อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2106 มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?
ตอนที่ข่าวแพร่สะพัดออกไปว่าคนคนหนึ่งกำลังจะก้าวขึ้นเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินและหัวหน้าตำหนักคว้าดาว ความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืม เพียงชั่วข้ามคืน จางเซวียนก็กลายเป็นบุคคลที่ได้การยอมรับจากพลเมืองมากมายนับไม่ถ้วน
“ผมอยากเห็นว่าจางเซวียนคนนี้เก่งกว่าหัวหน้าเจิ้งของเราหรือเปล่า” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนหัวเราะหึๆ
“หลังจากเสร็จสิ้นพิธีสถาปนา เราจะเชิญเจ้าสำนักหลิวให้ขึ้นไปประกาศว่าเขาคือเจ้าสำนัก และสำนักของพวกเรากำลังจะตกลงเป็นพันธมิตรกันอย่างเป็นทางการ เรื่องนี้จะต้องทำให้ใครๆอ้าปากค้างแน่” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพูด
แค่คิดถึงความงุนงงของผู้คนที่อยู่ตรงหน้า ก็ทำให้เขาลิงโลดจนแทบจะลุกขึ้นมาเต้นรำ
เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่มีอะไรน่าสนุกไปกว่าการทำให้คนอื่นๆตื่นตกใจ
“บางทีเราอาจจะจัดให้หัวหน้าเจิ้งดวลกับจางเซวียนก็ได้นะ นักรบอมตะตัวจริงน่ะสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว…” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนยิ้ม
แต่หลังจากได้พูดไปได้เพียงครึ่งประโยค เขาก็ตัวแข็ง “หัวหน้าเจิ้ง คุณทำอะไรน่ะ?”
ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวหันขวับไปมอง เห็นเจ้าสำนักของเขาบินตรงสู่บัลลังก์ที่อยู่ใจกลางจัตุรัส
“ผมพูดเล่นหรอกนะที่บอกว่าจะให้คุณดวลกับเขา นี่คือพิธีสถาปนาหัวหน้าตำหนักคว้าดาวคนใหม่ พวกเราจะสร้างปัญหาที่นี่ไม่ได้หรอก! ไม่อย่างนั้น ทั้งสำนักดาบเมฆเหินและตำหนักคว้าดาวจะกลายเป็นศัตรูกับเรา!” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนร้องออกมา
เขาหวาดกลัวจนแทบจะขาดใจ
ที่พูดออกไปก็แค่พูดไปงั้นๆ ใครจะไปคิดว่าหัวหน้าของเขาจะถือเป็นจริงเป็นจังและพุ่งตรงไปยังบัลลังก์ที่อยู่ใจกลางจัตุรัสทันที?
การทำแบบนี้จะทำให้ทั้ง 2 สำนักโกรธเคืองพวกเขาแน่ จริงอยู่ว่าพวกเขามั่นใจในการเป็นพันธมิตรกัน แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ควรจะทำตัวเป็นศัตรูกับสำนักดาบเมฆเหินและตำหนักคว้าดาว
“เราจะทำอย่างไร?” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนสบตาผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวอย่างกระวนกระวาย
ถึงขนาดนี้แล้ว จะพูดอะไรได้?
“ใจเย็นก่อนเถอะ มีบางอย่างแปลกๆนะ ดูนั่นสิ…” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวก็ประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่รู้ดีว่าจางเซวียนไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น จึงไม่ได้ร้อนใจเหมือนผู้อาวุโสฉิงหย่วน
ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสฉิงหย่วนรีบมองตรงหน้า
ระหว่างทางที่นำไปสู่บัลลังก์ที่อยู่ใจกลางจัตุรัส ผู้นำของทั้งสองสำนักกลายร่างเป็นชายหนุ่มอายุ 20 ปีอย่างรวดเร็ว
ฟึ่บ!
ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนบัลลังก์ จากนั้นก็แผ่รังสีสง่างามที่สร้างความยำเกรงให้กับฝูงชน ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัด
“ผมคือจางเซวียน!”
ชายหนุ่มกวาดสายตามองฝูงชนด้วยทีท่าน่าเกรงขาม จากนั้นก็พูดต่อ “พวกคุณจะเรียกผมว่าเจิ้งหยางหรือหลิวหยางก็ได้”
“เจิ้งหยาง?”
