“ฉันจะพาคุณไปที่นั่นเอง แต่บอกไว้ก่อนนะว่าไม่ง่ายเลยที่จะได้การยอมรับจากมัน” หมิงไล่เชียงเตือน
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอมีสติปัญญาและประสิทธิภาพการต่อสู้เหนือชั้นกว่าธรรมดา การที่เขาเอาชนะเธอได้ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงก็บอกอะไรได้มากแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังไม่คิดว่าเขาจะมีโอกาสมากนัก
นั่นก็เพราะหัวใจของการซึมซับอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองไม่ได้เกี่ยวข้องกับวรยุทธหรือสติปัญญา แต่อยู่ที่ว่าผู้นั้นจะเข้าตาท่านเจ้าเมืองคนก่อนหรือเปล่า
ในช่วงเวลา 10 ปีนับตั้งแต่เจ้าเมืองคนก่อนเสียชีวิตไป ผู้เชี่ยวชาญมากมายเดินทางมาที่นี่เพื่อพยายามซึมซับมัน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ไม่มีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วท่านเจ้าเมืองคนก่อนต้องการอะไร
หมิงไล่เชียงรู้สึกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่น่าจะเป็นข้อยกเว้น
ทั้งกลุ่มรีบออกจากลานบ้านและรุดหน้าไป ไม่ช้าก็มาถึงใจกลางเมือง
มันเป็นจัตุรัสขนาดมหึมา ที่บริเวณใจกลางมีอนุสาวรีย์หินขนาดใหญ่ กฎระเบียบและคำสั่งต่างๆของเมืองแสงสนธยาถูกจารึกไว้บนนั้น
อนุสาวรีย์หินมีความสูงกว่า 10 เมตร มีประกายระยิบระยับบนผิวหน้าสีดำสนิทของมัน แม้จะเห็นเป็นครั้งแรก ก็ดูออกว่าวัสดุที่ใช้สกัดอนุสาวรีย์นี้จะต้องไม่ธรรมดา
“นั่นคืออนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง!” หมิงไล่เชียงบอกจางเซวียน
จางเซวียนพยักหน้า เขาเดินตรงเข้าหาอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองและทาบฝ่ามือลงไปเบาๆ
หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏในหอสมุดเทียบฟ้า
“อนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง ทำจากหยกมืดมน ปกป้องความอุดมสมบูรณ์ของเมืองแสงสนธยาไว้ มีเศษเสี้ยวเจตจำนงของเทพเจ้าสวรรค์สร้างเย่หยู ข้อบกพร่อง…”
มีรายละเอียดของโครงสร้าง ประวัติศาสตร์ และข้อบกพร่องของอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง แต่ไม่ได้บอกเลยว่าเขาจะซึมซับมันได้อย่างไร
“พวกเรารักษาและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่จารึกไว้บนอนุสาวรีย์อย่างเคร่งครัด ทั้งยังแสดงการคารวะสูงสุดต่อจิตวิญญาณของท่านเจ้าเมืองคนก่อนด้วย แต่คงเพราะเหตุผลอะไรสักอย่าง อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมรับใครเลย” หมิงไล่เชียงพูดอย่างท้อใจ
“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า เขาเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้และเริ่มสำรวจอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองอย่างถี่ถ้วน
จางเซวียนรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่ามีจิตวิญญาณโกรธเกรี้ยวถูกขังไว้ในอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง มันกำลังกระเสือกกระสนดิ้นรนและคำรามอย่างดุร้าย ทำเอาจางเซวียนขมวดคิ้ว
เขากัดนิ้วแล้วหยดเลือดที่บรรจุเอาเจตจำนงของเขาไว้ลงไปบนอนุสาวรีย์
