อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2163 เพียงแต่…
แม้จางเซวียนจะคิดแบบนั้น แต่ก็อดถามไม่ได้ “อาจารย์โม่หย่วน ไม่ทราบว่าคุณรู้ชื่อของเก้าจอมราชันย์ไหม?”
ความสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาของโม่หย่วนแวบหนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น แต่ก็ยังพยักหน้า “เก้าจอมราชันย์คือผู้ทรงเกียรติในระดับที่คนธรรมดาอย่างพวกเราไม่คู่ควรจะเอ่ยชื่อของเขา ผมพอรู้แค่บางส่วนเท่านั้น”
“จอมราชันย์ของน่านฟ้าพายัพแห่งวิญญาณเร่ร่อนของพวกเราคือจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นผู้ยิ่งใหญ่ รู้จักกันในชื่อจอมราชันย์เฉียนคุ่น เขามีหน้าที่อารักขาสรวงสวรรค์ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้และควบคุมดูแล 6 เส้นทางของการฟื้นคืนชีพ”
“ศัตรูตัวฉกาจของเขาคือจอมราชันย์ตะวันแผดเผาแห่งน่านฟ้าอาคเนย์ของตะวันแผดเผา เขามีหน้าที่ควบคุมวันคืนและการเจริญเติบโตของทุกชีวิต ส่วนน่านฟ้าหรดีของหลิงหลงอยู่ภายใต้การควบคุมของเทพธิดาหลิงหลง ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความงดงามที่ไม่มีใครเทียบได้”
“เกรงว่าความรู้ของผมจะมีเท่านี้ นอกเหนือไปจากนี้…ผมไม่รู้อะไรอีกแล้ว”
จางเซวียนพยักหน้า
เก้าจอมราชันย์ย์แห่งน่านฟ้าทั้งเก้าคงเทียบได้กับเหล่าฮ่องเต้ในชีวิตเก่าของเขา คนเหล่านั้นคือผู้ที่คนธรรมดาสามัญไม่กล้าแม้แต่จะพูดถึง ในเมื่อโม่หย่วนเป็นแค่อาจารย์คนหนึ่งในดินแดนเล็กๆ ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงรู้จักจอมราชันย์เพียง 3 คน
“น้องจาง คุณควรถามท่านอาจารย์ของคุณนะหากอยากรู้เรื่องมากกว่านี้ ด้วยความแข็งแกร่งของท่านอาจารย์ของคุณ ผมเชื่อว่าเขาน่าจะมีความเข้าใจเรื่องเก้าจอมราชันย์เก้าเวหามากกว่าผม” โม่หย่วนเสริม
แม้คนธรรมดาสามัญจะไม่กล้าพูดถึงเก้าจอมราชันย์เก้าเวหา แต่ก็พอรู้รายละเอียดทั่วไปอยู่บ้าง จึงเป็นไปไม่ได้ที่นักรบคนหนึ่งจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับจอมราชันย์ผู้ควบคุมดูแลดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่ โม่หย่วนจึงอดสงสัยไม่ได้หลังจากได้ยินคำถามของจางเซวียน
จางเซวียนยิ้มแหยๆเมื่อเดาความคิดของโม่หย่วนได้ “บอกคุณตามตรงนะ พวกเราเป็นแค่คนธรรมดาสามัญ ท่านอาจารย์สงสารพวกเราและรับเราไว้เพื่อจะได้เอาตัวรอดในโลกใบนี้ได้ แต่ก็นั่นแหละ เขาเป็นคนที่มีกิจธุระยุ่งเหยิงที่สุด พวกเราแทบไม่มีโอกาสพบเขาเลย จึงไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้จากเขาเช่นกัน ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นล่ะก็ พวกเราคงไม่ต้องรบกวนอาจารย์โม่หย่วนให้พาเราออกจากสันเขาหรอก”
“อ้อ…”
ความสงสัยในหัวใจของโม่หย่วนหายไปเมื่อได้ยินคำอธิบาย
มีอาจารย์บางคนในสรวงสวรรค์ที่เข้มงวดกับบรรดาลูกศิษย์มาก พวกเขาจะมอบหมายภารกิจครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ลูกศิษย์ฝึกฝนและบ่มเพาะทักษะต่างๆ ไม่ยอมเสียเวลาไปกับการใช้คำพูด
