“ส่งคนของเราไปฟัง? หมอนั่นเพิ่งขโมยตำแหน่งเจ้าเมืองไปจากตระกูลหลิน ดีเท่าไหร่แล้วที่เราไม่พยายามเข้าไปป่วนการบรรยายของเขา นับประสาอะไรกับจะเข้าร่วม เขาคาดหวังให้ตระกูลหลินของเราเป็นลูกศิษย์ของเขาจริงๆหรือไง?” หัวหน้าตระกูลโบกมืออย่างโกรธเกรี้ยว
“คือ…” พ่อบ้านดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังโมโห แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจพูดอ้อมแอ้ม “เท่าที่ได้รับรายงานจากผู้ที่เข้าฟังการบรรยาย ดูเหมือนการบรรยายสาธารณะครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ไม่น้อยต่อการฝึกฝนวรยุทธ มีนักรบมากมายเกิดความรู้แจ้งเพราะคำบรรยายของเขา”
“เกิดความรู้แจ้งเพราะคำบรรยายของเขา? เฮอะ! มันก็แค่ข่าวลือที่หมอนั่นกระพือออกไปเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ผมเจอปาหี่แบบนี้มากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา!” หัวหน้าตระกูลตอบอย่างหมดความอดทน “พอที! กำชับสมาชิกตระกูลเราด้วยว่าห้ามเข้าฟังการบรรยายหรือรับคำสอนของหมอนั่น ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนกฎจะถูกคัดชื่อออกจากตระกูล และจะไม่มีวันได้เหยียบย่างเข้าสู่คฤหาสน์ของเราอีก!”
“รับทราบ…”
เห็นหัวหน้าตระกูลตัดสินใจเด็ดขาด พ่อบ้านก็ได้แต่กลืนคำพูดของตัวเองและออกจากห้องเพื่อส่งมอบคำสั่งให้กับคนอื่นๆอย่างจนปัญญา
“หลินชี คุณเห็นไหม? หมอนั่นเริ่มซื้อใจผู้คนในเมืองทันทีที่ได้ตำแหน่ง! ถ้าเขาจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ล่ะก็ เมืองแสงสนธยาทั้งเมืองจะต้องตกอยู่ในกำมือของเขา! เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าจะฝึกฝนวรยุทธใช่ไหม? ก็ดี ผมจะให้ผู้อาวุโสทั้ง 8 ใช้ค่ายกลลับของตระกูลหลินเพื่อยกระดับวรยุทธให้คุณ จะด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่ คุณจะต้องช่วงชิงตำแหน่งเจ้าเมืองกลับมาให้ได้!” หัวหน้าตระกูลกัดฟันพูด
“ค่ายกลลับ? ทำแบบนั้นไม่ได้นะ ผู้อาวุโสทั้ง 8 จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แถมอายุขัยของพวกเขาก็จะสั้นลงด้วย!” หลินชีผงะ
ตระกูลหลินมีค่ายกลลับที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดพละกำลังของนักรบหลายคนให้กับนักรบคนใดคนหนึ่ง ส่งผลให้วรยุทธของผู้นั้นเพิ่มสูงขึ้น แต่ด้วยเหตุที่มันสร้างความบอบช้ำสาหัสให้กับผู้ใช้ค่ายกล จึงแทบไม่มีใครใช้ค่ายกลนี้มาก่อน
หลินชีคิดไม่ถึงว่าหัวหน้าตระกูลจะยื่นข้อเสนอแบบนี้
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ขอแค่คุณได้เป็นเจ้าเมือง ทุกอย่างก็คุ้มค่า ตอนนี้มีเรื่องเดียวที่คุณต้องทำ คือปรับสภาวะร่างกายของตัวเอง เตรียมตัวให้พร้อมรับพละกำลังของแปดผู้อาวุโส!” หัวหน้าตระกูลพูดพร้อมกับโบกมือ
ไม่ช้า ผู้อาวุโสทั้ง 8 ของตระกูลหลินซึ่งล้วนเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำก็เข้ามาในห้องของหลินชีและรีบจัดเตรียมค่ายกล จากนั้นก็ถ่ายทอดพละกำลังเข้าสู่ร่างของหลินชี
กระบวนการนี้ใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมง
…..
