“นั่นคือจอมหลบหลีก!”
ผู้ชมอุทานด้วยความตื่นเต้น
“กระบวนท่าจอมหลบหลีกมาจากความสามารถในการหลบเลี่ยงการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้โดยเฉียดไปเส้นยาแดงผ่าแปดทุกครั้ง สิ่งนี้ทำให้นักรบประหยัดพลังงานได้มาก ส่งผลให้ถือไพ่เหนือกว่าในการตอบโต้ แต่แน่นอนว่ามันคือดาบสองคม เพราะหากพลาดเพียงนิดเดียวก็หมายถึงจบเห่ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าโลกจะใช้ทักษะระดับสูงขนาดนี้ได้…”
“เขาคงต้องฝึกฝนหลายสิบปีใช่ไหม?”
“ต่อให้ใช้เวลาหลายสิบปีก็ยังจัดว่าน่าทึ่ง!”
“ผมมีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่มุ่งมั่นอยากฝึกฝนทักษะจอมหลบหลีกให้เชี่ยวชาญ เขาใช้เวลาฝึกถึงสามสิบปี แต่ก็ยังไม่กล้านำมาใช้ในการต่อสู้จริง กระบวนท่านี้ไม่ได้เป็นการทดสอบเฉพาะความแม่นยำในการควบคุมการเคลื่อนไหวของนักรบผู้นั้น ที่สำคัญกว่าคือการทดสอบสภาวะจิต หากปราศจากความมั่นใจเต็มเปี่ยมในความสามารถของตัวเอง ก็ไม่มีทางที่ผู้นั้นจะกล้าใช้ทักษะการต่อสู้ชนิดนี้”
นักรบมากมายที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนพากันพูดไม่ออก
ในหอนิรันดร์ คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่าสองทักษะนี้คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
จางเซวียนไม่รับรู้ความตกตะลึงของฝูงชนนอกสังเวียน เขายื้อการดวลออกไปอีกราว 10 หมัด ก่อนจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ด้วยการเล่นงานอย่างว่องไว
ขณะรอคู่ต่อสู้คนที่ 3 จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะปลื้มปริ่มกับความสามารถของตัวเอง
มันก็ยากอยู่ แต่เราต้องปกปิดพละกำลังไว้ให้ดี ช่างน่าอึดอัดเหลือเกินที่สำแดงพลังออกไปได้แค่ 1 ใน 20 ของที่มี แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ เราก็จะมีคู่ต่อสู้ไม่พอจนถึงรอบที่ 8…
จางเซวียนถอนหายใจเฮือก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเพื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้คนที่ 3
คู่ต่อสู้คนที่ 3 ของจางเซวียนเป็นสาวน้อยในชุดสีเขียว แต่ก็พ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนคู่ต่อสู้คนที่ 4 คือชายหนุ่มท่าทางเย่อหยิ่งคนหนึ่ง ซึ่งก็รับมือได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่า
เมื่อเห็นว่าควบคุมพละกำลังของตัวเองได้ ไม่ทำให้ผู้ท้าทายคนอื่นๆเกิดความเข็ดขยาดในการเข้าต่อสู้ จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจกับการควบคุมตัวเองของเขา
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ในสายตาของนักรบคนอื่นๆ การได้ประลองกับผู้เชี่ยวชาญระดับจางเซวียนโดยจ่ายเงินเพียง 500 เหรียญนิรันดร์นั้นเป็นโอกาสล้ำค่า จึงไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้มันผ่านไป
พูดได้เลยว่าพวกเขาได้กำไรอย่างงามจากการดวลกับจางเซวียน
ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครตายเพราะการดวล ทุกคนจึงไม่มีอะไรจะเสีย
“ศิษย์พี่ คุณมีความเห็นต่อเจ้าโลกคนนั้นอย่างไร?”