ทันทีที่เศษเสี้ยวเจตจำนงของเขาสัมผัสกับอนุสาวรีย์ จางเซวียนรู้สึกได้ว่ามีพละกำลังมหาศาลพุ่งตรงเข้าใส่ ดูเหมือนตั้งใจจะกลืนกินจิตวิญญาณของเขา
“เรื่องนี้ต้องมีอะไรผิดปกติแน่…” จางเซวียนผงะ
โดยทั่วไป ถ้านักรบคนหนึ่งไม่สามารถซึมซับของล้ำค่าชิ้นไหน หยดเลือดที่บรรจุเอาเจตจำนงของพวกเขาไว้ก็จะถูกปฏิเสธ
แม้อนุสาวรีย์จะไม่ยอมให้ใครซึมซับ แต่ก็กลืนกินหยดเลือดของเขาลงไป ต่างจากที่เขาเคยเห็นมา
แต่ก็นั่นแหละ สำหรับจางเซวียน เขาไม่ได้รู้สึกอะไร
จางเซวียนหัวเราะหึๆ เขากำลังจะใช้พลังปราณเทียบฟ้าเล่นงานเจตจำนงที่อยู่ภายในและร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณใส่อนุสาวรีย์อีกครั้ง ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาขมวดคิ้ว
ราวกับจะล่วงรู้เจตนาของเขา จิตวิญญาณที่อยู่ในอนุสาวรีย์รีบแผ่กระจายออกไปจนครอบคลุมทั่ว ถ้าจางเซวียนพยายามทำลายจิตวิญญาณทั้งๆที่อยู่ในสภาพนี้ อนุสาวรีย์จะต้องได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ซึ่งถ้าผู้คนจับได้ว่าเขาคือผู้ทำลายอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง เขาจะต้องกลายเป็นศัตรูของประชาชนทั่วทั้งเมืองแสงสนธยาแน่ และถ้าเป็นอย่างนั้น ก็คงไม่มีใครยอมรับเขาให้รับตำแหน่งเจ้าเมือง
ดูเหมือนการใช้กำลังจะไม่ได้ผล เพราะถึงอย่างไร เขาก็ยังไม่รู้ว่าจิตวิญญาณในอนุสาวรีย์ต้องการสิ่งใดกันแน่
ช่างเป็นสภาวะที่ตัดสินใจได้ยากจริงๆ
จางเซวียนมีสีหน้าเคร่งเครียด
จางเซวียนหันมาถามฉีหลิงเอ๋อ “เมืองอื่นๆเป็นแบบนี้ไหม? มีอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองที่บรรดาเจ้าเมืองถ่ายทอดเจตจำนงของพวกเขาเข้าไปหรือเปล่า?”
ในเมื่อตัวเธอก็เป็นเจ้าเมือง จึงน่าจะคุ้นเคยกับกระบวนการเหล่านี้ดี
“แต่ละเมืองมีอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองของตัวเอง ใช้เป็นสถานที่จารึกกฎระเบียบของเมืองนั้น แต่ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีเจ้าเมืองของเมืองไหนถ่ายทอดเจตจำนงของเขาเข้าไป การทำแบบนั้นไม่ต่างอะไรกับการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณใส่อนุสาวรีย์ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นของล้ำค่า ซึ่งจะทำให้จิตปรารถนาของทั้งเมืองมีศูนย์รวมอยู่ที่อนุสาวรีย์นั้น” ฉีหลิงเอ๋อตอบ
เธอเองก็ออกจะงุนงงหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ไม่คิดว่าจะมีใครทำอะไรแบบนี้
อนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองคือเสาหลักของกฎระเบียบของเมือง การถ่ายทอดเจตจำนงของใครสักคนเข้าไปจะทำให้จิตปรารถนาเข้าบ่มเพาะเจตจำนงดังกล่าว ซึ่งสำหรับเจ้าเมือง มันอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
ข้อแรก เมื่อเจตจำนงได้รับการบ่มเพาะแล้ว ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเศษเสี้ยวของเจตจำนงนั้นจะยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา การกระทำแบบนั้นถือว่าอันตรายไม่น้อย
จางเซวียนหันกลับไปถามหมิงไล่เชียง “เทพเจ้าสวรรค์สร้างเย่หยูเป็นคนแบบไหน?”