หลินชีรู้สึกสดชื่นและกระชุ่มกระชวย เขารู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง ในโลกนี้คงไม่มีสิ่งใดยับยั้งเขาได้
หลินชีรวบรวมพละกำลังทั้งหมดเข้าสู่จุดตันเถียน ระดับวรยุทธของเขาเพิ่มสูงขึ้น
เทพเจ้าสวรรค์สร้าง กึ่งขั้นสูง!
แม้เขายังไม่อาจยกระดับวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงได้ในรวดเดียว แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าประสิทธิภาพการต่อสู้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“ด้วยพละกำลังระดับนี้ ตำแหน่งเจ้าเมืองจะต้องตกอยู่ในกำมือของเรา…” หลินชีระบายลมหายใจยาว แววตาของเขาเปล่งประกายมุ่งมั่นทะเยอทะยาน
สมัยก่อน โอกาสที่เขาจะเอาชนะหมิงไล่เชียงได้มีแค่ 50:50 แต่หลังจากซึมซับพละกำลังของ 8 ผู้อาวุโสแล้ว ก็มั่นใจว่าคงเอาชนะเธอได้อย่างง่ายดาย
ตำแหน่งเจ้าเมืองจะต้องเป็นของเขา!
“ขอบคุณมาก ทุกคน…” หลินชีโค้งคำนับอย่างงามด้วยความสำนึกในบุญคุณต่อผู้อาวุโสทั้ง 8 ที่นอนแผ่อยู่กับพื้น ทุกคนมีท่าทีราวกับถูกดูดพลังออกไปจนหมดเกลี้ยง
อันที่จริง ผู้อาวุโสทั้ง 8 ยอมแลกวรยุทธของตัวเองกับการยกระดับวรยุทธให้เขาเพียงเล็กน้อย
การสูญเสียนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำรวดเดียวถึง 8 คนย่อมเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ไม่ว่ากับกลุ่มอำนาจในไหนในเมืองแสงสนธยา ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ปกติ คงไม่มีใครตัดสินใจทำแบบนี้
แต่สถานการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันหันบีบให้พวกเขายอมทำทุกอย่าง เพราะหากเจ้าเมืองคนใหม่ได้รับการสนับสนุนและมีรากฐานอำนาจที่มั่นคงขึ้นมาเมื่อไหร่ การจะแย่งชิงตำแหน่งจากอีกฝ่ายก็แทบเป็นไปไม่ได้
ขอแค่เขาได้เป็นเจ้าเมือง จะชดเชยอย่างงามให้กับผู้อาวุโสทั้ง 8 ที่ยอมเสียสละ!
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว คว้าตำแหน่งเจ้าเมืองมาให้ได้ ต่อให้พวกเราต้องตายก็ถือว่าคุ้ม…” ผู้อาวุโสเคราขาวโพลนตอบอย่างอ่อนแรง
“ไปเถอะ ตำแหน่งเจ้าเมืองจะต้องเป็นของตระกูลหลินของพวกเราเท่านั้น…” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งเสริม
“ได้” หลินชีโค้งคำนับอย่างงามให้เหล่าผู้อาวุโสอีกครั้งก่อนจะออกจากห้อง
ขณะที่เขากำลังจะมุ่งหน้าออกไป พ่อบ้านคนเมื่อครู่ก็รีบเข้ามารายงาน “ท่านหัวหน้า นายน้อยหลินชี…นักรบพเนจรหวูหยาง หัวหน้าตระกูลเทียนเฟย และหัวหน้าตระกูลจ้าวเหมิงกับผู้ติดตามมาขอเข้าพบ!”