นอกสังเวียนประลอง ชายสองคนยืนพิงเสาขณะชมการถ่ายทอดสดจากจอภาพ ผู้พูดสวมชุดสีเขียวและถือดาบไว้ในมือ แม้จะมีทีท่าเอื่อยเฉื่อย แต่นัยน์ตาของเขาก็สะท้อนเจตจำนงเพลงดาบ ที่บ่งบอกความเก่งกาจของเขาออกมา
‘ศิษย์พี่’ ที่เขากำลังพูดด้วยมีดาบอยู่ในมือเช่นกัน เจตจำนงเพลงดาบที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาเข้มข้นกว่า เห็นได้ชัดว่าเขาคือผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบที่มีทักษะเชี่ยวชาญคนหนึ่ง
ทั้งเมืองชวนเจียงและเมืองแสงดาวอยู่ใต้อาณัติของสำนักดาบเมฆเหิน จึงมีผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบอยู่มากมาย อันที่จริง แม้ในสังเวียนประลอง ผู้เข้าท้าทายหลายคนก็เลือกที่จะใช้ดาบเป็นอาวุธ
“การที่เขาสามารถสลับสับเปลี่ยนระหว่างการสับขาหลอกกับการโจมตีของจริงได้อย่างลื่นไหล อีกทั้งสำแดงกระบวนท่าจอมหลบหลีกได้ด้วย ก็บ่งบอกถึงการควบคุมพละกำลังที่แม่นยำในระดับที่เรียกว่าน่าทึ่ง ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าผมเลย แน่นอนว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง!” ศิษย์พี่พยักหน้ายิ้มๆ “แต่ก็ยังเทียบชั้นกับเหล่าศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินของเราไม่ได้!”
“สองทักษะนั้นคือเงื่อนไขเบื้องต้นที่ผู้จะได้การยอมรับอย่างเป็นทางการให้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักของเราจะต้องผ่าน แม้ศิษย์สายตรงระดับล่างส่วนใหญ่ก็สำแดงทักษะนั้นได้ มีแต่ในดินแดนไกลปืนเที่ยงอย่างที่นี่เท่านั้นแหละที่ผู้คนพากันตื่นตูม เห็นเป็นเรื่องใหญ่!” ศิษย์น้องพูด
“ศิษย์น้องหวงเทา ไปลงชื่อเข้าสู่สังเวียนการประลองที ประกาศให้หมอนั่นรู้ว่าโลกภายนอกยังกว้างไกลกว่านี้มาก” ศิษย์พี่สั่งการ
“วางใจเถอะ! ถ้าผมทำให้เขายอมแพ้ไม่ได้ภายในสามกระบวนท่า ผมจะจ่ายค่าสุราของเราคืนนี้ และฝึกฝนศิลปะเพลงดาบเร่ร่อนโดยเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง” ศิษย์น้องที่ชื่อหวงเทาตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ
“อย่ามัวเสียเวลาทำให้การดวลยืดเยื้อนะ เรายังไม่ได้คัดเลือกศิษย์สายตรงฝ่ายนอกและศิษย์สายตรงระดับล่างเลย เวลาก็เหลือน้อยเต็มที แถมที่เราทำไปยังไม่ต่างอะไรกับการรังแกชาวบ้าน ถ้าผู้อาวุโสลู่รู้เข้า เขาต้องตำหนิเราแน่!”
ในฐานะอัจฉริยะจากสำนักขนาดใหญ่ ถือว่าไม่เหมาะสมที่พวกเขาจะเข้าท้าทายบรรดานักรบมือใหม่ในดินแดนไกลปืนเที่ยง เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกับนักกีฬาทีมชาติที่ลงมาแข่งขันกับสโมสรระดับท้องถิ่น การกระทำแบบนั้นมีแต่จะทำลายชื่อเสียงของพวกเขา
“ผมเข้าใจ!” หวงเทาพยักหน้าขณะเดินไปหาเจ้าหน้าที่สาว
ไม่ช้าเขาก็ได้เป็นคู่ต่อสู้คนที่ 5 ของจางเซวียน
“ดูสถิติชัยชนะของนักดาบมหากาฬสิ!”
“จากการดวล 100 นัด เขาแพ้เพียง 5 นัดเท่านั้น! บ้าไปแล้ว?”
“เป็นสถิติที่น่าทึ่งอะไรอย่างนี้ ดูเหมือนคราวนี้เจ้าโลกจะเจอคู่แข่งที่สมตัวแล้วล่ะ!”
“ในเมื่อเขาถือดาบ การดวลครั้งนี้ก็น่าจะเป็นการดวลดาบ เราเพิ่งเห็นความเชี่ยวชาญของเจ้าโลกเฉพาะด้านการต่อสู้มือเปล่าเท่านั้น ยังไม่เคยเห็นทักษะเพลงดาบของเขาเลย”
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะมีสถิติการดวลที่ผ่านมาปรากฏบนจอภาพ วีรกรรมของนักดาบมหากาฬที่พ่ายแพ้เพียง 5 นัดจาก 100 นัดสร้างเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ในหมู่ฝูงชนทันที
ตอนแรก พวกเขาคาดว่ามันคงเป็นการโจมตีฝ่ายเดียวอย่างนัดก่อนๆ แต่ตอนนี้ความเห็นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย
บางคนเชื่อว่าแม้เจ้าโลกจะมีทักษะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าอันน่าทึ่ง แต่ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเขาจะยังคงทำได้ดีหากมีอาวุธในมือ
ด้วยฉายาของคู่ต่อสู้ของเขา, นักดาบมหากาฬ และสถิติที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน อีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบที่เก่งกาจมาก
“นำอาวุธของคุณออกมา!”
