อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2129 ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น…
เมื่อรับหน้าที่แล้ว ซุนฉางก็ยังไม่จากไป เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตั้งคำถาม” นายน้อย ผมหวังว่าคุณจะไม่ตำหนิผมที่เข้าไปก้าวก่ายกิจธุระของคุณมากเกินไป แต่นายหญิงฉีฉีก็ทำอะไรเพื่อคุณมามาก…คุณไม่รู้สึกอะไรกับเธอเลยจริงๆหรือ?”
ในฐานะผู้ที่น่าจะใกล้ชิดกับจางเซวียนมากที่สุดเมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ซุนฉางรู้ดีว่าหลัวฉีฉีคิดอย่างไรกับจางเซวียน
เพื่อจางเซวียน เธอพร้อมจะเป็นศัตรูกับสมาชิกทุกคนในตระกูล ยอมแม้เสียสละตัวเอง…แต่จางเซวียนกลับไม่แสดงอาการว่าจะตอบรับความรู้สึกของเธอเลย
จางเซวียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม “ผมไม่รู้สึก”
ตั้งแต่สมัยอยู่ที่อาณาจักรเทียนเซวียน มีสุภาพสตรีมากมายสนใจเขา ทั้งเสิ่นปี้หรู โม่หยู่ จ้าวเฟยอู่ หูเหยาเหย่า หยู่เฟยเอ๋อ…ทุกคนล้วนแต่งดงามชวนตะลึงและโดดเด่นสะดุดตา แต่เขาไม่รู้สึกอะไรกับสุภาพสตรีเหล่านั้นเลย
กับหลัวฉีฉีก็ไม่ต่างกัน
อาจจะดูลิเกไปสักหน่อยหากจะพูดแบบนี้ แต่ดูเหมือนหัวใจของเขาจะมีไว้เต้นเพื่อหลัวลั่วชิงเท่านั้น มีบางอย่างในตัวเธอที่ดึงดูดใจเขา แม้ทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่เขาก็ไม่อาจลืมเธอได้เลย
หัวใจของเขาไม่เหลือที่ว่างไว้ให้ใครอีก
“เธอเป็นสาวน้อยน่ารัก แต่คุณก็ไม่รู้สึกอะไรกับเธอเลย…ช่างเป็นชายที่เลือดเย็นอะไรอย่างนี้…” ซุนฉางพึมพำ
ถึงเขาจะเป็นแค่พ่อบ้านของจางเซวียน แต่ก็อดรู้สึกแย่แทนหลัวฉีฉีไม่ได้
“ชายเลือดเย็น…” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความหงุดหงิดขณะถลึงตา
ความคิดหนึ่งกระทบใจเขา
หรือเขาจะเป็นชายผู้เลือดเย็นไร้ความรู้สึกจริงๆ?
แน่นอนว่าไม่!
สิ่งที่เขารู้สึกกับท่านพ่อท่านแม่อาจจะดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เขาก็มีความรู้สึกนั้นอยู่ ส่วนการดูแลเอาใจใส่ที่เขามีให้บรรดาลูกศิษย์กับคนรอบตัว ก็เป็นของจริงเหมือนกัน เขาไม่ใช่คนที่ชอบแสดงออกว่ารู้สึกอย่างไร แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนเย็นชาไร้อารมณ์
เมื่อลองนึกดู นับตั้งแต่เขาทะลุมิติมาและได้ครอบครองหอสมุดเทียบฟ้า ความปรารถนาในอารมณ์โรแมนติกก็ดูเหมือนจะมอดดับ
ในชีวิตเก่า เขาเป็นแค่บรรณารักษ์ธรรมดาๆคนหนึ่ง และตายไปทั้งที่ยังโสด อันที่จริง เขาควรจะตื่นเต้นกับการที่มีสาวสวยมากมายมาให้ความสนใจ แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย
ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับหลัวลั่วชิงและบรรดาศิษย์สายตรงของเขา เขาพบว่าตัวเองยังคงใช้เหตุผลได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ใช่เพราะเขาไร้อารมณ์หรือความรู้สึก แต่อารมณ์ของเขาแทบจะไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายการใช้เหตุผล
บ่อยครั้งที่แม้แต่ในสถานการณ์คับขัน จางเซวียนก็สามารถวิเคราะห์ทุกอย่างได้ด้วยจิตใจที่สุขุมเยือกเย็น
เขาเคยคิดว่ามันน่าจะเป็นผลจากการทำความเข้าใจสภาวะหัวใจน้ำนิ่งได้สำเร็จ แต่เมื่อดูๆไป ทุกอย่างไม่น่าจะง่ายดายอย่างที่คิด
หรือว่านี่คือผลกระทบของการครอบครองหอสมุดเทียบฟ้า?