“พวกเขามาที่นี่? คิดจะทำอะไร?” หัวหน้าตระกูลหลินกับหลินชีสบตากัน
จริงอยู่ว่าทั้ง 3 ตระกูลใหญ่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่เพราะอยู่ในสถานภาพที่เป็นคู่แข่ง จึงมีความหวาดระแวงต่อกันและกันด้วย น่าแปลกใจที่พวกนั้นมาที่นี่ในยามวิกาล
“เชิญพวกเขาเข้ามา!” หัวหน้าตระกูลออกคำสั่ง
ไม่ช้าทุกคนก็เข้ามานั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่
“ยินดีที่ได้พบคุณ หัวหน้าตระกูลหลินและนายน้อยหลินชี” ทั้งกลุ่มกล่าวทักทาย
“ยินดีที่ได้พบพวกคุณเช่นกัน ผมอยากรู้เหตุผลที่พวกคุณมาหาผมดึกดื่นค่ำคืนแบบนี้”
หัวหน้าตระกูลหลินรีบตรงเข้าประเด็น
หัวหน้าตระกูลเทียนหัวเราะเบาๆก่อนจะให้คำตอบ “พวกเราตรงมาที่นี่ทันทีหลังจากได้ฟังการบรรยายของท่านเจ้าเมือง เราเห็นว่าตรงนั้นไม่มีคนจากตระกูลหลินอยู่เลย จึงเดินทางมาที่นี่”
“การบรรยายของเจ้าเมือง? ตระกูลหลินของพวกเราคือตระกูลหมายเลข 1 ของเมืองแสงสนธยา เราไม่สิ้นคิดถึงขนาดไปฟังการบรรยายของคนหนุ่มอวดดีหรอก!” หลินชีโพล่งออกมาเมื่อได้ยินประโยคนั้น “พวกคุณล้อผมเล่นใช่ไหม?”
“หัวหน้าตระกูลหลิน พวกเรามาที่นี่ด้วยความหวังดีนะ เราเกรงว่าคุณจะพลาดของดี เพราะไม่มีสมาชิกในตระกูลของคุณอยู่ในกลุ่มผู้ฟังการบรรยายเลย พวกเราตั้งใจใช้ผลึกบันทึกเก็บคำบรรยายเพื่อนำมาแบ่งปันให้คุณ คุณจะปฏิเสธเราก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่เกินไปหน่อยหรือที่ดูถูกท่านอาจารย์ของพวกเราแบบนั้น?” หัวหน้าตระกูลเทียนถึงกับอารมณ์เสีย
มันเป็นการบรรยายสั้นๆเพียง 4 ชั่วโมง แต่นั่นก็เกินพอจะทำให้เขายำเกรงสุดหัวใจในตัวชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนอนุสาวรีย์หิน ความรู้ที่เขาได้รับจากอีกฝ่ายมากเกินพอที่จะทำให้ยอมรับท่านเจ้าเมืองเป็นอาจารย์
“ท่านอาจารย์ของคุณ? ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมรู้น่ะว่าเขาเป็นเจ้าเมืองคนใหม่ แต่คุณก็ไม่เห็นต้องศิโรราบให้เขารวดเร็วขนาดนั้นนี่!”
“อีกไม่นานก็คงถูกเฉดหัว และคงเป็นเจ้าเมืองที่ครองตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน” หลินชีคำราม
“เฉดหัว? คุณคิดจะก่อการกบฎหรือ?” หัวหน้าตระกูลเทียนถึงกับจังงังก่อนจะหัวเราะลั่น “ผมเข้าใจแล้ว! เพราะคุณฝ่าด่านวรยุทธได้นี่เอง ถึงกล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมา…”
ในตอนนั้น หวูหยางที่นั่งเงียบมาตลอดก็ออกความเห็น “ในเมื่อพี่หลินฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างกึ่งขั้นสูงได้แล้ว คุณสนใจจะดวลกับผมไหม?”
ทั้งคู่แย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมืองกันมากว่าครึ่งปีและเคยปะทะกันหลายครั้ง จึงคุ้นเคยกับทักษะของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“ผมยินดีรับคำท้าของคุณ!” หลินชีตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ
หลังจากที่ฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ เขาก็อยากทดสอบพละกำลังที่ได้มาใหม่ ซึ่งคงจะดีหากได้ทดสอบกับคู่แข่งขันเก่า เพื่อแสดงให้ทุกคนในเมืองแสงสนธยารู้ว่าเขาไม่ใช่หลินชีคนเดิม!
ฟึ่บ!
หลินชีพุ่งออกไปขณะเงื้อฝ่ามือขึ้นเตรียมโจมตีหวูหยาง
ในเมื่อเขาตัดสินใจทดสอบพละกำลังที่ได้มาใหม่กับหวูหยาง ก็คงเยี่ยมยอดหากเล่นงานอีกฝ่ายจนพ่ายแพ้ยับเยินได้
หลินชีจึงใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาตั้งแต่เริ่มต้นโดยไม่คิดจะยั้งมือ
เพียะ!