ถ้าหยางชวนเป็นอาจารย์แบบนั้น ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมลูกศิษย์ของเขาถึงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเก้าจอมราชันย์เก้าเวหา
“ไม่เพียงเท่านั้นนะ พวกเรายังไม่ได้เข้าถึงระดับเทพเจ้าด้วย ท่านอาจารย์ไม่ยอมบอกว่าพวกเราจะฝ่าด่านวรยุทธได้ด้วยวิธีไหน บอกแค่ว่ายังไม่ถึงเวลา ตอนนี้ควรทุ่มเทความพยายามให้กับการฝึกฝนก่อน เขาบอกพวกเราเสมอว่ามีแต่รากฐานวรยุทธที่มั่นคงแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำให้เกิดความก้าวหน้า แต่พลังจิตวิญญาณแถวนี้ก็แร้นแค้นเหลือเกิน ผมคิดไม่ออกเลยว่านักรบจะฝึกฝนวรยุทธที่นี่ได้อย่างไร…” จางเซวียนส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ผู้อาวุโสหยางชวนอาจเข้มงวด แต่เป็นอาจารย์ที่ดีนะ ผมเชื่อว่าเขาคู่ควรกับการเป็นปรมาจารย์” โม่หย่วนตั้งข้อสังเกต
“ปรมาจารย์?” จางเซวียนทวนคำด้วยความตกใจ
ปรมาจารย์คือวิชาชีพที่ปรมาจารย์ขงคิดค้นขึ้นเมื่อครั้งที่เขายังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์
ตอนที่จางเซวียนอยู่ในมิติเบื้องบน ไม่เคยมีใครพูดคำนี้มาก่อน จึงคิดไม่ถึงว่าจะมาได้ยินในสรวงสวรรค์
“อ้อ คุณคงไม่เคยได้ยินล่ะสิ ตลอดสองสามทศวรรษที่ผ่านมา มีคนกลุ่มหนึ่งเรียกตัวเองว่าปรมาจารย์ พวกเขาสร้างสภาปรมาจารย์ขึ้น และถือเป็นภารกิจของตัวเองที่จะต้องถ่ายทอดความรู้และขจัดข้อสงสัยข้องใจให้กับคนอื่นๆ พวกเขาตีความเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และต่างก็ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อสร้างระบบระเบียบอย่างเป็นทางการในการประเมินความสามารถของนักรบ ระบบนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพมาก แต่ผลเสียที่เห็นได้ชัดก็คือ บรรดาลูกศิษย์ที่เล่าเรียนจากปรมาจารย์มักต้องเผชิญกับความยากลำบากมากกว่านักรบทั่วไป” โม่หย่วนอธิบาย
จางเซวียนตาโตด้วยความงุนงง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเกิดขึ้นของเหล่าปรมาจารย์และสภาปรมาจารย์จะต้องเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ขงแน่
เรื่องนี้บอกชัดว่าผู้ที่เขาต่อกรด้วยเมื่อครั้งอยู่ในมิติเบื้องบนคือตัวโคลน ส่วนร่างต้นแบบนั้นเข้าสู่สรวงสวรรค์มาหลายสิบปีแล้ว
เนิ่นนานกว่าหลายหมื่นปีนับตั้งแต่ปรมาจารย์ขงจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไป ซึ่งก็เป็นเวลาประมาณ 2-3 พันปีในมิติเบื้องบน
ด้วยขีดจำกัดของระดับวรยุทธ จางเซวียนไม่อาจคำนวณกระแสของกาลเวลาในสรวงสวรรค์ให้ถูกต้องแม่นยำได้ แต่ถ้าถือเอาอัตราส่วนของกระแสการเวลาในสรวงสวรรค์เป็น 1:100 เมื่อเปรียบเทียบกับมิติเบื้องบน ก็หมายความว่าปรมาจารย์ขงมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน
นั่นพอจะเทียบได้กับช่วงเวลาที่เหล่าปรมาจารย์ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก
จางเซวียนจึงถามอ้อมๆและตั้งข้อสังเกต “แล้วการเกิดขึ้นของสภาปรมาจารย์ถือเป็นภัยคุกคามต่อกฎเกณฑ์ของเก้าจอมราชันย์หรือเปล่า? อีกอย่าง สถาบันอื่นๆได้รับผลกระทบจากพวกเขาไหม? แล้วมีใครต่อต้านเหล่าปรมาจารย์บ้าง?”