“หลิวหยาง?”
“นั่นคือชื่อของหัวหน้าหอนานาอสูรกับเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงไม่ใช่หรือ?”
“เดี๋ยวก่อน นั่นหมายความว่าเขาคือผู้นำของทั้ง 4 สำนักใช่ไหม?”
ในชั่วพริบตา ทั่วทั้งบริเวณนั้นก็เงียบกริบ
การที่เจ้าสำนักดาบเมฆเหินจะเป็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาวด้วยก็เหลือเชื่อพออยู่แล้วไม่นึกเลยว่าเขาจะประกาศตัวว่าเขาคือเจิ้งหยางกับหลิวหยางด้วย…
มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?
หานเจี้ยนชิวที่กำลังงุนงงรีบหันไปมองผู้อาวุโสที่ 1 ของตำหนักคว้าดาว เห็นอีกฝ่ายยืนอึ้ง เธอเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาหันไปมองผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสฉิงหย่วน ซึ่งทั้งคู่ก็ทำอะไรไม่ถูก
ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา แต่ละสำนักพากันประกาศว่าพวกเขาได้พบผู้สืบทอดตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว มีการโอ้อวดและเกทับตามมามากมาย แต่ลงท้าย…ก็กลับกลายเป็นว่าทุกคนเป็นคนเดียวกัน!
ช่างเป็นตลกร้ายที่ร้ายกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!
“ฮะ…”
ตรงกันข้ามกับความตกตะลึงของผู้คนโดยรอบ ไป่ซวนเฉิงกับกู้จุ้ยอวิ๋นหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินข่าวนั้น
ถ้า 4 สำนักมีผู้นำคนเดียวกัน…นั่นจะไม่หมายความว่าพวกเขาจะเป็นพันธมิตรต่อกันอย่างเหนียวแน่นหรือ? การจะขอยืมของล้ำค่าเพื่อการอารักขาสำนักคงไม่ง่ายอีกต่อไป
“แจ้งหัวหน้าขงให้ทราบเรื่องนี้เถอะ!”
ทั้งคู่สบตากันและพยักหน้า
หัวหน้าขงมอบหมายภารกิจให้พวกเขาหว่านล้อม 4 สำนักที่เหลือให้ยอมรับข้อเสนอ ทั้งคู่คิดว่าด้วยความดึงดูดใจของข้อเสนอครั้งนี้ ทุกคนคงตอบรับโดยไม่ลังเล เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีสำนักไหนอยากเสี่ยงกับการถูกทิ้งไว้ข้างหลังและไม่มีใครคบหา
แต่ทุกอย่างจะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งถ้า 4 สำนักใหญ่รวมตัวเป็นหนึ่งภายใต้ผู้นำคนเดียวกัน ถ้าเป็นอย่างนั้น แต้มต่อที่พวกเขาเคยมีต่อ 4 สำนักใหญ่จะลดน้อยถอยลงมาก
“จ้าวเยว่ หานเจี้ยนชิว ฉิงหย่วน และคุ่ยเฉี่ยว ผมอยากให้พวกคุณตามผมมา”
เมื่อพิธีสถาปนาเสร็จสิ้น จางเซวียนเรียกชื่อคนทั้งสี่ก่อนจะเชิญพวกเขาเข้าสู่ห้องรับแขกที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ท่านเจ้าสำนัก คุณคือ…เจิ้งหยางกับหลิวหยางจริงๆหรือ?” หานเจี้ยนชิวถามอย่างร้อนใจ
จางเซวียนพยักหน้า
หานเจี้ยนชิวสบตากับจ้าวเยว่ แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
คุ่ยเฉี่ยวกับฉิงหย่วนก็ไม่ต่างกัน
พวกเขาใช้เวลานานกว่าจะรับได้กับข้อเท็จจริงอันน่าตกตะลึงนี้
ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเป็นคนแรกที่พูดขึ้นหลังจากเกิดความเงียบงันยาวนาน “เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะแย่นะ อย่างน้อยที่สุด ผมคิดว่าพวกเราก็เห็นพ้องต้องกันแล้วว่ามีภัยคุกคามใหญ่หลวงรออยู่ พวกเราจำเป็นต้องยืนหยัดร่วมกันเพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ ถ้าจางเซวียนคือผู้รวบรวมจิตใจของพวกเราให้เป็นหนึ่งได้ เราก็จะแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก”
จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “หอเทพเจ้าพยายามลอบสังหารผม 3 ครั้งแล้ว และพวกเขาก็โจมตีตำหนักคว้าดาวกับหัวหน้าตู้อย่างเปิดเผย ผมไม่รู้ว่าหอเทพเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่เรื่องหนึ่งที่ชัดเจนก็คือพวกเขาจะไม่ทำตัวเป็นแค่ผู้เฝ้าดูเหตุการณ์อีกต่อไป ทุกอย่างจะน่าพรั่นพรึงทีเดียวหากตอนนี้พวกเรายังคงต่างคนต่างอยู่ ผมจึงหวังว่า 4 สำนักของพวกเราน่าจะผนึกกำลังและต่อสู้ไปด้วยกันได้”
ตัวเขาไม่ใส่ใจเรื่องการรวบรวมอำนาจ แต่หากคนนอกอย่างเขายังรู้สึกได้ว่าพายุใหญ่กำลังจะมา ถ้า 6 สำนักใหญ่ยังคงวางตัวเป็นเอกเทศต่อกัน ไม่ช้าไม่นานก็คงถูกเล่นงานจนล่มสลายไปทีละสำนัก!
“คุณถูกลอบสังหารถึง 3 ครั้ง?”
ทุกคนหันมามองจางเซวียนด้วยสีหน้าตกตะลึง
จางเซวียนจึงรีบอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่เป็นเหตุให้เขาถูกลอบสังหารถึง 3 ครั้ง
ฝูงชนตาค้างด้วยความไม่อยากเชื่อ
พวกเขานึกไม่ถึงว่าหอเทพเจ้าผู้สูงส่งจะกระเหี้ยนกระหือรือคร่าชีวิตของคนๆหนึ่งได้ขนาดนี้ ถึงขั้นส่งนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มาเล่นงานจางเซวียน…
และที่เหลือเชื่อกว่าก็คือชายหนุ่มสามารถเอาชีวิตรอดจากความพยายามลอบสังหารทั้ง 3 ครั้งได้ แถมยังเล่นงานคู่ต่อสู้จนแตกกระเจิงไปด้วย…ใครๆก็รู้ว่าต่อให้พวกเขาก็ยังรับมือกับเหล่านักรบของหอเทพเจ้าได้ยาก!
ดูเหมือนชายหนุ่มจะแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก
“หัวหน้าเจิ้ง คุณบอกว่าคุณทำให้อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 4 ตัวยอมจำนนได้สำเร็จหรือ?” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนถาม
จางเซวียนจึงเล่าเรื่องราวย่อๆของเต่าหลังดำและฉลามสามพี่น้อง
หลายปีมาแล้วที่หอนานาอสูรไม่เคยทำให้อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ยอมจำนนได้เลยสักตัว แต่ภายในระยะเวลาอันสั้น จางเซวียนก็ทำให้พวกมันยอมจำนนได้ถึง 4 ตัวด้วยความสามารถของเขาเอง…นี่มันเรื่องจริงหรือ?
“ใช่ พวกมันมาจากทะเลพลัดดาว” จางเซวียนตอบ
เขาใช้ความคิดแวบหนึ่ง จากนั้นก็เรียกเต่าหลังดำกับฉลามสามพี่น้องออกมา รังสีอันทรงพลังแผ่ซ่านไปทั่วห้อง
“นี่มัน…”
ทุกคนหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ
หานเจี้ยนชิวพึมพำอย่างตื่นเต้น นัยน์ตาเป็นประกาย “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าสมาพันธ์ของพวกเรามีกองกำลังของทะเลพลัดดาวร่วมด้วยใช่ไหม?”
“ใช่!”