ในโลกใบเก่าของเขามีคำพูดหนึ่งที่ว่า ‘สรวงสวรรค์คงอ่อนล้าหากพวกเขามีความรู้สึก’ ไม่ว่าจะเป็นลิขิตสวรรค์หรือมลทินสวรรค์ ก็ล้วนแต่เป็นความสามารถที่อยู่บนพื้นฐานของการใช้เหตุผลทั้งนั้น ในสรวงสวรรค์ไม่มีที่ทางให้กับอารมณ์และความรู้สึก
ธรรมชาติของสรวงสวรรค์ที่ไม่ยอมประนีประนอมเรื่องใดๆคือสิ่งที่ทำให้ทุกชีวิตมีค่าเท่ากันในสายตาของพวกเขา
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนโลก ก็ไม่ใช่กงการของสวรรค์ วัฏจักรธรรมชาติของโลกไม่เคยหยุดยั้งเพื่อใคร ไม่เลยสักนิด
ตลอดเวลาที่ผ่านมา จางเซวียนไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่เมื่อได้ฟังซุนฉาง ก็พลันนึกได้
มันทำให้เขานึกสงสัยว่าบางทีหอสมุดเทียบฟ้าอาจค่อยๆกัดกร่อนอารมณ์ความรู้สึกของเขาออกไปทีละน้อย เพราะถึงอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลัวฉีฉีได้ทำอะไรเพื่อเขามากมาย ถ้าเป็นคนอื่นที่อยู่ในสถานภาพเดียวกับเขา ป่านนี้คงใจอ่อนแล้ว แต่เขายังคงไม่หวั่นไหว ราวกับไร้อารมณ์และความรู้สึก
อันที่จริง เมื่อย้อนคิดดู ก็ดูเหมือนว่าเขามองเรื่องนี้จากมุมมองของคนนอกมาตลอด ทำให้วิเคราะห์ทุกอย่างโดยใช้แค่ตรรกะและเหตุผล
เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าอารมณ์รูปแบบอื่นจะสลายไปจากตัวเขาด้วยไหมหากไอสีเทาเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกที่เขามีต่อหลัวลั่วชิงจะมอดดับไปด้วยหรือเปล่าเมื่อเขาถูกสวรรค์กลืนกิน?
เมื่อเกิดความคิดนั้นขึ้นมา จางเซวียนก็พลันเข้าใจ
ลิขิตสวรรค์ทำให้ทุกชีวิตต้องทำตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ขณะที่มลทินสวรรค์กะเกณฑ์ให้พวกเขาล้วนแต่ไม่สมบูรณ์แบบและมีข้อบกพร่อง…มีแต่ความรู้สึกเท่านั้นที่ไม่โอนอ่อนตามหลักการและเหตุผล มันบงการให้ผู้คนทำทุกอย่างที่อยู่เหนือขอบเขตของเหตุผลไป…
โลกนี้มีอะไรมากมายที่มีระเบียบกฎเกณฑ์เฉพาะให้พวกเขาทำตาม…แต่จำเป็นด้วยหรือที่อารมณ์และความรู้สึกจะต้องเชื่อฟังกฎเกณฑ์นั้น?
แน่นอนว่าไม่!
ถ้าความรู้สึกเป็นเรื่องมีเหตุมีผล ในครั้งนั้น เมื่อทั้งโลกต้องการให้เขาแต่งงานกับหลัวฉีฉีเพื่อปกปักรักษาโลกใบนี้ไว้ เขาก็คงหลงรักเธอไปแล้ว แต่ลงท้ายเขากลับมีใจให้หลัวลั่วชิงแทน
โลกนี้มีเรื่องไร้เหตุผลมากมายที่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้ หากคนคนหนึ่งควบคุมอารมณ์ของเขาได้จริงๆ ใครเล่าจะไม่อยากรักษาความมั่นคงนั้นไว้?
