เขาพอเข้าใจว่าตระกูลใหญ่มักมีกฎเกณฑ์เข้มงวด แต่แบบนี้ก็ดูจะเกินไป
“ตลาดมืดเป็นเรื่องผิดกฎหมายในสรวงสวรรค์ ชนชั้นสูงส่วนใหญ่รู้ดีว่ามีตลาดมืด แต่ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็เข้าใจว่าการจะรักษาความสงบสุขภายในเมืองใหญ่ที่ปราศจากตลาดมืดนั้นเป็นเรื่องยาก จึงมักเอาหูไปนาเอาตาไปไร่…” ฉีหลิงเอ๋อสาธยาย
การเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณจากสรวงสวรรค์เป็นหายนะที่ส่งผลกระทบต่อนักรบทุกคน ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการฝึกฝนวรยุทธและการดำรงชีวิต
ทรัพยากรส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ภายในเมืองหลวง มีกลุ่มอำนาจไม่กี่กลุ่มที่ได้ครอบครอง นั่นหมายความว่าเป็นเรื่องยากมากที่นักรบทั่วไปจะได้เข้าถึงทรัพยากรเหล่านั้น ซึ่งนั่นส่งผลให้เกิดความไม่สงบตามมา
ถ้านักรบทั่วไปพบว่าพวกเขาต้องหลังชนฝาเพราะไม่อาจยกระดับวรยุทธได้ ก็มีโอกาสที่ทุกคนจะรวมตัวกันและพยายามทำอะไรบางอย่าง
แน่นอนว่าการปฏิวัติไม่ส่งผลอะไรต่อผู้กุมอำนาจอย่างจอมราชันย์ ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ และราชันย์เทพเจ้า แต่นักรบเหล่านั้นก็ยังมีวิธีการอีกมากมายที่จะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้เกิดขึ้นในเมือง การสุมหัวกันตั้งกองโจรก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างชั้นดี
ด้วยเหตุนี้ การมีตลาดมืดอยู่จึงสำคัญมาก มันคือสถานที่ที่นักรบทั่วไปรู้ดีว่าจะเสาะหาทุกอย่างที่ต้องการได้แม้ราคาอาจจะสูงไปบ้าง ซึ่งนั่นช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาออกจากความไม่พอใจในกลุ่มอำนาจที่ปกครองเมือง นำมาซึ่งความมั่นคงและสงบสุข
จะว่าไป เรื่องนี้ก็เหมือนกับในโลกเก่าของจางเซวียนที่มีบางอาชีพถูกมองว่าผิดกฎหมาย แต่ผู้ทำหน้าที่บริหารปกครองก็เลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพราะรู้ดีว่าจำเป็นต้องมีกลุ่มอาชีพเหล่านั้น
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากก้าวก่าย แต่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงหากตัดสินใจเข้าไปวุ่นวาย
“ตลาดมืดเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลฉี เรื่องนี้อาจฟังดูน่าทึ่ง แต่สำหรับชนชั้นสูง พวกเขามองว่าตลาดมืดเป็นสถานที่ชั่วร้ายและไร้เกียรติ ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลตลาดมืดจึงมักเป็นสมาชิกที่ถูกคนอื่นๆในตระกูลเหยียดหยามและต่อต้าน”
ฉีหลิงเอ๋อยิ้มเจื่อนๆ
กลุ่มชนชั้นนำยอมรับการมีอยู่ของตลาดมืดด้วยความไม่เต็มใจ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าตลาดมืดเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
ต่อให้เธอทำผลงานดีเยี่ยมจากการเป็นผู้จัดการตลาดมืด แต่ก็ไม่อาจโอ้อวดเรื่องนั้นกับใครต่อใครได้!
เรื่องนี้ก็เหมือนกับการที่สายลับไม่อาจประกาศความดีความชอบของพวกเขาแม้จะได้ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองมากกว่าเหล่านายพล
“บอกคุณตามตรงนะ สายเลือดของฉันเรียกได้ว่าใกล้ชิดกับสายตรงของตระกูลฉีมาก แต่ด้วยความขัดแย้งของสมาชิกรุ่นก่อนๆ สายเลือดของฉันจึงถูกสายเลือดของฉีชุนเอ๋อต่อต้านมาตลอด เธอรู้ดีว่าพวกเราทำอะไรเธอไม่ได้เพราะติดที่พี่ชายของเธอ จึงทำทุกอย่างตามอำเภอใจ…”
“พี่ชายของเธอ?”
