สิ่งที่จัวเหยียนเพิ่งอธิบายคือเทคนิควรยุทธที่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำใช้ฝึกฝนเพื่อยกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลาง เพราะจางเซวียนเคยประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธขั้นนี้ จึงคุ้นเคยกับมันดี
แม้วิธีการที่จัวเหยียนสาธยายจะอ่อนด้อยกว่าเคล็ดวิชาเทียบฟ้ามาก แต่สำหรับนักรบทั่วไปก็ถือว่าน่าพอใจ ข้อบกพร่องมีไม่มาก
ด้วยวิธีนี้ ขอแค่จัวเหยียนรวบรวมพลังงานสวรรค์ได้มากพอ การจะฝ่าด่านวรยุทธก็คงไม่ยากเกินไป แล้ววรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรกได้อย่างไร? อีกอย่าง เท่าที่ดูจากความรุนแรงของอาการบอบช้ำ อีกฝ่ายก็ดูจะสาหัสไม่เบา
“ไม่น่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้…”
ฟ่านเจ๋อกำลังคิดว่าจัวเหยียนจดจำเทคนิควรยุทธไปผิดๆ ทำให้เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ระหว่างการฝึกฝนวรยุทธ แต่กลับตรงกันข้าม สิ่งที่จัวเหยียนอธิบายล้วนถูกต้อง
เรื่องนี้ทำให้ฟ่านเจ๋องุนงงอย่างหนัก
การที่อาจารย์คนหนึ่งทำให้วรยุทธของลูกศิษย์ถูกธาตุไฟเข้าแทรกถือเป็นความผิดร้ายแรง ต่อให้เขาเป็นปรมาจารย์ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดที่ตัวเขาจะแบกรับไหว
“ถ้าไม่มีข้อผิดพลาด ลูกชายของผมจะเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? เห็นๆกันอยู่ว่าความห่วยแตกของคุณทำให้เป็นแบบนี้!” นายพลเกราะเงินตวาดก้อง
“กรุณาใจเย็นก่อนเถอะ มาดูกันว่าจะรักษาลูกชายของคุณได้อย่างไร” ฟ่านเจ๋อพูดขณะถ่ายทอดพลังงานสวรรค์ของเขาเข้าสู่ร่างของจัวเหยียนเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด
วรยุทธของจัวเหยียนถูกธาตุไฟเข้าแทรกจริงๆ และเท่าที่ดูจากอาการบาดเจ็บของชายหนุ่ม สาเหตุก็น่าจะมาจากเทคนิควรยุทธที่เขาเคยถ่ายทอดให้…
หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่ได้ถ่ายทอดเทคนิควรยุทธที่ผิดเพี้ยน และจัวเหยียนก็ไม่ได้ฝึกฝนเทคนิควรยุทธแบบผิดๆ แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง วรยุทธของอีกฝ่ายกลับถูกธาตุไฟเข้าแทรก
“มันผิดพลาดตรงไหน?”
ฟ่านเจ๋อถึงกับจนปัญญา
เขาเป็นปรมาจารย์มา 15 ปีแล้ว มีลูกศิษย์ลูกหาอย่างน้อยกว่า 8,000 คน นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องเจอกับสถานการณ์พิลึกพิลั่น
เมื่อหาคำตอบไม่ได้ ฟ่านเจ๋อก็หันไปสั่งการลูกศิษย์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง “เชิญนายแพทย์หยูเฟิงมา!”
“นายแพทย์หยูเฟิงคือหนึ่งในนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในเมืองหลวง เขาน่าจะแก้ปัญหานี้ได้สบาย”
“ขอแค่เราระบุต้นตอของปัญหาได้ การจะแก้ไขก็คงไม่ใช่เรื่องยาก!”
