อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2134 หมอนั่นคิดอะไรอยู่?
ค่ายกลกักกันไม่ได้ปิดกั้นเฉพาะประสาทสัมผัสของนักรบ แต่ยังสกัดกั้นจิตวิญญาณของผู้นั้นด้วย วิธีเดียวที่จะเอาชนะมันได้ก็คือละทิ้งการใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดไป ใช้แต่สัญชาตญาณดั้งเดิมเพื่อแยกแยะและระบุที่มาของเสียงน้ำหยด
อันที่จริง เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยกับความเข้าใจเรื่องค่ายกล เพราะขอแค่ใครสักคนมีสภาวะจิตที่แข็งแกร่งและสงบนิ่ง ก็จะค้นพบทางออกและเอาชนะบททดสอบได้อย่างง่ายดาย
“คุณเอาชนะค่ายกลหัวใจสูญเสียความทรงจำได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 ใน 10 ของที่กำหนดไว้ พิสูจน์ให้เห็นว่าทั้งวรยุทธและสภาวะจิตของคุณนั้นแข็งแกร่งมาก คุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้ขึ้นไปชั้น 2” เสียงปรมาจารย์ขงดังขึ้น
จากนั้น บันไดหินอันหนึ่งก็ทอดตัวลงมาจากด้านบน
“ค่ายกลหัวใจสูญเสียความทรงจำ? มีคุณสมบัติเพียงพอ? คุณคิดบ้าอะไรอยู่?” จางเซวียนตวาดด้วยความงุนงงอย่างหนัก
เขาคิดว่าปรมาจารย์ขงน่าจะเตรียมนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ไว้มากมายนับไม่ถ้วนเพื่อโจมตีเขาทันทีที่เขาถูกส่งทะลุมิติผ่านค่ายกลเข้ามา แต่ทั้งหมดที่อีกฝ่ายทำคือจับเขาใส่เข้าไปในค่ายกลกักกัน และตอนนี้ก็บอกว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้ขยับไปชั้น 2…
หมอนั่นคิดอะไรอยู่?
แต่จางเซวียนก็พบแค่ความว่างเปล่า ข้อข้องใจของเขายังคงไม่ได้รับคำตอบ
จางเซวียนสูดหายใจลึก จากนั้นก็เดินขึ้นสู่บันไดหิน
ทันทีที่ออกเดินก้าวแรก ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ ราวกับพยายามจะผลักจิตวิญญาณของเขาให้หลุดออกจากร่าง
แรงกดดันนี้น่าจะมีต้นกำเนิดจากเทพเจ้า…จางเซวียนหน้านิ่วคิ้วขมวดและครุ่นคิดขณะเดินขึ้นบันไดต่อไป
แรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ทำให้เขารู้สึกถึงความอับจนหนทางที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ราวกับมันกำลังบั่นทอนสายเลือดและพลังชีวิตของเขา
มันคือความหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ เหมือนกับการที่มนุษย์ขาสั่นเมื่อเผชิญหน้ากับเสือ
นี่เป็นความรู้สึกที่มาจากส่วนลึกในจิตวิญญาณของเขา เขาไม่มีทางหลีกเลี่ยงมันได้
แต่ถึงอย่างไร บททดสอบระดับนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
จี้ที่ห้อยอยู่รอบลำคอของจางเซวียนเรืองแสงอบอุ่นออกมา ช่วยสลายแรงกดดันที่อยู่รอบตัว
จางเซวียนเดินขึ้นบันไดไปโดยไม่มีปัญหาอะไร ไม่ช้าก็มาถึงบริเวณชั้น 2 ของพระราชวัง
เหมือนกับที่ผ่านมา เขาพบห้องโถงขนาดใหญ่ มีภาพวาด 8 ภาพติดตั้งอยู่ในลักษณะของค่ายกลแปดเหลี่ยม มันแขวนอยู่บนผนังที่อยู่ตรงหน้าเขา ราวกับกำลังพยายามปกปิดอะไรบางอย่าง
จางเซวียนพินิจพิจารณาภาพวาดเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน
ภาพวาดดังกล่าวเป็นภาพของชาย 8 คน แต่ละคนถืออาวุธต่างชนิดกันไป คนหนึ่งถือดาบ คนหนึ่งถือกระบี่ คนหนึ่งถือแส้เหล็ก อีกคนถือค้อนโลหะ…
ขณะที่จางเซวียนเดินตรงไปหาภาพวาด ก็รู้สึกได้ถึงความคมกริบที่แผ่ซ่านออกมาจากภาพเหล่านั้น
“ภาพวาดพวกนี้อาจไม่ใช่ผลงานศิลปะที่น่าทึ่งอะไร แต่แน่นอนว่าผู้วาดมีทักษะชั้นยอด ด้วยการสะบัดฝีแปรงเพียงไม่กี่ครั้ง ก็สามารถถ่ายทอดแก่นสารของผู้เป็นแบบลงไปในภาพวาดได้…”
ความเชี่ยวชาญด้านการวาดภาพของจางเซวียนเข้าถึงระดับ 9 ดาวตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาไม่กล้าอวดอ้างว่าทักษะการวาดภาพของเขาเทียบเท่ากับปรมาจารย์ขง แต่อย่างน้อยก็ไม่คิดว่าจะอ่อนด้อยกว่าอีกฝ่ายสักเท่าไหร่
ภาพวาดที่อยู่ตรงหน้าเขาล้วนแต่เรียบง่าย ถึงขนาดที่ต่อให้จิตรกรระดับ 3 ดาวของทวีปแห่งปรมาจารย์ก็รังสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพระดับนี้ได้สบาย แต่สิ่งที่ทรงพลังในภาพวาดเหล่านี้คือมันสามารถดึงเอาพลังและบุคลิกลักษณะของชายทั้ง 8 ออกมาได้อย่างละเอียดแม่นยำ
นี่คือความสามารถที่แม้แต่จางเซวียนก็ยังทำไม่ได้
“หรือจะเป็นภาพวาดของเทพเจ้า?”
จางเซวียนคิดว่าคงมีแต่เทพเจ้าตัวจริงเท่านั้นที่สามารถถ่ายทอดพลังอันน่าทึ่งผ่านพู่กันเข้าสู่ภาพวาดที่แสนธรรมดาสามัญ และรักษาพละกำลังของมันไว้ได้เนิ่นนานหลายปี
ในบรรดาภาพวาดทั้ง 8, มี 6 ภาพที่เป็นภาพสี หนึ่งในนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา ทำให้ดูคล้ายกับภาพถ่ายขาวดำ และอีกภาพสูญเสียสีไปครึ่งหนึ่ง ทำให้เป็นภาพที่ไม่สมบูรณ์ ยากจะบอกได้ว่าจิตรกรลงสีไม่ครบถ้วนตั้งแต่แรก หรือมันซีดจางไปตามกาลเวลา
จางเซวียนศึกษาภาพวาดอีกครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้เงื่อนงำที่เป็นประโยชน์ และไม่ได้ยินเสียงปรมาจารย์ขงด้วย
เขาจึงเดินเข้าไปพิจารณาภาพวาดภาพหนึ่งใกล้ๆ
ในห้องโถงขนาดใหญ่แห่งนั้นไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากภาพวาดแปดภาพ จางเซวียนจึงคิดว่ากุญแจของการเดินหน้าต่อไปจะต้องอยู่ในภาพวาด เขาน่าจะต้องค้นหาความลับในภาพวาดเหล่านั้นให้ได้
ภาพวาดที่จางเซวียนเดินเข้าไปดูคือภาพชายกล้ามใหญ่คนหนึ่งที่มีดวงตาโตราวกับระฆัง เขาถือค้อนโลหะอันใหญ่ไว้ในมือข้างละอัน กล้ามเนื้อปูดโปนบ่งบอกถึงพละกำลังที่มี จางเซวียนยื่นมือออกไปสัมผัสภาพวาดอย่างลังเล
ฟึ่บ!
จางเซวียนหายวับไป เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง ก็มาอยู่ในท้องทุ่งกว้างใหญ่ที่รกร้างว่างเปล่า
มันเป็นโลกสีขาวโพลน ปราศจากความเขียวชอุ่มและสีสันอื่นๆอย่างสิ้นเชิง ราวกับเขาได้เข้าสู่ความฝันที่เป็นภาพลวงตา
“ออกตัวมาเลย!”
จางเซวียนเงยหน้า เห็นชายกล้ามใหญ่พร้อมค้อนโลหะสองอันในมือกำลังจ้องหน้าเขาอย่างโกรธเกรี้ยว
“นี่เรา…เข้ามาอยู่ในภาพวาดหรือ?” จางเซวียนผงะ
ชายกล้ามใหญ่ตรงหน้าเขาคือชายที่อยู่ในภาพวาด ดูเหมือนเขาจะหลุดเข้ามาในภาพวาดจริงๆ!
