อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1593 พละกำลังอันน่าทึ่งของหวู่เฉิน
นักปราชญ์โบราณหรันชิวมีชื่อเสียงเลื่องลือในฐานะศิษย์สายตรงที่แข็งแกร่งที่สุดของปรมาจารย์ขง จึงเป็นธรรมดาที่ไม่อาจประมาทพละกำลังของเขาได้
ถ้านักรบทองคำเหล่านี้มีสัญชาตญาณในการต่อสู้และการเคลื่อนไหวตามแบบของเขาจริงๆ ก็คงแทบเป็นไปไม่ได้ที่นักรบวรยุทธขั้นเดียวกันจะเอาชนะได้สำเร็จ!
“แต่อันที่จริงน่ะ มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ถึงนักรบทองคำจะมีสัญชาตญาณในการต่อสู้ตามแบบของปรมาจารย์ที่เป็นเจ้าของลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณ แต่สถานการณ์ในการต่อสู้นั้นเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ปฏิกิริยาโต้ตอบที่คลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลให้เกิดความแตกต่างอย่างมากกับผลของการต่อสู้ หากนักรบทองคำเหล่านี้มีพละกำลังได้เพียงครึ่งหนึ่งของนักปราชญ์โบราณหรันชิวก็ถือว่าน่าทึ่งแล้ว” หลัวลั่วชิงพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
ลงท้าย ต่อให้ลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณจะได้รับการถ่ายทอดเจตจำนงของนักปราชญ์โบราณหรันชิวเอาไว้ แต่มันก็เป็นแค่ตัวหนังสือ ไม่ได้น่าสะพรึงอย่างที่ดูเหมือนจะเป็น
“คุณพูดถูก” จางเซวียนพยักหน้า “ใครจะเป็นคนแรก?”
“ผมเอง!” หวู่เฉินก้าวออกมาและอาสา “ให้ผมเปิดทางให้นายหญิงกับปรมาจารย์จางนะ”
“ได้สิ!” จางเซวียนพยักหน้า
ถึงรูปลักษณ์ภายนอกของหวู่เฉินจะดูเหมือนเด็กชายวัยรุ่นที่มีอายุเพียง 13-14 ปี แต่พละกำลังที่เขาสำแดงออกมานั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคนอื่นๆที่จางเซวียนเคยเห็น เขาจึงไม่คิดว่าจะมีอะไรให้ต้องกังวล
กลับเป็นโอกาสดีเสียอีกที่จะได้เห็นว่านักรบทองคำแห่งลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณเหล่านี้มีความสามารถแค่ไหน
“เริ่มกันเถอะ!”
เมื่อเห็นว่ามีใครคนหนึ่งก้าวออกมา รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นพยักหน้า แล้วนักรบทองคำที่แปรสภาพมาจากตัวอักษร ‘หรัน’ ก็ก้าวยาวๆเข้ามา ร่างของมันสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะแผ่รังสีของนักรบขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เทียบเท่ากับหวู่เฉิน
“ไร้เทียมทานจริงๆ!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างยำเกรง
สำหรับตัวอักษรตัวหนึ่งที่สามารถยกระดับวรยุทธและต่อสู้ได้เหมือนมนุษย์…เขาคงจะไม่เชื่อว่ามันเป็นไปได้จริงหากไม่ได้เห็นกับตา
ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ตระกูลต่างๆพากันทุ่มเทอย่างสุดตัวเพียงเพื่อจะให้ได้ลายมือจำนวนน้อยนิดของปรมาจารย์ขง ดูเหมือนทุกถ้อยคำของนักปราชญ์โบราณจะมีความสามารถอย่างน่าทึ่ง
ฟึ่บ!
หลังจากยกระดับพละกำลังของมันให้เทียบเท่ากับหวู่เฉินแล้ว นักรบทองคำก็ชักหอกออกมาและพุ่งเข้าใส่หวู่เฉินโดยไม่ลังเล
ขณะที่หอกกำลังพุ่งตรงเข้าสู่หัวใจของหวู่เฉิน มันก็ฉีกกระชากมิติเป็นทางยาว ก่อเกิดพละกำลังที่น่าสะพรึง
“ช่างเป็นศิลปะเพลงหอกที่น่าทึ่งจริงๆ…” จางเซวียนกำหมัดแน่นอย่างตื่นเต้น
ทักษะของผู้เชี่ยวชาญตัวจริงนั้นจะถูกแสดงออกมาในทุกท่วงท่า
ในฐานะนักรบคนหนึ่งที่ได้ถ่ายทอดศิลปะเพลงหอกของตัวเองให้กับเจิ้งหยาง แน่นอนว่าความเชี่ยวชาญเพลงหอกของจางเซวียนนั้นอยู่ในระดับที่ล้ำลึกไม่เบา แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าแม้ศิลปะเพลงหอกของนักรบทองคำจะไม่ได้เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพเหมือนกับศิลปะเพลงหอกของเขา แต่ก็สามารถเข้าถึงแก่นสารของศิลปะเพลงหอกได้ ความเฉียบคมของมันพุ่งตรงเข้าสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ ทำให้ยากที่จะต้านทานหรือหลบเลี่ยง
แน่นอนว่าหวู่เฉินก็รับรู้ถึงอันตรายของหอกนั้น เขาหัวเราะหึๆ “ออกตัวได้ดีนี่!”
