อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2148 คุ้มกันเจ้าสำนัก!
ตอนแรก มันไม่ได้ใส่ใจการบรรยาย เพราะรู้ดีว่าในสภาพที่เป็นอยู่นี้ คงไม่มีทางยกระดับวรยุทธได้อีกแล้ว แต่หลังจากฟังไปสักครู่ กระดองของมันก็ค่อยๆเรืองแสงสีแดงก่ำออกมาขณะที่กระแสพลังจิตวิญญาณซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย กว่ามันจะรู้ตัว วรยุทธของมันก็พุ่งพรวด!
ฟึ่บ! อมตะตัวจริง!
“เราฝ่าด่านวรยุทธได้แล้ว…” กรงเล็บหลากสีปล่อยโฮออกมา
“…เราไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวว่าจะถูกจับหรือเอาไปต้มยำทำแกงอีก!”
ด้วยวรยุทธขั้นอมตะตัวจริง มันเก่งกาจพอที่จะปกป้องตัวเองได้แล้ว
“ในเมื่อเขาคือเจ้านายของสามราชันย์ ก็ถือเป็นเจ้านายของเผ่าพันธุ์กรงเล็บหลากสีด้วย นับจากวันนี้ไป เราจะมอบความจงรักภักดีให้และสวามิภักดิ์ต่อเขา ต่อให้เขาพยายามฆ่าเราและนำเราไปปรุงกับหัวหอม เราก็จะยอมรับชะตากรรม…”
กรงเล็บหลากสีตัวน้อยจ้องมองร่างที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศขณะตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
ภาพแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำชนิดอื่นๆ
หอยบุปผา หอยตลับ หอยนางรม…พวกมันล้วนฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จเช่นกัน
“ผมหิวววววว…”
ไก่น้อยพึมพำขณะจับจ้องเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำและน้ำลายยืดออกมา “น่าทึ่งจริงๆ…”
เพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมง กว่าครึ่งของผู้ที่เคยเป็นแค่นักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ก็ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ ทำให้หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆตกตะลึงเกินกว่าจะพูดอะไร
ความสามารถในการพัฒนาวรยุทธของนักรบคนอื่นๆนั้นถือว่าน่าสะพรึงมาก การบรรยายเพียงครั้งเดียวทำให้นักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์กว่า 40,000 ชีวิตฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงได้…
นี่คือวีรกรรมที่พวกเขาไม่นึกไม่ฝันว่าจะเป็นไปได้จริง แต่ก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแล้ว
เมื่อเห็นว่าในที่สุดก็ได้จำนวนตามที่ต้องการ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขากล้ำกลืนฝืนความอ่อนล้าไว้ แล้วถ่ายทอดคำสั่งใหม่
“เอาล่ะ รวบรวมพวกที่ฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้วเข้ากับนักรบอมตะตัวจริงคนอื่นๆ หวู่เฉิน, เตรียมแท่นบูชา เราจะประกอบพิธีกรรมเร็วๆนี้!”
พลังปราณของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มีความบริสุทธิ์มาก ถึงขนาดที่ซึมซับเข้าไปเพียงเสี้ยวเดียวก็เกินพอจะทำให้นักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ฝ่าด่านวรยุทธได้แล้ว ซึ่งจางเซวียนใช้ศพของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถึง 12 คนเพื่อการนี้ พลังเหล่านั้นได้รับการขัดเกลาและส่งต่อผ่านทางค่ายกล
ด้วยการยอมทุ่มทุนของจางเซวียน จึงยากที่นักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์จะฝ่าด่านวรยุทธไม่สำเร็จ!