เทพเจ้าสวรรค์สร้างเย่หยูคือเจ้าเมืองแสงสนธยาคนก่อน เขาเสียชีวิตระหว่างการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ
“ท่านเจ้าเมืองเป็นคนซื่อตรงและเที่ยงธรรม ผู้คนพากันแซ่ซ้องสรรเสริญเขาอยู่เสมอ” หมิงไล่เชียงตอบ “เพราะเราสามคนไม่อาจเทียบชั้นกับเขาได้ จึงไม่สามารถซึมซับและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอนุสาวรีย์ นี่คือเหตุผลที่เมืองแสงสนธยาไม่มีเจ้าเมืองตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
จางเซวียนพยักหน้า
เรื่องนี้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
ลำพังแค่สิทธิพิเศษในการได้ใช้ค่ายกลทะลุมิติก็คุ้มค่าพอที่จะทำให้ใครสักคนอยากเป็นเจ้าเมืองแล้ว จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญมากมายเสาะหาไขว่คว้าตำแหน่งนี้ จึงออกจะน่าแปลกที่เมืองแสงสนธยาไร้เจ้าเมืองมาเกือบสิบปี
เท่าที่เห็น การจะได้เป็นเจ้าเมืองคงไม่ง่าย
คงเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้หมิงไล่เชียงดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรแม้จะพ่ายแพ้ให้เขา นั่นเป็นเพราะเธอรู้ว่าผู้ท้าชิงจะต้องผ่านอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองให้ได้ก่อนถึงจะรับตำแหน่งเจ้าเมืองได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ท้าชิงคนอื่นๆ, เหมือนตัวเธอ
ในเมื่อเราทำลายเจตจำนงที่อยู่ภายในไม่ได้ ก็น่าจะลองซึมซับมัน ทำเหมือนมันเป็นอาวุธธรรมดาชิ้นหนึ่ง
แม้นักรบคนอื่นๆจะใช้เวลาหลายปีในการทำให้จิตวิญญาณที่อยู่ภายในของล้ำค่ายอมจำนน แต่จางเซวียนย่นระยะเวลาของกระบวนการอันยาวนานนั้นได้ด้วยความสามารถของเขา
จางเซวียนเดินเข้าหาอนุสาวรีย์สีดำอีกครั้งและเคาะมัน 2-3 ที จากนั้นก็กระซิบเบาๆ
ครืนนนน!
อนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมืองสั่นสะท้านเบาๆ แต่ก็ไม่ยอมจำนนให้เขา
วิธีการโดยปกติของจางเซวียนคือใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ เขาจะยื่นข้อเสนอ 2 ข้อให้กับของล้ำค่าชิ้นนั้น คือยอมจำนนให้เขาและพัฒนาตัวเองสู่ความยิ่งใหญ่ หรือหากยืนกรานปฏิเสธ ก็จะถูกทำลาย
แต่ยุทธวิธีแบบนี้ไม่น่าจะใช้ได้กับอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง นั่นก็เพราะมันรู้ดีว่าชายหนุ่มไม่กล้าทำลายมัน
เห็นแบบนั้น จางเซวียนหัวเราะหึๆและกระซิบใส่อนุสาวรีย์ “ผมรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ คุณรู้ดีว่าจะต้องตกอยู่ในอันตราย จึงถ่ายทอดเจตจำนงของคุณเข้าสู่อนุสาวรีย์ไว้ล่วงหน้า หวังว่าจะฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งด้วยจิตปรารถนาของคนทั้งเมือง”
“ผมจะไม่พูดหรอกนะว่านั่นเป็นแผนการที่ไม่เอาไหน แต่คุณคิดคำนวณผิดพลาดเรื่องระยะเวลาที่จะล่วงเลยไปกว่าคุณจะประสบความสำเร็จ เมืองแสงสนธยาไร้เจ้าเมืองมาเกือบ 10 ปีแล้ว ไม่มีใครทำหน้าที่บังคับใช้กฎเกณฑ์ที่คุณตั้งขึ้น ส่งผลให้ปริมาณจิตปรารถนาที่คุณได้รับลดลงอย่างฮวบฮาบ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป คุณไม่มีวันประสบความสำเร็จแน่ ซึ่งผมแน่ใจว่าคุณรู้เรื่องนั้นดี”