“พี่ชายของเธอคืออัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องที่สุดของตระกูลฉีในเวลานี้ เขาอายุ 30 ปลายๆ แต่เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงแล้ว อีกอย่าง เขาอดทนอยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้ถึงกว่า 4 ชั่วโมง”
“ตามที่เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลหารือกัน เขามีสภาวะของราชันย์เทพเจ้า! ได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธอย่างดีที่สุดเท่าที่มีในตระกูลของเรา จึงเป็นธรรมดาที่สถานภาพของเขาจะสูงส่งกว่าเดิมมาก” ฉีหลิงเอ๋อพูด
“ทะเลสาบจันทร์กระจ่าง?” จางเซวียนทวนคำ
“มันคือสถานที่ที่เหล่าสมาชิกตระกูลฉีใช้ขัดเกลาสายเลือดและบ่มเพาะกายเนื้อ ยิ่งสายเลือดของผู้นั้นมีความบริสุทธิ์มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งใช้เวลาอยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้นานขึ้น สมาชิกในตระกูลที่อดทนอยู่ในนั้นได้ 1 ชั่วโมงก็ถือเป็นอัจฉริยะชั้นยอดแล้ว ในประวัติศาสตร์ของตระกูลฉี มีเพียง 5 คนเท่านั้น, รวมทั้งตัวเขา ที่อดทนอยู่ในนั้นได้นาน ซึ่ง 4 คนแรกก็ลงเอยด้วยการได้เป็นราชันย์เทพเจ้า!” ฉีหลิงเอ๋อพยักหน้า
ด้วยเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ตระกูลฉีจึงปฏิบัติต่อพี่ชายของฉีชุนเอ๋อในสถานภาพราชันย์เทพเจ้า
บรรดาตระกูลชั้นนำที่แข่งขันกันเพื่อความเป็นเลิศในเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนคือตระกูลที่มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ซึ่งบรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลฉี, ฉีเหมิง ก็เป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้ตระกูลเหล่านี้โดดเด่นก็คือจำนวนราชันย์เทพเจ้าที่พวกเขามีอยู่ ดังนั้น ถ้าตระกูลฉีมีราชันย์เทพเจ้าเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ก็จะเหนือชั้นกว่าตระกูลอื่นๆ
ผู้ที่ถูกมองว่ามีศักยภาพพอจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าย่อมมีสถานภาพสูงส่งกว่าใคร เป็นธรรมดาที่ทั้งตระกูลจะพร้อมใจกันต่อต้านคนที่เขาไม่ชอบหน้า
นั่นอธิบายได้ว่าทำไมฉีหลิงเอ๋อถึงลงเอยด้วยการถูกเตะโด่งออกไปถึงเมืองตะวันรอนที่แสนห่างไกลทั้งที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลฉี ดูเหมือนการเมืองในตระกูลฉีจะซับซ้อนและเข้มข้นไม่น้อย
“คุณเคยเข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างหรือเปล่า?” จางเซวียนถาม
“ฉันเคยเข้าไปครั้งหนึ่ง แต่ทนอยู่ที่นั่นได้ไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ้ำ” ฉีหลิงเอ๋อส่ายหน้า
ถ้าเธออดทนอยู่ที่นั่นได้ถึง 4 ชั่วโมง ตระกูลฉีจะต้องหันมาทำดีกับเธอแน่ ต่อให้ฉีชุนเอ๋อก็คงก็ไม่กล้าหาเรื่องเธออีก!
ผู้ที่อ่อนแอกว่ามีแต่จะถูกย่ำยี มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้
“คุณอดทนอยู่ในนั้นได้ไม่ถึง 15 นาที? การอยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่างมันทรมานขนาดนั้นเลยหรือ?”