แต่แน่นอนว่าการถ่ายทอดความรู้ของจางเซวียนก็มีส่วนสำคัญ เพราะต่อให้นักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์เหล่านั้นได้รับพลังงานมากพอ ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายปีกว่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้
การบรรยายของเขาช่วยย่นระยะเวลาที่นำไปสู่ความสำเร็จนั้นได้มาก และที่สำคัญกว่าก็คือได้รับความภักดีจากนักรบทั้ง 40,000 ชีวิตด้วย
จางเซวียนรีบเพ่งสมาธิเข้าสู่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเพื่อเยียวยาความอ่อนล้า แต่ก็ยังต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะฟื้นตัว
ในช่วงเวลาดังกล่าว หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆเรียกรวมพลนักรบอมตะตัวจริงทั้งหมด และหวู่เฉินก็จัดเตรียมแท่นบูชาสำหรับการประกอบพิธีกรรมเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
“เริ่มกันเถอะ!”
แม้การจัดเตรียมจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่จางเซวียนก็ยังไม่รีบร้อนประกอบพิธีกรรม เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศและเปิดการบรรยายอีกชุดหนึ่ง
“สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้คือวิธีการฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้…”
ถ้าเขาอยากรวบรวมจิตใจของนักรบทุกชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ ก็จะต้องเอาชนะใจของพวกเขาให้ได้เสียก่อน
ซึ่งจางเซวียนคิดว่าไม่มีวิธีไหนดีไปกว่าการถ่ายทอดความรู้ให้นักรบเหล่านั้น ถ้าเขาสามารถเอาชนะใจและได้รับความสำนึกในบุญคุณอย่างสูงสุด พวกนั้นก็น่าจะยิ่งกว่าเต็มใจให้ความช่วยเหลือในการชำระรังสีสวรรค์ที่ปนเปื้อน
“วิธีฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้?”
เพราะได้เห็นปาฏิหาริย์ที่จางเซวียนเพิ่งสร้างขึ้นมากับตา ฝูงชนจึงหูผึ่ง คอยฟังว่าเขาจะพูดอะไร ความคาดหวังและความตื่นเต้นอบอวลไปทั่ว
“กุญแจของเทคนิคการต่อสู้อยู่ที่…”
เมื่อเห็นว่าดึงดูดความสนใจของทุกชีวิตได้ จางเซวียนยิ้มน้อยๆขณะบรรยายต่อ
ทุกคำที่เขาพูดออกมาดูจะอ้อยอิ่งอยู่กลางอากาศ เติมเต็มบรรยากาศนั้นด้วยคลื่นความถี่อันแปลกประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่สอดคล้องกับโลก เป็นความกลมกลืนกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่อยู่โดยรอบ
“คุณไม่คิดบ้างหรือว่าการยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ในเวลานี้น่ะมันสายเกินไป?”
เสียงหนึ่งดังกึกก้อง
ท้องฟ้าสั่นสะท้านขณะที่ร่างหนึ่งปรากฏต่อหน้าต่อตาทุกคน
อีกฝ่ายเป็นชายร่างสูง สวมเสื้อคลุมที่กำลังโบกสะบัด แววตาของเขาปราศจากความเมตตาปรานี
“คุณ…” จางเซวียนหรี่ตา เขาหยุดการบรรยายและลุกขึ้นยืน
ผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายที่หายตัวไปหลังจากฉกฉวยรังสีสวรรค์ไปจากเขา…ปรมาจารย์ขง!
รังสีของปรมาจารย์ขงดูจะหายวับไปโดยสิ้นเชิง หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจน อีกฝ่ายปกปิดมันไว้มิดชิดจนไม่อาจหยั่งถึงระดับวรยุทธของเขาได้ แต่ดวงตาคู่นั้นยังคมกริบดังเดิม ทำให้ผู้ที่เผชิญหน้ากับเขารู้สึกอับจนหนทาง
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว…ปรมาจารย์ขงเข้าถึงระดับของเทพเจ้าแล้ว!