หนึ่งในเหตุผลหลักที่เหล่าปรมาจารย์ได้รับการยกย่องอย่างสูงในทวีปแห่งปรมาจารย์ก็เพราะชื่อเสียงระบือลือลั่นของปรมาจารย์ขง ปรมาจารย์ขงคือบุคคลที่ได้รับความเคารพยกย่องจนทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาก็พลอยมีหน้ามีตาไปด้วย ทั้งอาณาจักรและจักรวรรดิต่างๆมองว่าการมีเหล่าปรมาจารย์อยู่ในดินแดนของพวกเขาเป็นเกียรติยิ่งใหญ่ สุดท้ายก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ
แต่ในสรวงสวรรค์ เก้าจอมราชันย์เก้าเวหาคือศูนย์กลางของโลก เพราะเป็นกลุ่มอำนาจสูงสุดมาเนิ่นนาน การปรากฏตัวของพวกเขาจึงยิ่งใหญ่เสียจนไม่อาจมีใครละเลยได้ และในแง่ของอิทธิพล ก็น่าจะเหนือกว่า 6 สำนักใหญ่ของมิติเบื้องบนมาก
สภาปรมาจารย์มุ่งแสวงหาการถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่นๆก็จริง แต่ในเวลาเดียวกัน การกระทำแบบนั้นย่อมสั่นคลอนกฎระเบียบเดิมของสรวงสวรรค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยากที่จะคิดว่าเก้าจอมราชันย์จะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นใต้จมูกของพวกเขา
อีกอย่าง สถาบันการศึกษาต่างๆที่มีมาก่อนจะยอมรับสิ่งที่เหล่าปรมาจารย์พยายามทำได้หรือไม่? การสร้างระบบระเบียบใหม่ที่แตกต่างจากระบบระเบียบของสถาบันการศึกษาอื่นๆอย่างสิ้นเชิงก็ไม่ต่างอะไรกับการท้าทายสถานภาพเดิมที่เคยมั่นคงมาก่อน และแน่นอนว่าจะต้องเกิดการแข่งขันอย่างเข้มข้นระหว่างระบบที่แตกต่างกัน
“ความพิเศษของเหล่าปรมาจารย์คือพวกเขาสนับสนุนการศึกษาที่ปราศจากการแบ่งแยก นักเรียนส่วนใหญ่ที่พวกเขารับไว้คือผู้ที่พลาดหวังจากการเข้าศึกษาในสถาบันอื่นเพราะสติปัญญาอ่อนด้อยเกินไป…”
ถึงตอนนี้ โม่หย่วนพลันนึกได้ว่าตัวเองพลั้งปาก เขารีบเสริมพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “น้องจาง ผมไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกพวกคุณนะ กรุณาอย่าใส่ใจคำพูดของผมเลย”
ก่อนหน้านี้เขาพูดว่าหยางชวนดูคล้ายกับปรมาจารย์ ก่อนจะพูดต่อว่าบรรดาลูกศิษย์ที่เหล่าปรมาจารย์รับไว้คือผู้มีสติปัญญาอ่อนด้อย คำพูดนั้นอาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนกำลังโดนดูถูกได้
“ไม่เป็นไร” จางเซวียนตอบยิ้มๆ “ก็จริงนั่นแหละที่พวกเรามีสติปัญญาอ่อนด้อย ไม่อย่างนั้น คงไม่ติดแหงกอยู่ที่วรยุทธระดับนี้มาเนิ่นนานหรอก!”