“รักษาลูกชายของคุณก่อนเถอะ เรายังมีเวลาอีกมากที่จะหารือเรื่องเหตุผลที่ทำให้วรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก แต่ขอให้เขาหายดีเสียก่อน”
“ก็จริง แต่จะว่าไป ผมขอบอกเลยว่าฟ่านเจ๋อคนนั้นทำหน้าที่ครูบาอาจารย์ล้มเหลว แทนที่จะสอนในชั้นเรียนให้ดี กลับเลือกที่จะสอนพิเศษเพื่อให้ได้เงินเพิ่ม ผมรู้เรื่องนี้มานานแล้ว”
“ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสาวของผมก็ร่ำเรียนกับเขา ผมคงสั่งสอนบทเรียนให้เขาไปแล้ว เป็นเพราะเกรงว่าเขาจะไม่หวังดีกับลูกสาวของผมหรอก ผมถึงยั้งมือไว้ เพราะถ้าเขาสั่งสอนลูกสาวของผมผิดๆล่ะก็ อนาคตของเธอคงป่นปี้ไม่มีเหลือ!”
“ผมได้ยินว่าเขาขายที่นั่งพิเศษในชั้นเรียนด้วย พ่อแม่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเก็บที่นั่งแถวหน้าไว้ให้ลูกๆของพวกเขา…”
เสียงออกความเห็นเซ็งแซ่ของฝูงชนทำให้จางเซวียนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
ถ้าสิ่งที่คนอื่นๆคุยกันเป็นเรื่องจริง ก็หมายความว่าฟ่านเจ๋อขาดคุณสมบัติของการเป็นปรมาจารย์ ต่อให้เป็นอาจารย์ที่เก่งกาจแค่ไหนก็ตาม
การตัดสินคนคนหนึ่งนั้นควรเริ่มที่หลักการ ตามด้วยความสามารถ
ทวีปแห่งปรมาจารย์มีวัฒนธรรมที่เหล่าครูบาอาจารย์ได้รับความเคารพสูงสุด พวกเขาถูกคาดหวังให้ปฏิบัติตัวในรูปแบบที่สูงส่งและปราศจากความเห็นแก่ตัว ด้วยอิทธิพลนั้น แม้บางอย่างจะเปลี่ยนไปบ้างตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา แต่ปรมาจารย์ส่วนใหญ่ก็ยังภาคภูมิใจในการกระทำของพวกเขา ไม่เคยลดมาตรฐานของตัวเองลงมา
แต่ฟ่านเจ๋อเลือกที่จะละทิ้งความรับผิดชอบ ไม่ใส่ใจความเป็นมืออาชีพ เพียงเพื่อจะหาเงินให้ได้มากกว่าเดิม
ทั้งๆที่เขาควรเอาใจใส่ว่าลูกศิษย์ต้องการอะไร ในหัวสมองก็กลับเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าจะเก็บงำบทเรียนเอาไว้แค่ไหนเพื่อรีดเงินจากลูกศิษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้…
ไม่น่าแปลกใจที่นายพลเกราะเงินโมโหเดือดจนใช้กำลังกับฟ่านเจ๋อ แม้จะรู้ดีว่าตัวเองกำลังฝ่าฝืนกฎ
เพราะการให้ลูกศิษย์โดยปราศจากความเห็นแก่ตัว เหล่าปรมาจารย์ในทวีปแห่งปรมาจารย์จึงได้รับความเคารพอย่างสูง
ด้วยสิ่งที่ฟ่านเจ๋อกำลังทำอยู่ ต่อให้เขามีความสามารถหรือเก่งกาจแค่ไหน ก็ย่อมถูกผู้คนดูหมิ่นดูแคลน
ฝูงชนไม่คิดจะลดเสียง ฟ่านเฉิงจึงได้ยินทุกอย่างถนัดชัดเจน เขาหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีด้วยความร้อนใจ อยากจะปฏิเสธคำพูดเหล่านั้นและบอกทุกคนว่าพวกเขาคิดผิด แต่ก็ทำไม่ได้
ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าชายชราคนหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้องบรรยาย
นายแพทย์หยูเฟิง
“ขอผมดูคนไข้หน่อย!”