แต่น่าเสียดายที่สิ่งที่ควบคุมได้ยากที่สุดในโลกก็คืออารมณ์ มันเป็นสภาวะพิเศษที่ทำให้ผู้คนอับจนปัญญาและไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน
อารมณ์และความรู้สึกมีข้อบกพร่องไหม? ความรักมีมลทินหรือเปล่า?
ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น…
แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็มอบสีสันให้กับชีวิต ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนพร้อมอุทิศตัวเพื่อไขว่คว้าตามหาความรัก พวกเขาเต็มใจสละตัวเองเพื่อหวังว่าจะได้รับการเติมเต็ม…
ถ้าอย่างนั้น บางทีก็ควรจะเรียกอารมณ์และความรู้สึกว่าสิ่งมหัศจรรย์ของชีวิต
เราเข้าใจแล้ว…
นัยน์ตาของจางเซวียนฉายแววคมปลาบ
สรวงสวรรค์คงอ่อนล้าหากพวกเขามีความรู้สึก…ถ้าความรู้สึกคือสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของสวรรค์ แล้วเราจะมัวคิดมากทำไม? แล้วเทคนิควรยุทธที่เราเสาะแสวงหามาเนิ่นนาน…
จางเซวียนใช้เวลา 3 ปีไปกับมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แต่ลงท้ายเขาก็จนมุมกับความคิดของตัวเอง
เขาพยายามเสาะแสวงหาหนทางที่จะก้าวข้ามสวรรค์ แต่จะทำอะไรได้กับเคล็ดวิชาเทียบฟ้าที่ปราศจากข้อบกพร่อง?
ต่อให้ขัดเกลาได้ดีแค่ไหน อย่างมากที่สุดก็ทำได้แค่คิดค้นเทคนิควรยุทธที่ทัดเทียมกับมัน ไม่มีทางเหนือชั้นไปกว่าได้เลย
นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขายังคงไม่ประสบความสำเร็จแม้จะใช้ความพยายามถึง 3 ปี
เพิ่งตอนนี้เองที่จางเซวียนรู้ตัวว่าเขาเดินผิดทางมาตั้งแต่ต้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามีสิ่งที่เหนือกว่าสรวงสวรรค์อยู่ภายใน!
มีผู้คนมากมายที่ยอมให้ความรักอยู่เหนือทุกหลักการและเหตุผล เนิ่นนานมาแล้วหลายพันปี
มีผู้คนนับไม่ถ้วนที่เต็มใจสละชีวิตเพื่อปกป้องคนที่พวกเขารัก
ความเป็นญาติพี่น้อง ความเป็นมิตรสหาย ความรัก…
หลัวฉีฉีเต็มใจมอบทุกอย่างให้เขาโดยไม่นึกเสียใจ
จางหงเทียนพร้อมมอบแม้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายเพื่อปกป้องมวลมนุษย์ไว้โดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน
นักปราชญ์โบราณเหยียนฮุ่ยเต็มใจสละศพของเขาเพื่อปิดตายฉนวนของทางเดินแห่งมิติที่นำไปสู่มิติเบื้องบนไว้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นทวีปแห่งปรมาจารย์หรือมิติเบื้องบน มีการตัดสินใจมากมายในชีวิตที่เกิดขึ้นด้วยอารมณ์และความรู้สึกแทนที่จะเป็นเหตุผล
เวลาในทวีปแห่งปรมาจารย์ผ่านไปหลายหมื่นปีแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่นานพอจะลบเลือนความยิ่งใหญ่ของปรมาจารย์ขง สวรรค์คร่าชีวิตผู้คนไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่ความเคารพยกย่องอย่างล้ำลึกที่พวกเขามีให้ปรมาจารย์ขงก็ยังคงหนักแน่นไม่สั่นคลอน
แม้แต่สวรรค์ที่มีเหตุผลที่สุดก็ไม่อาจเอาชนะอารมณ์กับความรู้สึกที่ปราศจากเหตุผลได้…
บึ้มมมม!
ร่างของจางเซวียนกระตุกขณะกระแสพลังงานพวยพุ่งออกจากจุดตันเถียน เขารู้สึกได้ว่าด่านคอขวดของวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ปลดปล่อยตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ซุนฉาง ขอบใจนะ!” จางเซวียนมองหน้าซุนฉางและหัวเราะลั่น
จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินเข้าห้อง
“เอ่อ…”
เห็นนายน้อยขอบใจเขาแทนที่จะโกรธกริ้วกับคำพูดที่ดูจะไม่เหมาะสม ซุนฉางกระพริบตาอย่างงุนงง
หรือว่านายน้อย…เสียสติไปแล้ว?