รู้ดีว่าถ้ายังมัวพูดเรื่องนี้อยู่คงไม่เข้าท่า โม่หย่วนเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่…รังสีสวรรค์บนภูเขาสวรรค์สร้างมีจำกัดมาก สถาบันต่างๆจึงมีเงื่อนไขมากมายในการเปิดรับศิษย์สายตรง เหล่าปรมาจารย์มักจะรับผู้ที่พลาดหวังจากการเข้าศึกษาในสถาบันต่างๆเอาไว้ การมีพวกเขาอยู่จึงไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับพวกเรามากนัก เพียงแต่…”
ถึงตอนนี้ โม่หย่วนเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมความคิดก่อนจะพูดต่อ “ผมยอมรับว่าปรมาจารย์คือผู้ที่แสนจะน่าทึ่ง มีบ่อยครั้งที่นักรบซึ่งดูเหมือนไม่น่าจะยกระดับวรยุทธได้แล้วสามารถพัฒนาตัวเองได้อีกมากภายใต้คำชี้แนะของพวกเขา อันที่จริง ลูกศิษย์บางส่วนของเหล่าปรมาจารย์ก็ก้าวหน้าได้เร็วกว่าลูกศิษย์ของพวกเราเสียอีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหล่าปรมาจารย์สร้างความกดดันให้กับสถาบันต่างๆที่มีอยู่มาก่อน ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พวกเราเริ่มผลักดันลูกศิษย์ของตัวเอง เพื่อจะได้ไม่ล้าหลัง ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่พาเด็กกลุ่มนี้มาปฏิบัติภารกิจที่นี่…”
ถ้าไม่ใช่เพราะมีคู่แข่ง พวกเขาคงพอใจกับการเปิดการบรรยายในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยกว่าอย่างห้องเรียน การพาเด็กวัยรุ่นทั้งกลุ่มที่ไม่เคยเผชิญโลกภายนอกออกมาปฏิบัติภารกิจที่เต็มไปด้วยความยากลำบากนั้น…
พูดกันตามตรง โม่หย่วนก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการแบบนี้ แต่รู้ดีว่าจำเป็นต้องทำเพื่อรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีของสถาบันไว้
อีกอย่าง บรรดาลูกศิษย์ของเขาก็กระตือรือร้นกว่าที่เคยเพื่อจะได้ไม่ล้าหลังคู่แข่ง มันเป็นแรงผลักดันชั้นดี และคงน่าเสียดายหากไม่นำมันมาใช้พัฒนาลูกศิษย์ของเขาให้ก้าวหน้า
“ส่วนเก้าจอมราชันย์เก้าเวหา ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะห้ามไม่ให้มีปรมาจารย์ในดินแดนของตัวเอง ก็เพราะเหตุผลนี้ จอมราชันย์พิชิตสวรรค์จึงท้าทายจอมราชันย์คนอื่นๆเข้าสู่การสู้รบ ราวหนึ่งทศวรรษก่อน เขาดวลกับจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่น พวกเราไม่รู้ว่าผลการดวลครั้งนั้นเป็นอย่างไร แต่นับจากนั้นเป็นต้นมา น่านฟ้าพายัพแห่งวิญญาณเร่ร่อนก็ตัดสินใจมองข้ามการมีอยู่ของสภาปรมาจารย์ ปล่อยให้พวกเขาปฏิบัติงานอย่างอิสระ” โม่หย่วนอธิบาย
แม้จะไม่มีการประกาศผลการดวลอย่างเป็นทางการ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็บ่งบอกชัดแล้วว่าจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นพ่ายแพ้
เพราะไม่อย่างนั้น เขาคงไม่มีทางปล่อยให้สภาปรมาจารย์ปฏิบัติงานได้ตามใจในดินแดนของเขา
“เดี๋ยวก่อน คุณบอกว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ท้าทายจอมราชันย์คนอื่นๆในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหล่าปรมาจารย์หรือ? เขาคือคนเดียวกันกับจอมราชันย์ที่เกิดขึ้นใหม่ ถูกไหม?”จางเซวียนถาม
“ก็เขานั่นแหละ”
“โป๊ะเชะ…” จางเซวียนตาโตเมื่อพลันเข้าใจ
เขารู้มาว่าเก้าจอมราชันย์เก้าเวหาดำรงอยู่มาเนิ่นนานจนแทบจะจำความไม่ได้ นึกภาพไม่ออกเลยว่าจู่ๆจะมีใครสักคนที่แข็งแกร่งพอจะท้าทายพวกเขาปรากฏตัวขึ้นในโลกใบนี้ แต่เท่าที่เห็น ก็ค่อนข้างแน่ชัดว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากปรมาจารย์ขง!
หลายหมื่นปีในทวีปแห่งปรมาจารย์ หลายพันปีในมิติเบื้องบน และหลายสิบปีในสรวงสวรรค์…เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ปรมาจารย์ขงมักได้รับการเรียกขานว่าเป็นนักปราชญ์ผู้พิชิตสวรรค์ ซึ่งชื่อนี้ก็เหมาะเจาะกันพอดี