บนสังเวียนประลอง หวงเทาถือดาบของเขาไว้ขณะร้องท้าจางเซวียน
“ได้สิ!”
จางเซวียนสะบัดข้อมือโดยไม่ลังเล แล้วดาบจากรางอาวุธที่อยู่ใกล้ๆก็ลอยเข้าสู่มือของเขา
ดาบที่อยู่ในหอนิรันดร์ไม่มีระดับขั้น พวกมันเป็นแค่อุปกรณ์ที่ใช้สำแดงศิลปะเพลงดาบ บางสิ่งอย่างเช่นอาวุธระดับจิตวิญญาณไม่มีปรากฏที่นี่
“ผมมีทางเลือกให้คุณสองทางก่อนที่ผมจะชักดาบออกมา ถ้าคุณเข้าถึงตัวผมไม่ได้ ผมจะทำให้คุณพ่ายแพ้ภายในกระบวนท่าเดียว!” หวงเทาพูดอย่างสุขุม
ในฐานะศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน เขามีเกียรติยศศักดิ์ศรีที่ต้องรักษา
“คุณจะยังไม่ชักดาบของคุณออกมา?” จางเซวียนชะงัก เขาย่นหน้าผากและพึมพำ “แต่ถ้าทำแบบนั้น ก็อาจเสียชีวิต…”
“บังอาจ!” หวงเทาตะโกนด้วยสีหน้าบึ้งตึง “สำแดงกระบวนท่าของคุณออกมา ไม่อย่างนั้นจะไม่มีโอกาส!”
“ได้สิ” จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา
เขาชูดาบในมือขึ้นแล้วตวัดมันไปมา ราวกับกำลังพยายามทำความคุ้นเคยกับดาบ จางเซวียนยืนอยู่กับที่ เขากระดิกนิ้ว
ฟึ่บ!
ดาบกระเด็นหลุดจากมือ
ยังไม่ทันจะได้สำแดงกระบวนท่าแรก เขาก็ทำดาบหลุดมือเสียแล้ว
นี่เป็นข้อห้ามอย่างเคร่งครัดในการต่อสู้! เมื่อไรก็ตามที่นักรบสูญเสียอาวุธไประหว่างการดวล ก็จะต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ด้วยมือเปล่า ทำให้อยู่ในภาวะเสียเปรียบ
“ผลีผลามมาก!”
“เจ้าหนุ่มนั่นพยายามจะยอมแพ้หรือ?”
ฝูงชนที่เฝ้าดูการดวลต่างชะงักกับภาพที่เห็น
พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นความเลินเล่อขนาดนี้จากเจ้าโลกที่ดูเหมือนจะเป็นนักรบผู้ทรงพลัง
“ดูนั่น เจ้าโลกหันกลับมาแล้ว!”
“คุณพูดถูก ว่าแต่…เขาทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“หรือเขาพยายามจะยอมแพ้ด้วยวิธีนั้น? ไม่มีเศษเสี้ยวของน้ำใจนักกีฬาอยู่ในตัวเลยหรือ?”
ท่ามกลางเสียงอุทานอย่างประหลาดใจ สถานการณ์ก็ดูจะบานปลายขึ้นเรื่อยๆ
บนเวที ชายหนุ่มที่มีฉายาว่าเจ้าโลกหันกลับมา แล้วชูมือขึ้นหลังจากโยนดาบของเขาออกไป ราวกับกำลังไชโยโห่ฮิ้วกับอะไรสักอย่าง…นี่คือเครื่องหมายของการยอมแพ้? หรือเขาคิดจะถอยหลังจากได้เห็นสถิติอันน่าสะพรึงของนักดาบมหากาฬ?
ปัญหาก็คือ การที่เจ้าโลกจะยอมแพ้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ทำไมถึงชูมือขึ้นราวกับกำลังประกาศชัยชนะ? เขามองว่ามันคือเกียรติยศหรืออะไรทำนองนั้นหรือไง?