ฝูงชนตาโตเมื่อได้รู้
หอเทพเจ้าคือกลุ่มอำนาจที่ผงาดเงื้อมเหนือทวีปที่ถูกลืมมาเนิ่นนานหลายปี ต่อให้ 4 สำนักผนึกกำลังกันก็ยังไม่มั่นใจว่าจะได้ชัยชนะ แต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหากพวกเขามีเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำจากทะเลพลัดดาวมาเข้าร่วม
ทะเลพลัดดาวนั้นกว้างใหญ่ไพศาล จำนวนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในนั้นก็มากมายจนนับจำนวนไม่ได้ เมื่อรวมตัวกัน พวกมันจะกลายเป็นกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าสำนักใดๆบนพื้นดิน
หากพวกเขาเข้าถึงกลุ่มอำนาจนี้ ก็เท่ากับมี 6 สำนักใหญ่ หรืออาจจะมากกว่าคอยหนุนหลัง!
“ฉลามสามพี่น้องรวบรวมเผ่าพันธุ์ในมหาสมุทรให้เป็นหนึ่งแล้ว มีเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำที่มีวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์หลายร้อยตัวที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา ทันทีที่มีคำสั่งออกไป พวกมันจะรวบรวมเผ่าพันธุ์ทั้งมหาสมุทรเพื่อเปิดการโจมตีดุเดือดทันที” จางเซวียนตอบ
ฉลามหมายเลข 1 ตั้งใจจะสร้างจักรวรรดิใต้น้ำ มันจัดการดึงเอากลุ่มอำนาจใหญ่ๆในมหาสมุทรมาเป็นพรรคพวกได้แล้วในระหว่างการประชุมในถ้ำใต้น้ำเมื่อวันก่อน ทันทีที่มันออกคำสั่ง ทั้งมหาสมุทรก็จะพร้อมใจกันเคลื่อนไหว
เมื่อได้รู้ว่าพวกเขาทรงพลังกว่าที่คิดไว้มาก ทุกคนได้แต่มองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างยำเกรง
ถึงพวกเขาจะต้องการผู้นำที่สามารถรวมสำนักต่างๆให้เป็นหนึ่งเดียวได้ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ แต่ก็ยังกังวลว่าคนหนุ่มอย่างจางเซวียนจะทำได้ดีหรือเปล่า เพราะถึงอย่างไรแต่ละสำนักก็มีความแตกต่างกัน พวกเขาอยากได้ใครสักคนที่ทรงพลังและมีการตัดสินใจมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวพอที่จะควบคุมทุกสำนักให้อยู่ในระเบียบได้
แต่กลับกลายเป็นว่าจางเซวียนมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ทั้งยังมีอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 4 ตัวกับของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อีก 2 ชิ้นด้วย และที่เหนือกว่านั้น ทั้งมหาสมุทรก็สนับสนุนเขา
คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะกล่าวว่าอิทธิพลระดับนี้เทียบชั้นได้แม้แต่กับหัวหน้าขงเลยทีเดียว
ด้วยพละกำลังที่เขามีอยู่ในมือ คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่พยายามจะมีปัญหากับสมาพันธ์และหาเรื่องทำให้จางเซวียนขุ่นเคือง
“เจ้าสำนักหลิว สะพานเบื้องบนกำลังจะลงมาในไม่ช้า ถึงเวลาที่พวกเราต้องมุ่งหน้าไปยังโขดหินสมอสวรรค์แล้ว ในฐานะผู้นำของ 4 สำนัก คุณคิดว่าเราควรจัดสรรโควตาอย่างไร?” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวตั้งคำถาม
ความคิดเบื้องต้นของพวกเขาก็คือให้ผู้นำของแต่ละสำนักเป็นผู้เข้าท้าทายสะพานเบื้องบน แต่ในเมื่อทั้ง 4 สำนักมีผู้นำคนเดียวกัน ก็แปลว่ามีโควต้าแค่ 3 ที่
“ผมจะใช้โควตาของตำหนักคว้าดาว ส่วนสำนักดาบเมฆเหิน สำนักดาวเจ็ดดวงและหอนานาอสูร ให้พวกคุณเสนอชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อร่วมเดินทางไปสู่สะพานเบื้องบนกับผม” จางเซวียนพูด
เหตุผลที่เขาตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะตำหนักคว้าดาวมีโลหิตเทพเจ้า ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีวิถีทางที่จะบ่มเพาะนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้ อันที่จริง นอกจากตู้ชิงหย่วนแล้ว ในเวลานี้ก็ยังมีอีกคนหนึ่ง
ดังนั้น ตำหนักคว้าดาวจึงไม่ได้อยู่ในสถานภาพย่ำแย่อย่างสำนักอื่น