยวเทียนและยิ้มออกมา
“คุณอยากเอาคืนไหม?”
“เอาคืน?” ตั้นเฉี่ยวเทียนผงะ
เฉว่ชิงมีเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสำนักดาบเมฆเหินอยู่ข้างกาย พวกเขาจะเอาคืนได้อย่างไร?
“ดูให้ดีนะ!”
จางเซวียนไม่อธิบาย เขาเดินออกไปแล้วตะโกน “สหายจากสำนักดาบเมฆเหินที่อยู่ตรงนั้นน่ะ ผมขอให้คุณหยุดสักครู่ได้ไหม?”
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทายังคงเดินต่อราวกับไม่ได้ยินเสียงของจางเซวียน
จางเซวียนเหยียดริมฝีปากขณะพูดต่อ “สหาย คำตอบที่คุณเขียนลงไปน่ะไม่ถูกต้อง ผมไม่คิดว่ามันยุติธรรมที่คุณนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไปแบบนั้น!”
เสียงของจางเซวียนดังลั่น กลบทุกสรรพเสียงที่อยู่โดยรอบ ทุกคนหันขวับมามองเขาอย่างงงงัน
อีกฝ่ายเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญของสำนักดาบเมฆเหิน หมอนี่กล้าประกาศปาวๆว่าเขาทำพลาด…
คุณอยากตายเต็มทีหรือไง?
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาหยุดกึกและหันขวับมามองจางเซวียนพร้อมกับย่นหน้าผาก
เฉว่ชิงคำรามด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ตั้นเฉี่ยวเทียน ถ้าไม่อยากตาย บอกลูกน้องของคุณให้หุบปากซะ!”
เธอจำได้ว่าเจ้ามัมมี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายที่เข้ามาวุ่นวายเมื่อตอนอยู่ที่ตระกูลตั้น แค่เธอไม่ใช้กำลังทำอะไรรุนแรงก็ถือว่าปรานีมากแล้ว ใครจะคิดว่าหมอนี่จะยังกล้าพูดจาเหลวไหลอีก?
“ขะ-เขาไม่ใช่ลูกน้องของผม เขาเป็นอะ-อาจารย์ของผมเอง!”
เมื่อเกิดความร้อนรน ตั้นเฉี่ยวเทียนติดอ่างขึ้นมาอีกครั้ง
“อาจารย์? ถึงอย่างไร ครั้งหนึ่งตระกูลตั้นก็เคยเป็นผู้ไร้เทียมทาน คุณตกต่ำถึงขนาดรับคนอ่อนแออย่างนี้มาเป็นอาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่?” เฉว่ชิงตั้งข้อสังเกตและเย้ยหยัน
“ผมไม่คิดว่ามันเป็นกงการอะไรของคุณว่าตั้นเฉี่ยวเทียนจะรับใครเป็นอาจารย์ เว้นเสียแต่ว่า…คุณยังใฝ่ฝันอยากเป็นคู่หมั้นของเขาอยู่” จางเซวียนตอบหน้านิ่ง
“คุณ…” เฉว่ชิงตัวแข็งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
เห็นทีท่าของเฉว่ชิง นัยน์ตาของชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาเป็นประกายเย็นวาบ เขาจ้องมัมมี่ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา “คุณพูดว่าคำตอบของผมไม่ถูกต้องหรือ?”
“ใช่” จางเซวียนตอบ “เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมไม่ได้กุเรื่อง ผมกล้าเดิมพันกับคุณ ผู้แพ้จะต้องยอมทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย!”
“คุณกล้ามากนะที่พูดกับผมแบบนี้” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาตั้งข้อสังเกตขณะมองจางเซวียนด้วยสีหน้าเรียบเฉย “บอกผมมาสิ อะไรคือสิ่งที่ชี้ชัดว่าผมทำพลาด”
“ไม่จำเป็นหรอก การแก้ปัญหาทำได้ง่ายกว่านั้นมากโดยที่เราสองคนไม่ต้องพูดอะไร ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือหานักปรุงยามาหลอมยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางตามแบบของคำตอบที่คุณเขียนไว้ แล้วให้ใครสักคนกินเข้าไป เมื่อเห็นแล้วคุณจะเข้าใจทันที” จางเซวียนพูด
“คุณอยากทดสอบผลลัพธ์ในทางปฏิบัติของวิธีแก้ปัญหาที่ผมตอบไป?” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาขมวดคิ้ว
ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในสมองของเขาคือปฏิเสธข้อเสนอของจางเซวียน เพราะรู้สึกว่ามันยุ่งยากเกินไป แต่เมื่อกวาดสายตามองฝูงชน ก็เห็นสีหน้าข้องใจของคนเหล่านั้น
ด้วยเหตุนี้ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาก็ยกมือแล้วพูดว่า “พานักปรุงยามา!”
ชายหนุ่มที่ติดตามเขารีบผละไป ไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับชายวัยกลางคนร่างท้วมที่เป็นผู้นำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมามอบให้เมื่อครู่ก่อนและนักปรุงยาอีก 2 คน
ชายวัยกลางคนร่างท้วมดีดนิ้ว แล้วกองทัพผู้ช่วยของเขาก็รีบเข้ามาจัดเตรียมโต๊ะตัวหนึ่งที่เต็มไปด้วยสมุนไพรพร้อมกับหม้อหลอมยาอีก 2 ใบ