ในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนจะเกิดพายุหิมะขึ้นบนสังเวียน ปล่อยบรรยากาศเย็นยะเยือกออกไปโดยรอบ ทุกกระบวนท่าและการโจมตีของเจ้าเมืองเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดที่สังเวียนประลองเริ่มเกิดรอยร้าว
“น่าทึ่งจริงๆ!” จางเซวียนพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น
เขาใช้พละกำลังถึง 1 ใน 8 แต่เฉว่เหยาก็ยังควบคุมทิศทางการต่อสู้ไว้ได้ด้วยเทคนิคอันแข็งแกร่ง
อันที่จริง ต่อให้เขาใช้พละกำลัง 1 ใน 7 การต่อสู้ครั้งนี้ก็ยังยืดเยื้ออยู่ดี
เขาคงต้องใช้พละกำลังอย่างน้อย 1 ใน 6 เพื่อให้ได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
นี่คือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดที่จางเซวียนเคยเจอนับตั้งแต่มาถึงมิติเบื้องบน…เขาเพิ่งจะฟื้นคืนสติได้เพียงวันเดียวเท่านั้น แต่ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ทดสอบทักษะของตัวเอง
ขณะที่จางเซวียนเริ่มจะพลิกมาถือไพ่เหนือกว่า ความพรั่นพรึงในดวงตาของเฉว่เหยาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนอย่างที่คนอื่นๆพูดไว้ ศิลปะเพลงกระบี่ที่เขาสำแดงออกมาคือกระบวนท่าเหมันต์สีเงิน เทคนิคนี้ทำให้เขารักษาพละกำลังและความเร็วในการโจมตีอย่างต่อเนื่องไว้ได้ ขอแค่เขามีเวลามากพอ ก็จะกลายเป็นนักสู้ผู้บ้าคลั่งในสังเวียน สามารถฉีกกระชากทุกอย่างที่ขวางทาง
แต่วันนี้อะไรๆดูจะไม่เป็นไปตามคาด เขาคิดว่าเขาน่าจะเล่นงานอีกฝ่ายได้ในทันทีที่ผนึกเอาพละกำลังและความเร็วเต็มพิกัดเข้าด้วยกัน…แต่ใครจะไปคิดว่าหมอนี่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเมื่อการต่อสู้ดำเนินไป!
มือไม้ของเขาเป็นเหน็บชาไปหมดเพราะการใช้พลังเต็มพิกัด ง่ามนิ้วก็มีเลือดไหลซึม
“ต้องจบให้เร็วที่สุด!”
อาการบาดเจ็บที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจะส่งผลขัดขวางประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขา และนั่นจะเป็นโอกาสให้เจ้าโลกพลิกผันสถานการณ์มาเอาชนะได้ รู้ดีว่าจะต้องไม่ปล่อยให้การต่อสู้ยืดเยื้อ เฉว่เหยาตัดสินใจทุ่มสุดตัว เขาคำรามกร้าวและพุ่งกระบี่เข้าใส่
ฟิ้ววววว!
กระแสกระบี่ฉีทั้งหมดที่เฉว่เหยาปล่อยเข้าใส่จางเซวียนรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นพายุทอร์นาโดลูกใหญ่
พละกำลังที่แท้จริงของกระบวนท่าเหมันต์สีเงินไม่ได้อยู่ที่การผนึกเอาพละกำลังของกระบี่เข้าด้วยกัน แต่เป็นการปล่อยกระแสกระบี่ฉีจากการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งให้อบอวลอยู่ในพื้นที่การประลอง ซึ่งจะทำให้เขาเปิดการโจมตีขั้นเด็ดขาดที่มีพละกำลังรุนแรงเกินพิกัดของตัวเองได้!
“กระเสือกกระสนไปให้พอใจ ถึงอย่างไรคุณก็แพ้แน่” เฉว่เหยาคำรามใส่จางเซวียนขณะที่หัวใจเต้นรัวอยู่ในอก
นี่คือเทคนิคเหนือชั้นที่สุดของเขาหรือ?
เห็นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายทรงพลังขึ้นเรื่อยๆจนถึงระดับที่ต่อให้ใช้พละกำลัง 1 ใน 6 ก็ยังรับมือได้ยาก จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะตัดสินใจ “ช่างมันเถอะ เราต้องโจมตีแล้ว!”