ส่วนเฉาเฉิงลี่ก็อ้าปากค้างกับภาพที่เห็น
ในครั้งนั้น เป็นเพราะเขาทำให้นายน้อยขุ่นเคืองโดยไม่ได้เจตนา อีกฝ่ายจึงบีบบังคับให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากมาอยู่ที่นี่ แต่พอเจ้าอ้วนคนนี้พูดจาดูถูกนายน้อย ไม่เพียงแต่นายน้อยจะไม่ตำหนิ ยังถึงกับกล่าวขอบใจด้วย…
เมื่อลองนึกดู ก็รู้สึกเหมือนว่านายน้อยจะไม่เคยแสดงความสนใจสุภาพสตรีคนไหนเลย หรือว่า…เขามีใจให้ซุนฉาง?
เฉาเฉิงลี่หันขวับไปมองซุนฉาง แต่แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
นายน้อยจะต้องมีรสนิยมแบบไหนถึงชอบหมอนี่ได้!
จางเซวียนกลืนยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ลงไปเม็ดแล้วเม็ดเล่า เขาปลดปล่อยรังสีพิเศษที่ได้จากแท่นรูปวงกลมบริเวณสะพานเบื้องบนออกมา ให้มันหมุนวนรอบตัวเขาราวกับพายุทอร์นาโด
จางเซวียนนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางกระแสบรรยากาศหนักอึ้ง วรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ของเขาค่อยๆขยับสูงขึ้นทีละน้อย หลังจากฝ่าด่านคอขวด จางเซวียนก็เห็นยอดเขาสูงตระหง่านอีกยอดหนึ่งปรากฏตรงหน้า มันเป็นภูเขาที่สูงลิ่วขึ้นไปถึงสวรรค์
เพราะได้ซึมซับพลังงานจากยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ จางเซวียนจึงสามารถรวบรวมพละกำลังได้มากพอที่จะปีนป่ายภูเขานั้น
ในที่สุด เมื่อเขาปีนขึ้นไปถึงยอด ก็เห็นร่างที่มีใบหน้าคุ้นตายืนอยู่ตรงหน้า-ซุนฉาง!
ซุนฉางกำลังเดินวนไปมาอยู่บนยอดเขาอย่างร้อนรน เขาติดกับและไม่อาจออกจากยอดเขานี้ได้
ความทรงจำในอดีตที่จางเซวียนเคยมีกับซุนฉางค่อยๆลอยเข้ามา
“นายท่าน คุณมาหาซื้อบ้านใช่ไหม?” นี่คือคำแรกที่ซุนฉางพูดเมื่อแรกพบกัน
“คนรับใช้ผู้ถ่อมตัวของคุณชื่อซุนฉาง คุณจะเรียกผมว่าเสี่ยวฉางก็ได้!” นี่คือคำที่ซุนฉางพูดเมื่อทั้งคู่ตกลงเป็นนายท่านและพ่อบ้านของกันและกัน
เวลาเดินหน้าไปอย่างไม่ลดละราวกับสายน้ำไหล ซุนฉางอาจไม่ใช่ลูกน้องที่ไว้วางใจได้มากที่สุด และนิสัยคุยโวโอ้อวดของอีกฝ่ายก็ขัดกับความถ่อมเนื้อถ่อมตัวของจางเซวียนมาก แต่เวลา 2 ปีที่อยู่ด้วยกันทำให้คุ้นชินกับการมีตัวตนอยู่ ทั้งยังเข้าใจอารมณ์และนิสัยของกันและกันเป็นอย่างดี
จางเซวียนหมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนวรยุทธ ทิ้งกิจธุระเบ็ดเตล็ดไว้ให้ซุนฉางจัดการ กว่าเขาจะรู้ตัว ความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านกับพ่อบ้านก็กลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญใหญ่หลวง ไม่มีใครจะแทนที่ซุนฉางได้
จางเซวียนพึมพำ “ผมจะช่วยคุณ”
เขาเงื้อมือขึ้นและสับลงไปอย่างแรง