“ผมไม่ได้อยากเป็นเจ้าเมืองนักหรอก ทั้งหมดที่ผมต้องการก็คือการได้ครอบครองตราสัญลักษณ์เจ้าเมืองเพื่อที่ผมจะได้ใช้ค่ายกลทะลุมิติ ถ้าผมได้เป็นเจ้าเมืองล่ะก็ ผมจะสั่งการให้ทั้งเมืองทำตามกฎเกณฑ์ที่คุณเคยตั้งไว้ แถมจะปล่อยให้เจตจำนงของคุณได้พักอาศัยอยู่ในอนุสาวรีย์นี้ด้วย การมีเจ้าเมืองคนใหม่เท่านั้นที่จะนำพาความเป็นระเบียบกลับคืนสู่เมืองแสงสนธยา และสิ่งนั้นจะทำให้คุณได้รับจิตปรารถนาอย่างต่อเนื่อง”
น้ำเสียงของจางเซวียนเจือการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ ทำให้โน้มน้าวอารมณ์ของเจตจำนงที่อยู่ในอนุสาวรีย์ได้ ความขุ่นเคืองและเป็นปฏิปักษ์ที่อยู่ในอนุสาวรีย์ค่อยๆสงบลง
พูดกันตามตรง เขาไม่ได้อยากเป็นเจ้าเมืองสักนิด
ต่อให้ตัวเขาในอนาคตอาจมีความต้องการจิตปรารถนาเหมือนปรมาจารย์ขง แต่ปริมาณจิตปรารถนาที่เขาอยากได้ก็คงมากเกินกว่าที่เมืองแสงสนธยาทั้งเมืองจะมีปัญญามอบให้
จางเซวียนจึงไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับการที่จะปล่อยให้จิตปรารถนาส่วนใหญ่ตกเป็นของเจ้าเมืองคนก่อน และการที่กฎเกณฑ์ต่างๆไม่เปลี่ยนไปย่อมดีกว่าสำหรับเขา เพราะไม่ต้องมัวเสียเวลาใส่ใจดูแลเรื่องพวกนั้น
“รีบตัดสินใจนะ ผมไม่ใช่คนที่มีน้ำอดน้ำทนสักเท่าไหร่ คุณคงดูออกว่าผมเป็นคนต่างถิ่นและไม่ได้คุ้นเคยกับเมืองแสงสนธยา ซึ่งถ้าผมไม่ได้เป็นเจ้าเมืองก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ผมจะทำลายอนุสาวรีย์นี้ให้สิ้นซากก่อนจะออกจากเมืองนี้ไป เพราะฉะนั้น ผมให้เวลาคุณใคร่ครวญสิบอึดใจ”
ผู้ที่ไม่มีอะไรจะเสียนั้นน่าเกรงกลัวที่สุด พวกเขาพร้อมจะทำทุกอย่างที่สิ้นคิดอย่างไม่ลังเล และไม่มีอะไรทำให้คนเหล่านี้หวาดกลัวได้
เมื่อพูดจบ จางเซวียนถอยหลังไป 2 ก้าว เฝ้ารอคำตอบของอนุสาวรีย์อย่างอดทน
“เป็นอย่างไรบ้าง? คุณซึมซับมันได้ไหม?” หมิงไล่เชียงถามยิ้มๆ
แม้เธอจะตั้งคำถาม แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าชายหนุ่มทำไม่สำเร็จ ในใจเธอรู้สึกโล่งอกที่อนุสาวรีย์ไม่ตอบรับอีกฝ่าย
คุณอาจแข็งแกร่งและฉลาดกว่าฉัน แต่นั่นก็ไม่ได้สลักสำคัญเมื่ออยู่ต่อหน้าอนุสาวรีย์ท่านเจ้าเมือง
หมิงไล่เชียงคาดว่าจะได้เห็นชายหนุ่มทำหน้าบึ้ง แต่สิ่งที่เธอเห็นคืออีกฝ่ายอ้าปากนับถอยหลัง “สิบ เก้า แปด เจ็ด…”
“อะไรกัน?” หมิงไล่เชียงชุนงง
ฉันถามคุณว่าคุณซึมซับมันได้ไหม แล้วคุณนับถอยหลังทำไม?
“…สาม สอง หนึ่ง!”
เมื่อนับถึงศูนย์ จางเซวียนพูดกับอนุสาวรีย์ที่อยู่ตรงหน้า “ตัดสินใจเสียที”
ขณะที่พูดคำนั้น จางเซวียนก็รวบรวมกระแสดาบฉีเข้าสู่ปลายนิ้วและชี้ไปที่อนุสาวรีย์ด้วยทีท่าเรียบเฉย อาการผ่อนคลายของเขาบอกชัดว่าไม่ได้ยำเกรงอนุสาวรีย์เลยสักนิด