แต่หลังจากใช้ความคิด ก็ยังรู้สึกว่าศิลปะเพลงกระบี่เทียบฟ้าที่เขาได้ฝึกฝนมาออกจะทรงพลังไปหน่อย จางเซวียนจึงกระดิกนิ้วเบาๆ แล้วกระบี่ในมือของเขาก็พุ่งแหวกอากาศออกไป
“เทคนิคนี้ใช้กับกระบี่ได้ด้วยหรือ?” อวิ๋นเฟยหยางกับพรรคพวกถึงกับจังงัง
พวกเขาดูออกว่าชายหนุ่มตั้งใจจะโยนกระบี่ออกไปเหมือนกับที่เคยโยนดาบใส่พวกเขา
แต่มันจะได้ผลหรือไง? ทั้งรูปร่างและน้ำหนักของกระบี่กับดาบนั้นต่างกันมาก ซึ่งความแตกต่างเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงผลลัพธ์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำแบบนี้จะดีหรือ?
ก่อนที่ความสงสัยของพวกเขาจะเพิ่มมากขึ้น กระบี่ก็พุ่งหวือแหวกอากาศออกไปด้วยเสียงดังสนั่น
ฟึ่บ!
เพียงชั่วพริบตา มันก็ไปจ่อตรงหน้าเฉว่เหยา
เฉว่เหยาหน้าแดงก่ำ เขารีบเงื้อกระบี่ขึ้นเพื่อปัดป้อง แต่ก็พบว่าการตอบโต้ของเขาพลาดเป้า
ฉึกกกก!
กระบี่นั้นเสียบเข้าที่ศีรษะของเขาอย่างเหมาะเจาะ
แม้ในตอนนั้นเฉว่เหยาจะแพ้แล้ว แต่ด้วยพละกำลังสูงส่งในฐานะนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ เขาจึงยังคงสภาพร่างของตัวเองไม่ให้สลายเป็นอากาศธาตุได้ครู่หนึ่ง
“คุณ…คุณเอาชนะผมได้ตั้งแต่แรกเลยหรือ?” เฉว่เหยาจ้องจางเซวียนด้วยนัยน์ตาเบิกโพลงจนแทบทะลุออกจากเบ้า
เขาได้ยินเรื่องร่ำลือมามากว่าอีกฝ่ายมีความเชี่ยวชาญในการโยนดาบ
เขาคิดว่าเหตุผลที่หมอนี่ไม่ได้โยนอาวุธใส่เขาก็เพราะไม่อาจสำแดงเทคนิคอันทรงพลังแบบเดิมกับกระบี่ได้ แต่ข้อสันนิษฐานของเขาไม่เป็นความจริง…คู่ต่อสู้ใช้เทคนิคเดิมกับกระบี่ได้ แถมยังทำได้อย่างง่ายดายด้วย
การขว้างกระบี่นั้นทรงพลังเสียจนเขาไม่อาจปัดป้องได้แม้จะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ถ้าหมอนี่ใช้กระบวนท่านี้ตั้งแต่แรก เขาคงไม่มีโอกาสได้ต่อสู้
พูดอีกอย่างก็คือ ที่ผ่านมาคู่ต่อสู้แค่เล่นเกมกับเขา ทุกอย่างที่เขาทำลงไปคงดูไม่ต่างอะไรกับปาหี่ในสายตาของอีกฝ่าย
“คุณยอมควักเงินตั้ง 400,000 เหรียญนิรันดร์เพื่อการดวลครั้งนี้ คงน่าเสียดายมากถ้าต้องพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว ผมก็เลยเพิ่มมูลค่าให้เงินของคุณอีกหน่อยด้วยการยื้อการดวลให้ยาวนานออกไป…” จางเซวียนสารภาพด้วยความอับอาย
พลั่ก!
เฉว่เหยากระอักเลือดออกมา
เพิ่มมูลค่าเงินกับผีอะไร!
ถ้าคุณอยากเพิ่มมูลค่าเงินให้ผมจริงๆ อย่างน้อยก็ควรจะบอกว่าคุณใช้พละกำลังสูงสุด! ไอ้การเปิดเผยทีหลังว่าที่ผ่านมาคุณออมมือให้ผมมาตลอดนี่…ผมควรจะรู้สึกดีหรือไง?
เพ้อเจ้อเหลวไหลอย่างไร้ยางอาย!
