ดูฉือจูเป็นตัวอย่าง เขาใช้เวลา 200 ปีในการบ่มเพาะพลังงานภายในร่างกาย แต่นำมันมาใช้ไม่ได้ ทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา
“ผมรู้ว่าคุณฝึกฝนศิลปะเพลงดาบมานานแล้ว และผมก็บังเอิญคิดค้นศิลปะเพลงดาบขึ้นมาชุดหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ อยากให้คุณลองดูว่าจะเรียนรู้มันได้หรือไม่”
นับตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ตั้นเฉี่ยวเทียนทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกฝนวรยุทธและศิลปะเพลงดาบ แม้ความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของเขาจะไม่โดดเด่นอะไร แต่ก็คุ้นชินกับการใช้อาวุธมานาน จึงไม่คิดจะเปลี่ยนไปเป็นอาวุธชนิดไหน อีกอย่าง จางเซวียนรู้สึกว่าตั้นเฉี่ยวเทียนน่าจะเหมาะสมกับศิลปะเพลงดาบที่เขาเพิ่งได้มาจากหอนิรันดร์
ไม่ช้า ตั้นเฉี่ยวเทียนก็ได้ศึกษาศิลปะเพลงดาบ
มีเพียงกระบวนท่าเดียวในศิลปะเพลงดาบนั้น ซึ่งก็คือการโยนดาบ แต่กระบวนท่านี้ซับซ้อนกว่าที่เห็นมาก ผู้ฝึกฝนต้องควบคุมพละกำลังให้ได้อย่างแม่นยำเพื่อเล่นงานจุดอ่อนและฝ่าด่านการป้องกันตัวของศัตรูให้ได้
ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเส้นทางที่นำไปสู่ความเชี่ยวชาญในเทคนิคนี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก
อันดับแรก เขาต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพละกำลังของคู่ต่อสู้ และสามารถออกตัวเพื่อโจมตีได้ก่อน อันดับสอง ความเร็วคือกุญแจสำคัญของการเคลื่อนไหวรูปแบบนี้
แม้เทคนิคจะยากเย็นไม่น้อย แต่ตั้นเฉี่ยวเทียนมีความตั้งใจมุ่งมั่น เขาทุ่มเททุกอย่างให้กับการฝึกฝน เพราะเกรงว่าจะทำให้ท่านอาจารย์ไม่พอใจ
“ดีมาก!” จางเซวียนพยักหน้า
ศิษย์สายตรงที่เขาเพิ่งรับไว้คนนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับจ้าวหย่า หยวนเทา และคนอื่นๆในแง่ของสติปัญญาและความปราดเปรื่อง แต่กลับเหนือชั้นกว่าคนเหล่านั้นในด้านทัศนคติแง่บวกและความขยันหมั่นเพียร
หลังจากฝึกฝนอยู่ 2 ชั่วโมง จางเซวียนรู้ว่าตั้นเฉี่ยวเทียนได้รับความเข้าใจเบื้องต้นของเทคนิคที่เขามอบให้แล้ว ซึ่งก็ได้เวลากลับที่พักพอดี
“แกล้งทำเป็นพิการต่อไปนะ” จางเซวียนส่งโทรจิตเตือนตั้นเฉี่ยวเทียน
ตั้นเฉี่ยวเทียน, ซึ่งเมื่อครู่นี้เดินเหินอย่างคนปกติรีบทำเป็นพิการอีกครั้ง เหมือนอย่างที่เขาเป็นตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
ด้วยการฝ่าด่านวรยุทธ ไม่เพียงแต่ขาของเขาจะหายดี ความสูงก็ยังเพิ่มขึ้นไม่น้อย แม้จะยังไม่สูงเท่าจางเซวียน แต่ก็สูงพอๆกับมิตรสหายรุ่นราวคราวเดียวกัน ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้ดีว่าคำสั่งของท่านอาจารย์ย่อมมีเหตุผล จึงค้อมตัวลงเพื่อให้ดูเตี้ยเหมือนอย่างเคย ผู้ที่ไม่สนิทสนมกับเขาจะไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรแตกต่างจากเดิม
ถึงตอนนี้ ฟ้าก็มืดแล้ว เมื่อผู้อาวุโสอี้มาถึงพร้อมกับเกี้ยวเทียมม้า สิ่งแรกที่เขารู้สึกได้คือตั้นเฉี่ยวเทียนที่เปลี่ยนไป เขาตัวแข็งด้วยความอัศจรรย์ใจ
ผู้อาวุโสอี้กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็พอดีกับที่เห็นนายน้อยที่ 3 ส่ายหน้า
รู้ดีว่าอีกฝ่ายย่อมมีเหตุผล ผู้อาวุโสอี้รีบกลบเกลื่อนความประหลาดใจและความยินดีปรีดาไว้ แต่ก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับให้จางเซวียนหลายครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วเชิญทั้งสองให้เข้าไปในเกี้ยว
เขาคิดอยู่เสมอว่านายน้อยที่ 3 ใจดีเกินไปที่ช่วยคนอื่นไว้ทั้งที่ตระกูลของพวกเขากำลังอยู่ในภาวะคับขัน แต่ใครจะไปคิดว่าความมีน้ำใจของนายน้อยจะกลายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
“นายท่าน…ในที่สุดนายน้อยที่ 3 ก็หายดีแล้ว” ผู้อาวุโสอี้พึมพำกับตัวเองด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
เขาปาดน้ำตาแห่งความปีติยินดีที่เอ่อขึ้นมา จากนั้นก็กระตุ้นม้าให้รีบกลับสู่ตระกูลตั้น
ไม่นานหลังจากทั้งสามจากไป เงาหลายเงาก็ปรากฏขึ้นที่มุมถนน คนเหล่านั้นเล็ดลอดผ่านความมืดมิดเพื่อแกะรอยการเดินทางของเกี้ยว
…..