หยูเฟิงไม่ทักทายใครและไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาเดินเข้าไปตรวจสอบสภาพร่างกายของจัวเหยียน สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทีละน้อย
“อวัยวะภายในของเขาบอบช้ำอย่างหนัก ทางเดินพลังปราณเสียหายในระดับรุนแรง โชคดีที่คุณรักษาเขาทันเวลาและสามารถระงับไม่ให้ทุกอย่างเลวร้ายไปกว่านี้ แต่พลังงานสวรรค์ของเขาเหือดแห้งไปจากร่างจนหมดแล้ว หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ เขื่อนที่คอยกักเก็บพละกำลังของเขาอยู่ถูกทำลาย ทำให้พลังงานรั่วไหลออกไปทุกหนแห่ง ผมเกรงว่าการเยียวยาเขาให้กลับคืนสภาพเดิมน่าจะทำได้ยาก…”
คำพูดนั้นทำให้ฟ่านเจ๋อเลิกคิ้ว
ถ้าอาการของจัวเหยียนมีทางรักษา เขาก็ยังมีโอกาสไกล่เกลี่ยกับนายพลเกราะเงินได้ แต่หากคำวินิจฉัยของหยูเฟิงถูกต้อง เขาก็ตกที่นั่งลำบาก เพราะหากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป เขาคงไม่มีทางประกอบอาชีพเป็นปรมาจารย์อยู่ในเมืองหลวงได้อีก
“คุณมันไอ้ครูสารเลว! ต่อให้กองทัพจะลงโทษผม ผมก็สาบานว่าวันนี้ผมจะต้องฆ่าคุณให้ได้!”
คำวินิจฉัยของหยูเฟิงกระพือโทสะให้ลุกโพลงในหัวอกของนายพลเกราะเงิน เขาคำรามก้อง จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดเข้าใส่ฟ่านเจ๋ออย่างแรง
ถึงลูกชายของเขาจะไม่เก่งกาจปราดเปรื่องเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังคาดหวังในตัวอีกฝ่าย นายพลเกราะเงินหวังว่าลูกชายจะกลายเป็นบุคคลที่ได้รับการเคารพยกย่องในเมืองหลวงเหมือนกับตัวเขา และก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้เขาตัดสินใจส่งลูกชายมาศึกษาที่สภาปรมาจารย์
เพราะถึงอย่างไร จัวเหยียนก็เป็นผู้สืบทอดยีนของเขา ขอแค่ตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก แม้สุดท้ายจะไม่ได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่ก็น่าจะได้เป็นเทพเจ้าขั้นสูงและใช้ชีวิตอย่างสบาย…
แต่ตอนนี้…
เขาเสียเงินไปก้อนใหญ่เพียงเพื่อให้ไอ้สารเลวฟ่านเฉิงทำลายอนาคตของลูกชายของเขา!
จะให้เขายอมรับได้อย่างไร?
ฟึ่บ!
ฟ่านเจ๋อรีบยกแขนขึ้นเพื่อป้องกันตัว แต่เรี่ยวแรงมหาศาลของนายพลเกราะเงินทำให้เขาถอยกรูดไปหลายก้าว แถมกระอักเลือดออกมาอีกรอบ
“อย่าทำกับผมเหมือนไอ้โง่เพียงเพราะผมไม่ตอบโต้นะ!” ฟ่านเจ๋อตะโกนก้องขณะเริ่มขับเคลื่อนพลังงานสวรรค์
เขารู้ดีว่าไม่อาจใช้วิธีการแบบสันติคลี่คลายเรื่องนี้ได้แล้ว และหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคงต้องตายแน่ จึงตัดสินใจตอบโต้
ในฐานะปรมาจารย์ที่เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง แม้ประสบการณ์การต่อสู้ของเขาจะอ่อนด้อยกว่านายพลเกราะเงิน แต่ก็ไม่อาจสบประมาทประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เขามีอยู่ได้
ทั้งคู่พุ่งใส่กันและแลกหมัดกันหลายครั้ง เพียงเพื่อจะพบว่ากินกันไม่ลง แรงตีกลับทำให้ทั้งนายพลเกราะเงินและฟ่านเจ๋อถอยกรูดไปพร้อมกัน คลื่นความสั่นสะเทือนทำลายเก้าอี้หลายตัวในห้องจนพังพินาศ
“ผมขอสาบานด้วยแซ่ของผมเลยว่าวันนี้จะต้องลากคุณลงนรกให้ได้!” นายพลเกราะเงินคำรามกร้าว
เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่กำลังบ้าเลือด ฟ่านเจ๋อก็ไม่กล้ายั้งมือ เขาชักดาบออกมาและขับเคลื่อนพลังงานสวรรค์จนเต็มพิกัด
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะปะทะกันอีกรอบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ช้าก่อนเถอะ พวกคุณจะปล่อยให้ผมตรวจสอบอาการของชายหนุ่มผู้บาดเจ็บคนนี้เพื่อดูว่าจะรักษาอย่างไรก่อนได้ไหม? แล้วค่อยสู้กันต่อ”
ทุกคนหันขวับไปมอง เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา มีชายร่างตุ้ยนุ้ยคนหนึ่งเดินตามหลัง
“คุณอยากรักษาเขา? ทางเดินพลังปราณของเขาเสียหายหมดแล้วเพราะผลจากการที่วรยุทธถูกธาตุไฟเข้าแทรก คุณคิดจะรักษาเขาอย่างไร?” หยูเฟิงคำราม
“คุณคือ…” ฟ่านเจ๋อตั้งคำถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกล้าเข้ามาขัดจังหวะในสถานการณ์คับขันแบบนี้
“ผมชื่อจางเซวียน เคยศึกษาเรื่องการรักษาโรคมาบ้าง ถึงทักษะของผมจะอ่อนด้อยกว่านายแพทย์หยูเฟิง แต่ก็เคยมีประสบการณ์การรักษานักรบที่วรยุทธถูกธาตุไฟเข้าแทรก ผมคิดว่าผมรู้วิธีรักษาเขา” จางเซวียนพูด
เขาดูออกว่าถ้าปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไป จะต้องมีใครสักคนตายไปข้าง จึงอดไม่ได้ที่จะต้องขัดจังหวะ
จางเซวียนไม่ชอบก้าวก่ายกิจธุระที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง เมื่อรับรู้ถึงสิ่งที่ฟ่านเจ๋อทำลงไป ก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างหนักหากจะนิ่งเฉยและปล่อยให้เกิดเรื่องอย่างที่เป็นอยู่
เมื่อพูดจบ จางเซวียนก็เดินไปหาจัวเหยียนโดยไม่รอคำตอบของทั้งคู่
เด็กหนุ่มดูจะมีอายุราว 17 หรือ 18 ปี แต่ใบหน้าของเขาซีดเหลืองและอมโรค เขาเหงื่อโชกเพราะกำลังอดกลั้นกับความเจ็บปวดแสนสาหัส
จางเซวียนทาบนิ้วลงบนชีพจรของชายหนุ่มและถ่ายทอดพลังงานสวรรค์ของเขาเข้าสู่ร่างของอีกฝ่ายเพื่อทำการวินิจฉัยเบื้องต้น
ครู่ต่อมาก็ชักนิ้วกลับ
เป็นอย่างที่หยูเฟิงบอกไว้ ก่อนหน้านี้วรยุทธของจัวเหยียนถูกธาตุไฟเข้าแทรก ส่งผลให้ร่างกายได้รับความบอบช้ำอย่างรุนแรง ทางเดินพลังปราณหลายเส้นถูกทำลาย ทำให้พลังงานสวรรค์รั่วไหลออกมาหลายแห่ง สร้างความบอบช้ำให้กับอวัยวะภายในของเขา
นายพลเกราะเงินน่าจะใช้ยาเม็ดล้ำค่าหลายขนานเพื่อป้องกันไม่ให้อาการของลูกชายย่ำแย่ไปกว่านี้ ซึ่งหากไม่ทำอย่างนั้น ป่านนี้เด็กหนุ่มคงตายไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ จึงพอเข้าใจได้ว่าทำไมนายพลเกราะเงินถึงโมโหหนัก
ใครก็ตามที่อยู่ในสถานภาพเดียวกับเขาก็ต้องเป็นแบบนี้
“คุณได้ความคิดอะไรบ้างไหม?” นายพลเกราะเงินตั้งคำถาม
เขาไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวจางเซวียนหลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายอายุยังน้อย แต่เพราะอาการร่อแร่ของลูกชาย จึงต้องคว้าฟางทุกเส้นที่พอจะคว้าได้
“ผมคิดออกนะ เพียงแต่…” จางเซวียนตอบอย่างลังเล
“ผมพร้อมจ่ายเท่าไหร่เท่ากัน ขอแค่คุณทำให้ลูกชายของผมกลับมาเป็นเหมือนเดิม!”
นายพลเกราะเงินเข้าใจเจตนาของจางเซวียนผิด เขารีบนำบัตรใบหนึ่งออกมายื่นให้