“ผมจะยอมแพ้ แต่ก็เห็นชัดเจนแล้วว่าคุณไม่ได้ใช้พละกำลังเต็มพิกัด ผมอยากรู้ว่าคุณใช้พละกำลังของคุณไปแค่ไหน?” เฉว่เหยารวบรวมลมหายใจเฮือกสุดท้ายตั้งคำถาม
การที่อีกฝ่ายยังรับมือกับเขาได้ทั้งที่เขาเพิ่มพละกำลังและความเร็วของศิลปะเพลงกระบี่แล้ว ก็หมายความว่าหมอนี่ต่อสู้กับเขาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ซึ่งในเมื่อเป็นแบบนั้น ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วอีกฝ่ายทรงพลังแค่ไหน
“ผมใช้พละกำลังแค่ไหนหรือ?” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจตอบตามจริง
“คุณไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เหยาะแหยะเหมือนคนอื่นๆ คุณทำให้ผมปล่อยพละกำลังออกมา 0.1666666666… เอาเถอะ คุณคงเข้าใจเรื่องทศนิยมไม่รู้จบใช่ไหม?”
“อะไรนะ?” เฉว่เหยาชะงัก
ผมถามคุณว่าคุณสำแดงพละกำลังออกมาแค่ไหน แล้วเป็นบ้าอะไรถึงพูดตัวเลข 6 ออกมาเป็นชุดยืดยาวขนาดนั้น?
ฟึ่บ!
เมื่อต้านทานไม่ไหว ร่างของเฉว่เหยาสลายไปทันที
บริเวณนั้นเงียบงัน ขณะที่ฝูงชนพากันเลิกคิ้ว
พวกเขาไม่คิดว่าเจ้าโลกจะพูดความจริง เพราะไอ้จุดทศนิยมมากมายนั่นคืออะไร? ในโลกนี้ไม่มีใครควบคุมพละกำลังได้ละเอียดลออขนาดนั้น!
ทศนิยมไม่รู้จบ? ไม่รู้จบบ้านคุณน่ะสิ!
จะทำตัวให้เหมือนผู้เชี่ยวชาญกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ?
ขณะที่ทุกคนกลอกตาใส่เจ้าโลก เฉว่ชิงก็หน้าซีดเผือดด้วยความพรั่นพรึง
เธอพอเข้าใจการที่หัวเจียงเหอพ่ายแพ้ให้กับเจ้าโลก เพราะถึงอย่างไร เขาก็ยังหนุ่มและยังไม่ได้เข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเอง แต่ท่านพ่อของเธอเป็นถึงเจ้าเมืองชวนเจียง, นักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติ ในแง่ของความเข้าใจเรื่องวรยุทธและความเชี่ยวชาญในเทคนิคการต่อสู้ เขาเข้าถึงระดับที่ลึกซึ้งแม้จะเทียบกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญของเมืองแสงดาว แต่ท่านพ่อก็ยังเอาชนะเจ้าโลกไม่ได้เมื่อวรยุทธของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน…
หมอนั่นโผล่มาจากไหน? ทรงพลังขนาดนั้นได้อย่างไร?
ถ้ามีคนแบบนี้อยู่ในเมืองแสงดาว ป่านนี้ชื่อเสียงของเขาก็น่าจะโด่งดังแล้ว
“ตอนนี้เราก็แค่อยู่ห่างจากหอนิรันดร์ไว้ เราไม่เชื่อหรอกว่าหมอนั่นจะกล้าไปสร้างความวุ่นวายที่สำนักเจ้าเมือง ถ้าทำอย่างนั้นก็เท่ากับรนหาที่ตาย!” เฉว่ชิงกำหมัดแน่นขณะตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
จะเป็นคนรับใช้หรือไม่เป็น? ขอแค่เธอไม่เข้าสู่หอนิรันดร์ หมอนั่นจะทำอะไรเธอได้?
ถึงเจ้าโลกจะเอาชนะท่านพ่อของเธอได้ที่นี่ แต่เธอก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งกว่าท่านพ่อ
หลังจากบอกตัวเองเป็นมั่นเหมาะ เฉว่ชิงรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ฟึ่บ!
เกิดแสงสว่างวาบก่อนที่ร่างของเธอจะหายวับไป
“พวกคุณนี่ไม่เอาไหนเลย ถามหาความจริงทำไมในเมื่อรับไม่ได้?” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างระอาและถอนหายใจเฮือกใหญ่
เขาดูออกว่าเฉว่เหยากับฝูงชนที่ชมการดวลไม่เชื่อเขา ในฐานะผู้รักความสมบูรณ์แบบ หากเขาพูดออกไปว่าสำแดงพละกำลังเพียงแค่ 1 ใน 6 ของที่มี ก็หมายความว่าเขาใช้พละกำลัง 1 ใน 6 ของที่มีจริงๆ ซึ่งจะเท่ากับ 0.1666666…
เขาก็ตรงไปตรงมาสุดๆแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อ…ทำตัวเป็นคนดีนี่มันยากจริง!