เมืองแสงดาว
“คุณได้ข่าวไหม? ผู้เชี่ยวชาญผู้ไร้เทียมทานคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่หอนิรันดร์ในวันนี้ เขาได้ชัยชนะถึง 8 นัดรวดในการประลอง และสุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก ต้องจากไปเพราะไม่มีใครยอมดวลกับเขาอีก!”
“เอาชนะได้ 8 นัดรวด? สวรรค์โปรด! หลายร้อยปีมาแล้วนับตั้งแต่ผู้เชี่ยวชาญคนสุดท้ายปรากฏตัวขึ้นในหมู่พวกเรา ลองคิดดูสิ บรรดานักรบของสำนักดาบเมฆเหินกำลังเปิดรับศิษย์สายตรงในเมืองนี้อยู่ใช่ไหม? จะเป็นใครคนหนึ่งในนั้นหรือเปล่า?”
“ผมก็สงสัยอยู่ เหล่านักรบของสำนักดาบเมฆเหินเข้าท้าทายผู้เชี่ยวชาญคนนั้นเหมือนกัน แต่ก็พ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว!”
“เอาจริงๆสิ? คุณรู้ได้อย่างไร?”
“ในกลุ่มสี่นักรบจากสำนักดาบเมฆเหิน มีคนหนึ่งชื่ออวิ๋นเฟยหยางใช่ไหม? มีนักรบคนหนึ่งในหอนิรันดร์ที่ใช้ฉายาเมฆผงาด รูปร่างหน้าตาของเขาเหมือนกับอวิ๋นเฟยหยาง ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนท่าที่เขาใช้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นของสำนักดาบ…แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ถูกแทงที่ศีรษะภายในกระบวนท่าเดียว และตายทันที…”
“ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นทรงพลังขนาดนั้นเลย? เขาชื่ออะไร?”
“ชื่อของเขา? คิดก่อนนะ…รู้สึกว่าเขาชื่อเจ้าโลก!”
“เป็นชื่อที่เยี่ยมยอดอะไรอย่างนี้! ยิ่งใหญ่และล้ำลึกเกินหยั่ง แค่ได้ยินชื่อก็เกินพอจะทำให้ผมเย็นเยือกไปถึงกระดูกสันหลังแล้ว!”
“….”
…..
ข่าวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงตั้งแต่จางเซวียนออกจากหอนิรันดร์ ผู้เชี่ยวชาญเกือบทุกคนในเมืองแสงดาวก็รับรู้วีรกรรมของเขา ในชั่วพริบตา หอนิรันดร์ก็เต็มไปด้วยฝูงชนมากมายที่เป็นผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ พวกเขาเฝ้ารออยู่หน้าสังเวียนประลอง หวังให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีฉายาว่าเจ้าโลกปรากฏตัวอีกครั้ง เพื่อจะได้ชื่นชมศิลปะเพลงดาบอันล้ำเลิศของเขา
…..