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ประชิดตัวหวูหยาง ก็พลันเจ็บแปลบที่แก้ม ร่างของเขาหมุนคว้าง 2 รอบกลางอากาศก่อนจะร่วงลงมากระแทกพื้น
ด้วยความงุนงงอย่างหนัก หลินชีพยายามโงหัวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นหวูหยางปัดฝุ่นออกจากมืออย่างสบายใจหลังจากที่ตบหน้าเขา
“คุณ…”
หลินชีตาแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยวขณะพุ่งออกไปอีกครั้ง
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
เขาถูกตบหน้าอย่างจัง 3 ครั้งติดต่อกัน ทำเอาล้มกลิ้งไปกับพื้น หลินชีใช้มือกุมแก้มที่บวมเป่งไว้ขณะจ้องหน้าหวูหยางอย่างงงงัน
“พละกำลังของคุณ…”
ไม่ว่าจะมองอย่างไร หวูหยางก็เป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง แล้วอีกฝ่ายทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร?
ทั้งคู่เคยต่อสู้กันอย่างสมน้ำสมเนื้อมาก่อน แถมตัวเขาก็เพิ่งฝ่าด่านวรยุทธมาหมาดๆ ไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะหมดหนทางรับมือกับอีกฝ่าย!
“หลินชี ผมมองคุณเป็นคู่แข่งมาตลอด แต่ตอนนี้คุณไม่คู่ควรกับตำแหน่งนั้นแล้ว!” หวูหยางลดสายตาลงมองหลินชีอย่างดูถูก “และอีกอย่าง ถ้าคุณกล้าพูดถึงท่านเจ้าเมืองแบบแย่ๆอีกครั้งล่ะก็ ผมจะฆ่าคุณเสีย!”
เมื่อพูดจบ หวูหยางก็หันหลังกลับและออกจากคฤหาสน์ไป
“เอ่อ…”
หลินชีแทบเสียสติ
เขาเคยคิดว่าเมื่อฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้ว ก็คงไม่มีใครในเมืองแสงสนธยาเทียบชั้นกับเขาได้ ใครจะไปรู้ว่าลงท้ายจะถูกคู่แข่งตบหน้าจนหมดสภาพแบบนี้?
จู่ๆหมอนั่นทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร?
เมื่อวันก่อนก็เพิ่งสู้กัน ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีพละกำลังใกล้เคียงกับที่เป็นอยู่ในตอนนี้เลย
“ในเมื่อความคิดเห็นของพวกเราต่างกันแล้ว เป็นพันธมิตรกันต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์ นายน้อยหลิน…เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตของพวกเรานะ ผมอยากจะแนะนำคุณสักหน่อยก่อนที่ผมจะกลับ อย่าต่อต้านท่านเจ้าเมืองอีกเลย คุณมีแต่จะทำให้ตระกูลหลินล่มจมเร็วขึ้น” หัวหน้าตระกูลเทียนพูดขณะลุกขึ้นยืน
“ฮะ? คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าพูดจาโอหังแบบนี้ต่อหน้าผม?”
เมื่อเห็นว่าแม้แต่หัวหน้าตระกูลเทียนซึ่งเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำยังกล้าพูดจาดูถูกเขา หลินชีหมดความอดทน เขาลุกพรวดและปล่อยหมัดเข้าใส่อีกฝ่าย
เขาอาจจะสู้หวูหยางไม่ได้ แต่การรับมือกับชายที่อ่อนด้อยกว่าเขามากยอมง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
แต่ก็อีกครั้ง ยังไม่ทันที่หมัดของหลินชีจะถึงตัวหัวหน้าตระกูลเทียน เสียงตบรัวๆก็ดังขึ้นที่สองแก้มของเขาอย่างจัง ทำเอาร่วงลงไปกองกับพื้น
การถูกทำร้ายครั้งนี้ทำให้หลินชีสติแตก
โลกทั้งโลกควรเป็นของเขาหลังจากที่เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