จางเซวียนถอนหายใจอีกเฮือก เขาเดินลงจากสังเวียนประลองและมุ่งหน้าไปยังเคาน์เตอร์ลงทะเบียน จางเซวียนทำลายหลักฐานที่บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่และตัวตนของเขาไว้ก่อนจะยื่นบัตรนิรันดร์ออกไป
เพราะหัวเจียงเหอเสียชีวิตพร้อมกับอาวุธของเฉว่ชิง อาวุธนั้นจึงถูกส่งคืนกลับสู่ระบบโดยอัตโนมัติ และมูลค่าของมันจะตกเป็นของจางเซวียน ตอนนี้เขาจึงมีเงินอยู่ในบัตรทั้งหมด 600,000 เหรียญนิรันดร์
จางเซวียนรีบใช้เงินซื้อแหวนเก็บสมบัติคุณภาพดีวงหนึ่ง และขณะที่กำลังจะออกจากหอนิรันดร์ ชายผู้หนึ่งที่เขาเคยเอาชนะตอนอยู่บนสังเวียนประลอง, เมฆผงาด ก็เดินเข้ามาพร้อมกับสมุดแนะนำตัวเล่มหนึ่งในมือ
“ผู้อาวุโสเจ้าโลก, ผู้อาวุโสลู่จากสำนักของเราอยากขอพบคุณเป็นการส่วนตัว ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณสะดวกไหม?”
“ผู้อาวุโสลู่?” จางเซวียนพึมพำ
ในเมื่อเมฆผงาดมาจากสำนักดาบเมฆเหิน ก็แปลว่าผู้อาวุโสลู่ที่เขาพูดถึงคือผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนัก?
“ก็ได้” จางเซวียนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาพยักหน้าโดยไม่ลังเล
ผู้ที่จะได้เป็นผู้อาวุโสของ 1 ใน 6สำนักใหญ่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับมิติเบื้องบนไม่น้อย นี่คือโอกาสดีที่เขาจะได้เรียนรู้เรื่องราวของกลุ่มอำนาจต่างๆในมิติเบื้องบน โดยเฉพาะตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ
ตอนที่จางเซวียนอยู่ที่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ด้วยการพลีชีพของหวู่เฉิน พวกเขาเรียกเทพเจ้าจากมิติเบื้องบนมาได้ ซึ่งอีกฝ่ายพูดว่าเธอจะยอมเปิดเผยที่อยู่ของหลัวลั่วชิงก็ต่อเมื่อเขาสามารถเข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ นี่คือคำบอกใบ้ที่ชัดเจนที่สุดสำหรับการตามหาหลัวลั่วชิง
จางเซวียนตามหลังเมฆผงาดไป ไม่ช้าก็มาถึงห้องที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา
นอกจากสังเวียนสำหรับการดวลอย่างเป็นทางการ หอนิรันดร์ยังมีสถานที่พิเศษให้นักรบได้เจรจาหารือกันอย่างเป็นส่วนตัวด้วย ห้องลับพวกนี้เป็นที่มั่นใจได้เรื่องความเป็นส่วนตัว ไม่ว่าคนในห้องจะพูดอะไร ผู้ที่อยู่ด้านนอกจะไม่มีทางได้ยินสักคำ
ชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่ใจกลางห้อง มีชายอีก 4 คนยืนอยู่ด้านหลัง ซึ่งก็คือคู่ต่อสู้ทั้ง 4 ที่จางเซวียนปราบจนราบคาบในสังเวียนประลอง แต่ละคนมีสีหน้ากระอักกระอ่วน ไม่มีใครเต็มใจจะสบตาเขา
น่าประหลาดใจที่นัยน์ตาวารีก็อยู่ในกลุ่มคนทั้ง 4 ด้วย ดูเหมือนเขาจะได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันใหม่และกลับเข้ามาอีกครั้ง
ทันทีที่จางเซวียนเดินเข้าไป ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นรีบลุกขึ้นยืนและแนะนำตัวอย่างสุภาพ “ผมคือผู้อาวุโสฝ่ายนอกของสำนักดาบเมฆเหิน, ลู่อวิ๋น”
“ยินดีที่ได้พบคุณ ผู้อาวุโสลู่!” จางเซวียนประสานมือและทักทาย “ผมคือเจ้าโลก”