“คุ้มกันเจ้าสำนัก!” หานเจี้ยนชิวตะโกน
นักรบอมตะขั้นสูงจากทั้ง 4 สำนักและเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำรีบโผขึ้นสู่กลางอากาศเพื่อขวางระหว่างจางเซวียนกับปรมาจารย์ขง เกิดเป็นกำแพงอันแข็งแกร่ง
“เปล่าประโยชน์น่ะ!” ปรมาจารย์ขงคำรามขณะยกมือขึ้น
ฟึ่บ!
ผู้เชี่ยวชาญมากมายเดินออกมาจากมิติที่บิดเบี้ยวอยู่ด้านหลังตัวเขา มีนักรบชื่อดัง 2 คนรวมอยู่ในกลุ่มนั้น คือไป่ซวนเฉิงจากสำนักป้อมปราการกระจกดำ และกู้จุ้ยอวิ๋นจากสำนักอมตะเลือนหาย
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีนักรบอมตะขั้นสูงอีกกว่าหลายร้อยคน เป็นกองกำลังที่อาจต้านทานได้แม้ต้องเผชิญกับการผนึกกำลังกันของ 4 สำนักใหญ่กับเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำ
“มีนักรบอมตะขั้นสูงของทั้งสองสำนัก และจากหอนิรันดร์ด้วย…”
ทุกคนรู้สึกหายใจหายคอไม่ออก
หอนิรันดร์คือสุดยอดของทวีปที่ถูกลืมตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา ในเมื่อพวกเขามีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์กว่า 20 คน จึงไม่แปลกอะไรที่จะมีนักรบอมตะขั้นสูงถึง 500 คน
เมื่อรวมกับนักรบอมตะขั้นสูงจากอีก 2 สำนัก ก็เกิดเป็นกองกำลังที่น่าสะพรึงเกินกว่าจะประเมินได้
หลังจากนำกองกำลังของเขาออกมา ปรมาจารย์ขงก็ไม่แยแสหานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆ เขาจับจ้องอยู่ที่จางเซวียน จากนั้นก็เหยียดริมฝีปากก่อนจะตั้งข้อสังเกต “คุณคงตั้งหน้าตั้งตารอคอยผมสินะ ถึงกับเตรียมแท่นบูชาไว้ที่นี่”
เป้าหมายต่อไปของเขาหลังจากเข้าถึงระดับเทพเจ้าแล้วก็คือช่วงชิงมลทินสวรรค์ที่อยู่ภายในร่างของจางเซวียน
ด้วยพละกำลังที่เขามีอยู่ในเวลานี้ ก็สามารถใช้วิธีอื่นดึงเศษเสี้ยวของสวรรค์มาได้ แต่นั่นจะทำให้ร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก อะไรๆจะง่ายขึ้นมากหากเขามีแท่นบูชาอยู่กับตัว
“หานเจี้ยนชิว คุณนำกองกำลังผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่มีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงขึ้นไปออกไปรับมือกับพวกเขา ส่วนการบรรยายของพวกเราที่เหลือจะดำเนินต่อไป” จางเซวียนตะโกนก้อง
จากนั้นเขาก็หันไปมองนักรบอมตะตัวจริงทั้งหนึ่งแสนชีวิตที่อยู่ด้านล่างและพูดต่อ “แก่นสารของเทคนิคการต่อสู้…”
น้ำเสียงของเขามั่นคงและไม่รีบร้อน แม้จะเกิดการปะทะขึ้น แต่บรรดานักรบอมตะตัวจริงก็รู้สึกได้ว่าสภาวะจิตของพวกเขาค่อยๆสงบลงขณะตั้งใจฟังการบรรยาย
จางเซวียนรู้ดีว่าการตัดสินใจของเขาจะส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมาย เพราะไม่มีใครต้านทานพละกำลังของปรมาจารย์ขงได้นอกจากตัวเขา ซึ่งวิธีเดียวที่จะถ่วงเวลาได้ก็คือต้องแลกด้วยชีวิต
แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น เขารู้ตัวว่าในเวลานี้ยังสู้กับปรมาจารย์ขงไม่ได้ หากยืนหยัดต่อสู้ไปก็มีแต่จะจบเห่
จางเซวียนจึงได้แต่แบกรับความหนักอึ้งของการตัดสินใจครั้งนี้ไว้และดำเนินการบรรยายต่อไป
“ไม่สนใจผมงั้นสิ ใช่ไหม? ผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์นี่ช่างโอหังเหลือเกิน!” ปรมาจารย์ขงหน้าดำคร่ำเครียดขณะคำราม
ฟิ้วววว!