“ทำไมผมต้องสู้กับคุณด้วย?” จางเซวียนขมวดคิ้วขณะมองชายตรงหน้าที่กำลังโกรธเกรี้ยว
เขาพยายามคิดตามว่ามันเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายถึงยุให้เขาโจมตี
“ถ้าคุณไม่สู้กับผมล่ะก็ จะต้องถูกขังอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต!” ชายกล้ามใหญ่คำราม
เขากวัดแกว่งค้อนเข้าใส่โดยไม่สนใจว่าจางเซวียนจะอยากสู้หรือไม่
ยังไม่ทันจะถึงตัว พละกำลังมหาศาลจากค้อนก็ทำให้แผ่นหลังของจางเซวียนชุ่มเหงื่อ
จางเซวียนประหลาดใจที่พบว่าพละกำลังของชายกล้ามใหญ่เหนือกว่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่เขาได้พบที่ทะเลพลัดดาวเสียอีก…อันที่จริง น่าจะเหนือชั้นกว่าแม้แต่ปรมาจารย์ขงด้วยซ้ำ!
“เทพเจ้า…”
ในตอนนั้น จางเซวียนรู้ทันทีว่าต่อให้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่เทพเจ้า ก็คงไม่ห่างไกลจากนั้นเท่าไหร่
จางเซวียนเงื้อมือเพื่อจะชักดาบออกมา แต่แล้วก็พบว่าการเชื่อมโยงระหว่างตัวเขากับแหวนเก็บสมบัติถูกตัดขาดไป และในเวลาเดียวกัน ค้อนโลหะขนาดมหึมาคู่หนึ่งก็มาอยู่ในมือของเขา
จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียดเพราะไม่คิดว่าตัวเลือกในการใช้อาวุธจะถูกจำกัดตามภาพวาด เขาคงไม่คิดอะไรหากเป็นอาวุธชนิดอื่น แต่เพราะไม่เคยฝึกฝนเทคนิควรยุทธไหนที่ต้องใช้ค้อนมาก่อน!
ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะตั้งตัวติด ชายกล้ามใหญ่ก็กวัดแกว่งค้อนโลหะเข้าใส่กระดูกซี่โครงของเขา
ความได้เปรียบของการต่อสู้ด้วยค้อนคือแรงเหวี่ยงอันทรงพลังที่เกิดจากน้ำหนักของมัน ทำให้นักรบผู้นั้นมีพละกำลังเพิ่มขึ้นอีกมาก แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่นักรบผู้ใช้ค้อนจะว่องไวเหมือนนักดาบ แต่พละกำลังมหาศาลจากค้อนก็สามารถสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้
จางเซวียนถอยไปก้าวหนึ่งเพื่อหลบหลีกการโจมตีขณะคิดวนเวียนอย่างร้อนใจ เราคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเรียนรู้มันเดี๋ยวนี้…
แม้จางเซวียนจะไม่เคยฝึกฝนเทคนิควรยุทธหรือสไตล์การต่อสู้ที่ต้องใช้ค้อนมาก่อน แต่ก็รวบรวมหนังสือเทคนิคการต่อสู้ที่เกี่ยวกับค้อนไว้ได้จำนวนหนึ่ง เพียงแต่เขาทิ้งมันไว้บนชั้นหนังสือของหอสมุดเทียบฟ้า ไม่เคยคิดจะศึกษาหรือประมวล
ในเมื่อตอนนี้ใช้ได้แค่ค้อน ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรีบศึกษามัน
ประมวล!