เมืองแสงดาว, บ้านพักเจ้าเมือง
นี่คือสถานที่ที่บรรดาแขกผู้ทรงเกียรติจากสำนักดาบเมฆเหินมาพักค้างอ้างแรม
ในลานบ้านขนาดใหญ่ ชายชราคนหนึ่งกำลังฝึกฝนศิลปะเพลงดาบของเขา
การเคลื่อนไหวของชายชราเชื่องช้ามาก ดูเหมือนไร้เรี่ยวแรง แต่ทุกครั้งที่เขาขยับดาบ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนผืนโลกจะฉีกขาด บรรยากาศที่อยู่โดยรอบลานบ้านตึงเขม็งขึ้นมาภายใต้กระบวนท่าของเขา มันรวมตัวกัน เกิดเป็นพายุทอร์นาโดขนาดใหญ่
ในลานบ้านนั้นมีดอกไม้และต้นไม้ใบหญ้างอกงามอยู่มากมาย เมื่อกระแสลมจากดาบพัดผ่าน ก็น่าประหลาดใจที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆกับพวกมัน แต่หยดน้ำค้างที่อยู่เหนือดอกไม้และใบไม้เหล่านั้นดูจะหายวับไปทันที
สามารถกำจัดน้ำค้างออกจากดอกไม้ใบหญ้าได้โดยไม่ทำให้พวกมันบอบช้ำ นี่คือการควบคุมพละกำลังในระดับที่เรียกว่าน่าทึ่ง
ฟึ่บ!
ในที่สุดผู้อาวุโสก็หยุดการฝึกฝนศิลปะเพลงดาบและระบายลมหายใจเป็นควันขาวขุ่นออกมา ควันสีขาวลอยสูงขึ้นราว 30 เมตรก่อนจะสลายตัวไปในความมืดมิดยามค่ำคืน
“เข้ามาได้!” ผู้อาวุโสร้องเรียกขณะล้างมือในถังน้ำที่อยู่ข้างลานบ้าน
เขารู้ตัวสักระยะหนึ่งแล้วว่ามีผู้มาเยือนรออยู่หน้าประตู และรู้ว่าคนเหล่านั้นคือศิษย์น้องที่เขาพามาด้วย แต่เพราะกำลังอยู่ระหว่างการฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ จึงปล่อยให้พวกนั้นรอไปก่อน
แอ๊ด!
อวิ๋นเฟยหยาง หวงเทา ไม้ไผ่ และหน้าเหลี่ยมเดินเข้ามา ทุกคนรีบโค้งคำนับและทักทาย “คารวะผู้อาวุโสลู่!”
ชายชราที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้อาวุโสลู่อวิ๋น ชายผู้ทำหน้าที่ดูแลการรับศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน
“อือ!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นเดินไปที่โต๊ะหินในลานบ้านและทรุดตัวลงนั่ง “บอกมาซิ มาหาผมดึกดื่นค่ำคืนแบบนี้ มีเหตุผลอะไร?”
ทันทีที่ได้ออกจากสำนักดาบเมฆเหิน เจ้าหนุ่มกลุ่มนี้ก็ทำตัวเหมือนนกคีรีบูนที่ถูกปล่อยออกจากกรง พยายามหลบเลี่ยงไม่มาพบหน้า เพราะเกรงว่าจะถูกจำกัดอิสรภาพ แต่วันนี้ทุกคนกลับมารวมตัวกันที่ด้านนอกลานบ้านของเขา…จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างแน่
“ผู้อาวุโสลู่ เมื่อไม่นานมานี้ อวิ๋นเฟยหยางกับหวงเทาไปที่หอนิรันดร์ของเมืองแสงดาว พวกเขาดวลกับใครคนหนึ่งในสังเวียนประลอง…” หน้าเหลี่ยมก้าวออกมารายงาน
ผู้อาวุโสลู่หน้าตึงทันที “ผมพอเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณ ร่ำเรียนเทคนิคมาก็มากมาย คงอยากสำแดงมันให้ใครๆเห็น แต่ในฐานะศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน คุณควรจัดลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง เหตุผลที่คุณร่ำเรียนศิลปะเพลงดาบก็เพื่อบ่มเพาะตัวเองและค้นหาความลับของศิลปะเพลงดาบ ความขยันหมั่นเพียรคือกุญแจที่จะทำให้คุณได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน และนำความรุ่งเรืองมาสู่สำนักดาบเมฆเหินในท้ายที่สุด”
“วันนี้พวกคุณอาจภาคภูมิใจที่ได้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน แต่วันพรุ่งนี้ สำนักดาบเมฆเหินควรจะได้ภาคภูมิใจที่มีศิษย์สายตรงแบบพวกคุณ…ผมขอบอกตามตรงนะ พวกคุณกำลังเสียเวลาอันมีค่าไปโดยเปล่าประโยชน์!”