แทนที่จะหลบการจ้วงแทงของหอก เขากลับยกนิ้วขึ้นและชี้ตรงไปที่ปลายหอก ดูเหมือนตั้งใจจะเผชิญหน้ากับการโจมตีของนักรบทองคำโดยตรง
ภายใต้สถานการณ์ปกติ การเผชิญหน้ากับหอกด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียวก็เท่ากับเอาความตายเข้าแลกแต่หวู่เฉินได้สร้างโดมพลังงานขึ้นที่ปลายนิ้วของเขา ซึ่งเมื่อปลายหอกสัมผัสกับโดมพลังงาน มันก็จะต้องเผชิญกับการโจมตีของคลื่นรบกวนของมิติ ทำให้เป็นโอกาสของหวู่เฉินที่จะพลิกผันสถานการณ์มาอยู่เหนือนักรบทองคำได้
บางที นักรบทองคำอาจสัมผัสได้ถึงอันตรายจากโดมพลังงานของหวู่เฉิน แต่มันก็ไม่แสดงสีหน้าหรือความรู้สึกใดๆ กลับชูหอกขึ้น
มันปรับเปลี่ยนท่วงท่าโดยไม่ชักช้าหรือลังเลแม้แต่น้อย ราวกับการจ้วงแทงเมื่อครู่นี้เป็นการสับขาหลอก และคราวนี้เป็นของจริง
การปรับเปลี่ยนกระบวนท่าจากกระบวนท่าหนึ่งไปอีกกระบวนท่าหนึ่งอย่างรวดเร็วนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่กับจางเซวียน ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยทีเดียว
“น่าประทับใจมาก ลำพังแค่การปรับเปลี่ยนท่วงท่าครั้งนี้ก็มีความแข็งแกร่งเท่ากับ 1 ใน 3 ของเราแล้ว!” จางเซวียนอดชมเชยไม่ได้
ด้วยหอสมุดเทียบฟ้าและดวงตาหยั่งรู้ เขามองเห็นข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น หากเขาประกาศตัวว่าตัวเองเป็นนักรบผู้มีความสามารถในการโจมตีเป็นอันดับสอง ก็ย่อมไม่มีใครกล้าประกาศตัวว่าเป็นอันดับหนึ่ง! ข้อเท็จจริงที่ว่านักรบทองคำซึ่งทำจากตัวอักษรมีพละกำลังได้ถึง 1 ใน 3 ของเขาถือเป็นวีรกรรมที่น่าทึ่งมาก
“ฮึ่มมม!” หวู่เฉินคำรามขณะชะงักไปครู่หนึ่งกับการเปลี่ยนแปลงท่วงท่าในศิลปะเพลงหอกของนักรบทองคำ เขางอนิ้วและกระดิกมันเบาๆ
ฟิ้วววว!
กระแสดาบฉีพุ่งออกจากปลายนิ้วและปะทะกับหอกของนักรบทองคำ เกิดเสียงเคร้งของโลหะกระทบกัน หอกนั้นกระเด็นหลุดจากมือของนักรบทองคำทันที
ในเวลาเดียวกัน นักรบทองคำก็ถูกบีบให้ถอยกรูดไป 4 ก้าว ก่อนที่ร่างของมันจะสลายไปราวกับน้ำไหล กลับไปสู่สภาพของตัวอักษรที่เขียนว่า ‘หรัน’ ก่อนจะลอยกลับสู่ป้ายชื่อ
“น่าทึ่งมาก!” จางเซวียนหรี่ตามองหวู่เฉิน
ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ นักรบทองคำตัวนี้แข็งแกร่งกว่าแม้แต่เจิ้งหยาง แต่หวู่เฉินก็ได้ชัยชนะภายใน 2 กระบวนท่า และเท่าที่เห็น เขาก็ยังไม่อ่อนแรงด้วย ดูเหมือนในตัวเด็กชายคนนี้จะมีอะไรมากกว่าที่เขาคิด
ข้อบกพร่อง! จางเซวียนเพ่งสมาธิ
ก่อนหน้านี้ เขาพยายามใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบหลัวลั่วชิง แต่ลงท้ายตัวเองก็สลบไป หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาก็ไม่กล้าส่องเธออีกเลย แต่การใช้หอสมุดเทียบฟ้าส่องหาข้อมูลของเด็กชายวัยรุ่นที่ติดตามเธอมาก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่
เมื่อเขารู้ตัวตนของเด็กชายคนนี้ การจะคาดเดาตัวตนของหลัวลั่วชิงก็คงจะง่ายขึ้น
ฟึ่บ!
หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก แต่ไม่มีหนังสือปรากฏ
เกิดอะไรขึ้น? จางเซวียนประหลาดใจ
หลังจากสู้กับนักรบทองคำแล้ว หวู่เฉินก็ยังคงขับเคลื่อนพลังปราณในร่างของเขาอยู่ ซึ่งการกระทำนั้นก็เทียบเท่ากับการสำแดงเทคนิคการต่อสู้ ภายใต้สถานการณ์ปกติ หอสมุดเทียบฟ้าจะต้องประมวลหนังสือเกี่ยวกับอีกฝ่ายออกมา โดยบอกทั้งที่มาที่ไปและข้อบกพร่อง แต่ทำไมถึงไม่เกิดอะไรขึ้นเลย?
มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้!
นี่หมายความว่าเด็กชายมีสภาวะของการปฏิเสธคำทำนายอย่างสิ้นเชิงด้วยหรือ?
จางเซวียนขมวดคิ้ว
มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียวที่หอสมุดเทียบฟ้าไม่อาจประมวลหนังสือเกี่ยวกับใครคนหนึ่งได้ นั่นก็คือสวรรค์มองไม่เห็นอีกฝ่าย นั่นหมายความว่าหวู่เฉินมีสภาวะของการปฏิเสธคำทำนายเหมือนกับตัวเขา!
ในทวีปแห่งปรมาจารย์มีทั้งผู้เชี่ยวชาญและอัจฉริยะมากมาย แต่จนถึงทุกวันนี้ เท่าที่รู้กัน ก็มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่มีสภาวะดังกล่าว คนแรกคือตัวเขา คนที่สองคือหลัวฉีฉี และในขณะที่คนสุดท้ายยังคงไม่เป็นที่เปิดเผย แต่ก็มีโอกาสที่สุภาพสตรีลึกลับที่ผู้อาวุโสเฟิงพูดถึงในครั้งนั้นก็น่าจะเป็นหลัวลั่วชิง
ข้อเท็จจริงที่ว่าเหล่าผู้หยั่งรู้ไม่อาจสำรวจตรวจสอบคนรักของเขา และหอสมุดเทียบฟ้าก็ประมวลหนังสือเกี่ยวกับเธอออกมาไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
การที่หลัวลั่วชิงจะมีสภาวะของการปฏิเสธคำทำนายก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่น่าเชื่อว่าเด็กชายคนนี้จะมีสภาวะแบบเดียวกันด้วย มันน่าสะพรึงเกินไป!
สภาวะนี้กลายเป็นของที่มีกันได้ทั่วไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
คงถึงเวลาที่เราจะต้องยกระดับหอสมุดเทียบฟ้าแล้ว…บางทีอาจจะต้องหาเวลาไปเยี่ยมเยียนศาลเจ้าแห่งผู้หยั่งรู้…จางเซวียนลูบคางและครุ่นคิด
เขายกระดับวรยุทธของตัวเองแล้ว แต่ก็นานพอสมควรที่ยังไม่ได้ยกระดับหอสมุดเทียบฟ้าอีก
ถึงหอสมุดเทียบฟ้าจะยังคงไร้เทียมทานอยู่แม้ไม่ได้รับการยกระดับ แต่มันก็ออกจะกวนใจเขาอยู่ไม่น้อยที่มีบางอย่างที่เขามองไม่เห็น บางทีปัญหานี้อาจคลี่คลายได้หากมันได้รับการยกระดับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่จนถึงวันนี้ เขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าการยกระดับหอสมุดเทียบฟ้านั้นทำงานอย่างไร ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้น เขาอยู่กับหลัวลั่วชิง และสลบไปสามวันเต็ม ส่วนครั้งที่ 2 เกิดขึ้นหลังจากที่เขาทำลายศาลเจ้าแห่งผู้หยั่งรู้
จางเซวียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลัวลั่วชิงในวันนั้น แต่ส่วนการทำลายศาลเจ้าแห่งผู้หยั่งรู้นั้นเป็นเรื่องง่าย เขาสามารถหาศาลเจ้าผู้หยั่งรู้ใหญ่ๆที่ไหนสักแห่งในทวีปแห่งปรมาจารย์และไปเยี่ยมเยียนพวกนั้นสักหน่อย!
แต่แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้จะต้องเอาไว้คิดทีหลัง ตอนนี้เขาต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าก่อน
จางเซวียนเงยหน้าขึ้นและเห็นหลัวลั่วชิงกำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาล้ำลึก ดูเหมือนมีบางคำพูดกำลังจะหลุดออกจากปากของเธอ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร เธอหันกลับไปมองทหารนักรบทองคำอีก 2 ตัวที่เหลืออยู่แล้วพูดว่า “ฉันจะจัดการตัวที่ 2 เอง”