จางเซวียนรวบรวมหนังสือทั้งหมดที่เกี่ยวกับการใช้ค้อนเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ประมวลขึ้นเป็นหนังสือเล่มใหม่เอี่ยม
เขาใช้นิ้วแตะหนังสือที่เพิ่งประมวลใหม่ ความรู้ถูกถ่ายทอดเข้าสู่สมองของเขาทันที
จางเซวียนยังกังวลเรื่องไอสีเทาที่จะเพิ่มปริมาณขึ้นทุกครั้งที่เขาใช้หอสมุดเทียบฟ้า แต่ด้วยความคับขันของสถานการณ์ ก็ไม่อาจใส่ใจเรื่องนั้นได้มากนัก
ต่อไปค่อยหาวิธีแก้ไขก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้น คงต้องตายเพราะชายกล้ามใหญ่กับค้อนยักษ์ 2 อันนี้
การฉีกกระชากของสวรรค์ทำให้หอสมุดเทียบฟ้าไม่อาจระบุข้อบกพร่องของวัตถุใดๆได้ แต่เขายังสามารถเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าและเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ในนั้น
ขณะหลบหลีกการโจมตีของชายกล้ามใหญ่ จางเซวียนก็รีบซึมซับศิลปะการใช้ค้อนเทียบฟ้าและเปลี่ยนมันให้เป็นความรู้ของเขา
เมื่อทำความเข้าใจศิลปะการใช้ค้อนเทียบฟ้าได้ทั้งหมด รังสีของจางเซวียนก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในชั่วพริบตา รังสีนั้นก็หนักแน่นราวกับขุนเขา ดูเหมือนจะไม่หวั่นไหวกับสิ่งใดทั้งนั้น
ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!
จางเซวียนใช้ค้อนปะทะกับชายร่างใหญ่ แต่นั่นดูจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก น่าประหลาดใจที่ศิลปะการใช้ค้อนเทียบฟ้าของเขาอ่อนด้อยกว่าเทคนิคการต่อสู้ของชายกล้ามใหญ่อย่างเห็นได้ชัด จางเซวียนยังพอใช้พละกำลังรับมือได้ อย่างน้อยที่สุดก็สูสีกับพละกำลังของชายกล้ามใหญ่ แต่แรงปะทะแต่ละครั้งทำให้แขนของเขาได้รับบาดเจ็บหนักขึ้นเรื่อยๆ
โชคดีที่ดูเหมือนอีกฝ่ายก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ความเร็วในการโจมตีของชายกล้ามใหญ่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ถึงอย่างไรก็คงเอาชนะเขาได้ยาก พลังปราณของเราคงหมดเสียก่อน คงต้องหาวิธีอื่น…”
ถึงชายกล้ามใหญ่จะเป็นแค่คนในภาพวาด แต่พละกำลังของเขาเกือบจะเทียบชั้นได้กับเทพเจ้า จางเซวียนยังพอรับมือกับอีกฝ่ายไหวหลังจากที่เขาสำเร็จวรยุทธเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว แต่การจะเอาชนะนั้นไม่ง่ายเลย
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ต่อให้สุดท้ายเขาเป็นฝ่ายชนะ ก็คงเหนื่อยอ่อนจนแทบสิ้นชีพ
เรื่องนี้ถือว่าอันตรายมาก โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่รู้ว่าตอนนี้ปรมาจารย์ขงอยู่ที่ไหนและคิดจะทำอะไร
ศิลปะการใช้ค้อนของชายกล้ามใหญ่ลึกซึ้งกว่าศิลปะการใช้ค้อนเทียบฟ้าของเราเสียอีก ถ้าหลอมรวมกระบวนท่าของเขาเข้ากับเทคนิคการต่อสู้ของเราได้ ก็น่าจะเอาชนะได้สำเร็จ…จางเซวียนคิด
ถึงเขาจะได้ฝึกฝนศิลปะการใช้ค้อนเทียบฟ้า แต่ก็ดูออกว่าเทคนิคการต่อสู้ของเขายังอ่อนด้อยกว่าคู่ต่อสู้อยู่เล็กน้อย เว้นเสียแต่เขาจะศึกษากระบวนท่าของอีกฝ่าย นำมันมาหลอมรวมเข้ากับกระบวนท่าของเขาเองและประมวลขึ้นเป็นเทคนิคการต่อสู้ใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมขึ้นมา ไม่อย่างนั้น การต่อสู้ครั้งนี้ก็จะเป็นงานยาก
เมื่อคิดได้ จางเซวียนรีบพิจารณากระบวนท่าของชายกล้ามใหญ่
ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!
อีกฝ่ายยังคงเดินหน้ากดดันเขาด้วยการโจมตีอย่างดุเดือด ขณะที่จางเซวียนฉวยโอกาสนี้จดจำทุกกระบวนท่า
หลังจากปะทะกันไปกว่าร้อยครั้ง จางเซวียนก็เลิกคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ
ศิลปะการใช้ค้อนของอีกฝ่ายมีกระบวนท่าพื้นฐาน 12 กระบวนท่า ซึ่งทุกอย่างที่นอกเหนือจากนั้นเป็นแค่การปรับเปลี่ยนและการขยายความ 12 กระบวนท่าที่กล่าวมาเท่านั้น?