ถ้าเกมเมอร์ผู้ช่ำชองสักคนหนึ่งไปเยือนอินเทอร์เนตคาเฟ่แบบพื้นๆ ก็คงเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องโชว์ออฟเพื่อให้ได้รับความชื่นชมจากเกมเมอร์คนอื่นๆ แม้การกระทำนั้นจะดูน่าสนใจ แต่กลับไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง เกมเมอร์ผู้นั้นไม่ได้เรียนรู้อะไรสักอย่างจากประสบการณ์ที่ได้รับ
ได้ยินคำนั้น ใบหน้าของอวิ๋นเฟยหยางกับหวงเทาแดงก่ำด้วยความละอาย
“คราวนี้ผมจะไม่เอาความ แต่เรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก เข้าใจใช่ไหม?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นสั่งการและโบกมืออย่างวางมาด จากนั้นก็เลิกคิ้วราวกับเพิ่งนึกบางอย่างได้ “สมัยก่อนที่ผมพาเหล่าศิษย์สายตรงออกมา เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นเหมือนกัน ถึงผมจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพวกเขา แต่มันก็ไม่ได้ขัดกับกฎเกณฑ์ของสำนักของเรา…แล้วพวกคุณทั้งสี่ก่อปัญหาหรือเปล่า?”
อวิ๋นเฟยหยางอึกอักเล็กน้อยด้วยความอับอาย “ผู้อาวุโสลู่…ตอนที่ผมเข้าสู่สังเวียนประลองที่หอนิรันดร์ ผมสำแดงกระบวนท่าน้ำไหลไร้ขอบเขตเพื่อเล่นงานคู่ต่อสู้!”
“คุณสำแดงกระบวนท่าน้ำไหลไร้ขอบเขต? ต้องใช้กระบวนท่าระดับนี้เพื่อเอาชนะนักรบของเมืองแสงดาวหรือ? ดูเหมือนคุณจะเจอผู้เชี่ยวชาญเข้าแล้วนะ!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นผงะไปเล็กน้อยก่อนจะยกกาน้ำชาขึ้นเติมถ้วยชาของเขา
“ผมคิดค้นกระบวนท่านี้ขึ้นได้โดยบังเอิญขณะที่กำลังเฝ้ามองแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวเมื่อสมัยอายุยังน้อย ถึงแนวคิดของมันจะเรียบง่าย แต่ก็มีเศษเสี้ยวของกฎเกณฑ์ธรรมชาติบรรจุอยู่ ทำให้ฝึกฝนให้เชี่ยวชาญได้ยากมาก ถือว่าน่าประทับใจที่คุณสามารถสำแดงมันออกมา…ซึ่งก็แน่นอนว่าคู่ต่อสู้ที่สามารถกดดันให้คุณใช้กระบวนท่านี้จะต้องมีทักษะไม่น้อยเช่นกัน ในเมื่อคุณถึงกับใช้มัน ผมเชื่อว่าคุณคงต้อนเขาให้จนมุมและจัดการให้เขายอมแพ้ได้ใช่ไหม?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูดยิ้มๆก่อนจะจิบชา
เขามั่นใจเต็มเปี่ยมในศิลปะเพลงดาบที่ตัวเองคิดค้น บรรดานักรบในเมืองแสงดาวจะต้องหวาดกลัวจนยอมจำนนเมื่อเผชิญกับกระบวนท่านี้ของเขา
เห็นผู้อาวุโสลู่อวิ๋นหลงตัวเองขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ความกระอักกระอ่วนของอวิ๋นเฟยหยางยิ่งเพิ่มขึ้น เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงบ่งบอกความลังเล “ตอนที่ผมสำแดงกระบวนท่านี้ คู่ต่อสู้ของผม…เขาแทงศีรษะของผมได้ด้วยการโยนดาบ…”
พรวด!
ผู้อาวุโสลู่พ่นน้ำชาอึกใหญ่ออกมาใส่หน้าของหน้าเหลี่ยม ทำให้ใบหน้าของเขาดูจะใหญ่กว่าเดิม จากนั้นก็ถามอย่างกระวนกระวายด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง “คุณว่าอะไรนะ?”
“ผม…ตั้งแต่เริ่มการดวล ผมสำแดงกระบวนท่าน้ำไหลไร้ขอบเขต แต่หมอนั่นโยนดาบของเขาใส่ผม และดาบนั้นก็ทะลุผ่านการป้องกันตัวของกระบวนท่าน้ำไหลไร้ขอบเขตมาแทงทะลุศีรษะของผมได้ ทำให้ผมตายทันที!” อวิ๋นเฟยหยางอธิบายอีกครั้ง
“ปะ-ปะ-ปะ-เป็นไปได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นแทบจะคลุ้มคลั่ง