หวงเทาที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของเวทีก็ชะงักกับสิ่งที่เห็น
เขาไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้คิดอะไรอยู่ หรืออะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ต่อให้อีกฝ่ายอยากยอมแพ้ ก็ควรจะพูดออกมาให้ชัดเจน แทนที่จะแสดงกิริยาท่าทางคลุมเครือแบบนี้!
ขณะที่กำลังคิดหนัก ศิษย์พี่ของเขาก็ตะโกนออกมาอย่างร้อนใจ “หวงเทา อย่าปล่อยให้การ์ดตก ระวังตัวด้วย!”
คำเตือนนั้นฉุดหวงเทาออกจากภวังค์ เขารีบรวบรวมสมาธิ แต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว ดาบที่อีกฝ่ายโยนออกมาอย่างส่งๆก็เคลื่อนตัวเข้าหาเขาอย่างช้าๆ
การเคลื่อนไหวของดาบดูจะเอื่อยมาก ทำให้รู้สึกเหมือนมันลอยอย่างเงียบเชียบอยู่กลางอากาศ แต่เมื่ออยู่ห่างจากตัวเขาเพียง 3 เมตร ดาบนั้นก็เร่งความเร็วขึ้นมาอย่างปุบปับ มันพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความไวราวกับแสง
หวงเทาชักดาบออกมาเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ก็เจ็บแปลบที่ศีรษะ
พลั่ก!
ร่างของเขาทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ สติสัมปชัญญะหลุดลอยหายวับ ดาบนั้นแทงเข้าที่ศีรษะ ทำให้เขาพบจุดจบ
ฟึ่บ!
ศพของหวงเทาสลายตัวเป็นอากาศธาตุอย่างรวดเร็วก่อนจะหายวับไป เหลือไว้เพียงดาบที่เขาถือไว้เมื่อครู่
การเสียชีวิตในหอนิรันดร์ไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับกายเนื้อตัวจริงของผู้นั้น แต่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่เขาครอบครองจะแตกสลายและทำหน้าที่ของมันไม่ได้อีก ร่างสมมุติและจิตใต้สำนึกที่อยู่ในโลกของหอนิรันดร์ก็จะหายไปด้วย
พูดอีกอย่างก็คือ การเสียชีวิตในหอนิรันดร์ก็ใช่ว่าไม่ได้สูญเสียอะไรเลย
เงียบกริบ
ความเงียบอันน่าสะพรึงครอบงำบริเวณนั้น
ทุกคนจับจ้องที่สังเวียนประลองด้วยอาการอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
พวกเขาคาดหวังจะได้เห็นการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างนักดาบมหากาฬกับเจ้าโลก แต่ก็เหมือนกับการเล่นปาหี่ เจ้าโลกแค่โยนดาบของเขาออกไป จากนั้นนักดาบมหากาฬก็ถูกแทงศีรษะ
นี่มันบ้าบออะไรกัน?
หลังจากความเงียบงันอย่างน่าประหลาด เสียงเชียร์กึกก้องก็ดังขึ้นโดยรอบ
แม้ผู้ชมส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในการดวลที่เพิ่งจบลง แต่ก็เห็นชัดว่าเจ้าโลกคือผู้ชนะ
“เจ้าโลกจงเจริญ! ผมรักคุณมากกว่าทุกสิ่งในโลกนี้!”
“นักดาบมหากาฬสบประมาทคู่ต่อสู้เกินไป เขาปัดป้องการโจมตีอย่างกะทันหันของเจ้าโลกไม่ได้”
“ผมคิดว่านักดาบมหากาฬคือผู้ไร้เทียมทาน ใครจะไปรู้ว่าเขาไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลยด้วยซ้ำ? ถูกดาบแทงแบบนั้น…ไม่มีใครแย่ไปกว่าเขาแล้วล่ะ!”
“ไม่น่าเชื่อว่าเขาเป็นเจ้าของสถิติการได้ชัยชนะถึง 95 เปอร์เซ็นต์…เขาได้สถิตินี้มาด้วยการป่วนระบบ หรือจงใจพ่ายแพ้เพื่อให้พวกเราได้หัวเราะ?”
สำหรับผู้ชมทุกคน ท่วงท่าการโยนดาบที่จางเซวียนแสดงออกไปก่อนหน้านี้ดูแสนจะธรรมดาสามัญ จึงเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่นักดาบมหากาฬถูกกระบวนท่านั้นสังหาร ดังนั้น ในสมองของพวกเขาจึงมีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว นั่นคือนักดาบมหากาฬอ่อนแอเกินไป!