เขายกมือขึ้น แล้วไป่ซวนเฉิง กู้จุ้ยอวิ๋น และนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อีกจำนวนหนึ่งจากหอเทพเจ้าก็พุ่งออกมา บรรดานักรบอมตะขั้นสูงก็เคลื่อนไหวเช่นกัน
“คุ้มกันเจ้าสำนัก!” หานเจี้ยนชิวตะโกนออกมาขณะพุ่งทะยานออกไปเผชิญหน้ากับศัตรู
เขาขับเคลื่อนเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า ทำให้ทั่วท้องฟ้าเต็มไปด้วยกระแสดาบฉี
การสู้รบดำเนินไป นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ปะทะกับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ขณะที่นักรบอมตะขั้นสูงก็โรมรันกับนักรบอมตะขั้นสูง มันคือสงครามเต็มรูปแบบที่ทั้งสองฝ่ายกระเหี้ยนกระหือรือจะฉีกฝ่ายตรงข้ามให้เป็นชิ้นๆ
เพียง 2-3 อึดใจหลังจากการสู้รบปะทุขึ้น นักรบอมตะขั้นสูงก็ล้มตายไปทีละคนสองคน ทำให้ศพร่วงลงมาจากกลางอากาศราวกับห่าฝน
นักรบอมตะขั้นสูงผู้สูงส่งในทวีปที่ถูกลืมกำลังล้มตายเป็นใบไม้ร่วงราวกับมนุษย์ธรรมดาสามัญ
ในแง่ของปริมาณนักรบ, 4 สำนักและเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำยังด้อยกว่าสำนักป้อมปราการกระจกดำ สำนักอมตะเลือนหาย และหอนิรันดร์ แต่ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ ทั้ง 4 สำนักได้เปรียบกว่ามาก
ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายจึงยังไม่มีผลแพ้ชนะ ทิศทางของการต่อสู้ยังไม่เอนเอียงไปที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
“เพื่อเจ้าสำนัก! เพื่อทวีปอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา!”
อดีตศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหมายเลข 1 ของสำนักดาบเมฆเหิน, เหอจิ้งชวน พุ่งเข้าใส่ศัตรู
แม้ไป๋เหรินชิงจะคว้าตำแหน่งของเขาไปหลังจากที่เธอยอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ แต่เหอจิ้งชวนก็ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนวรยุทธไม่หยุดหย่อน ถึงวรยุทธของเขาจะยังหยุดอยู่ที่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ก็เทียบชั้นได้กับนักรบอมตะขั้นสูงส่วนใหญ่
“ฆ่าพวกมันคนหนึ่ง เราเสมอกัน, ฆ่าพวกมันสองคน เราได้กำไร!”
ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดอีกคนหนึ่ง, หลิวยู่เหลียน พุ่งเข้ามาขณะคำรามกร้าว
เกิดเป็นภาพที่ตัดกันอย่างรุนแรงกับบุคลิกนุ่มนวลอ่อนโยนของเธอ
“เพื่อนายท่านของสามราชันย์!” ฝูงปู กุ้ง และสิ่งมีชีวิตใต้น้ำชนิดอื่นๆรวมพลังกัน
ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกมันลดลงมากเมื่อไม่ได้อยู่ในน้ำ แต่ปริมาณที่มีมากมายก็ช่วยชดเชยความเสียเปรียบข้อนี้ได้ อีกอย่าง เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำส่วนใหญ่ยังมีกระดองแข็งที่เป็นเกราะป้องกันตามธรรมชาติด้วย