“พลังงานในทะเลสาบมีอานุภาพรุนแรงมาก สามารถกดข่มจิตวิญญาณและพลังงานสวรรค์สร้างของนักรบได้ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะใช้พลังงานสวรรค์สร้างปกป้องตัวเองได้เมื่ออยู่ในทะเลสาบ การอดทนอยู่ในนั้นเป็นเรื่องยาก ผู้ที่ทำได้มักเป็นสมาชิกที่มีสายเลือดบริสุทธิ์กว่าและมีความฉลาดปราดเปรื่องมากกว่าใครๆ” ฉีหลิงเอ๋ออธิบาย
ไม่ใช่เพราะเธอไม่พร้อมอดทนกับความเจ็บปวด แต่เธอทำจนสุดความสามารถแล้ว
การเข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างทำให้ฉีหลิงเอ๋อรู้สึกเหมือนทุกเซลล์ในร่างกายถูกเฉือนเป็น 2 ท่อนพร้อมๆกัน ถ้าเธอฝืนทนต่อไป คงต้องตายหรือไม่ก็เสียสติแน่
“โดยปกติ ฉันจะหลีกเลี่ยงการเข้ามาเมืองหลวงทุกวิถีทาง เพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ในตระกูลฉี แต่หลังจากได้กินยาเม็ดเพิ่มความงามของคุณ ก็รู้ทันทีว่าอาการบอบช้ำที่เคยได้รับนั้นหายไปหมดแล้ว ร่างกายของฉันมีศักยภาพสูงกว่าเดิมมาก ฉันรู้สึกว่าด้วยสภาวะแบบนี้ คงจะอดทนอยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้นานกว่าเดิม จึงหวังจะกลับตระกูลฉีและลองดูอีกสักครั้ง!” ฉีหลิงเอ๋ออธิบายอย่างค่อนข้างจะลังเล
“แปลว่าคุณอยากให้ผมหลอมยาเม็ดเพิ่มความงามให้คุณอีก เพื่อจะได้เพิ่มโอกาสในการเข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างใช่ไหม?” จางเซวียนเดาได้ทันทีว่าเธอคิดอะไร
ตอนที่เขาขอร้องฉีหลิงเอ๋อให้พาเขามาเมืองหลวงและเสนอจะชดเชยที่เธอยอมช่วยเหลือ อีกฝ่ายลังเลอยู่สักพักก่อนสุดท้ายจะตอบตกลง เท่าที่เห็น เรื่องนี้ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับทะเลสาบจันทร์กระจ่าง
ทะเลสาบจันทร์กระจ่างเป็นเครื่องชี้วัดความสามารถของสมาชิกตระกูลฉี ซึ่งผู้ที่อดทนอยู่ในนั้นได้นานกว่าก็จะได้การยอมรับจากคนอื่นๆในตระกูล
เป็นไปได้ว่าฉีหลิงเอ๋อน่าจะกำลังคิดว่าขอแค่เธอมียาเม็ดเพิ่มความงามมากพอ ก็น่าจะรับมือกับพลังงานดุเดือดในทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้ และอยู่ในนั้นได้นานพอที่จะทำให้สมาชิกในตระกูลยอมรับ
“ใช่…” ฉีหลิงเอ๋อตอบตามตรง
“ได้สิ ผมช่วยคุณได้!” จางเซวียนรับปาก “แต่คุณต้องพาผมไปทะเลสาบจันทร์กระจ่างกับคุณด้วย”
เขากำลังสนใจใคร่รู้ว่าสถานที่ที่ใช้บ่มเพาะกายเนื้อซึ่งขึ้นชื่อในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนนั้นเป็นอย่างไร ก็พอดีกับที่ฉีหลิงเอ๋อพูดถึง เพียงแค่ได้ฟัง ก็พอมองเห็นอานุภาพของมันและหนทางการบ่มเพาะกายเนื้อของเขา
“ขอบคุณมาก นายน้อยจาง!” ฉีหลิงเอ๋อตาโตด้วยความดีใจ
อันที่จริง เป้าหมายของเธอไม่ใช่ยาเม็ดเพิ่มความงาม แต่เป็นตัวจางเซวียน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าอานุภาพของยาเม็ดเพิ่มความงามนั้นน่าทึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น ก็คงยืดระยะเวลาที่เธอจะอดทนอยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้อย่างมากก็เพียง 10 นาที
สิ่งที่เธอให้ความสำคัญมากกว่าคือความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจางเซวียน ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เธอได้เห็นแล้วว่าชายหนุ่มสามารถสร้างปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเธอหว่านล้อมให้อีกฝ่ายยอมช่วยเหลือเรื่องนี้ ก็น่าจะได้รับอะไรที่คาดไม่ถึง
“ฉันพาคุณไปทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้ แต่หากไม่มีสายเลือดตระกูลฉี คุณก็เข้าไปในพื้นที่ไม่ได้หรอก เพราะพลังงานรุนแรงของที่นั่นจะฉีกร่างคุณเป็นชิ้นๆ” ฉีหลิงเอ๋อตอบ
เธอไม่ได้กังวลเรื่องการที่ต้องพาจางเซวียนไปที่นั่น เพราะรู้ว่าทะเลสาบจันทร์กระจ่างมีลักษณะพิเศษอย่างไร ผู้ที่ไม่ได้มาจากตระกูลฉีไม่มีทางเข้าใกล้มันได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ด้วยเหตุนี้ ตระกูลฉีจึงไม่ได้เข้มงวดมากนักต่อการห้ามคนนอกไม่ให้เข้าใกล้ เพราะถึงอย่างไรก็ทำไม่ได้
“วางใจเถอะ ผมแค่อยากเห็นว่ามันเป็นอย่างไร” จางเซวียนตอบยิ้มๆ
เขาไม่ได้คิดจะเข้าไปในทะเลสาบนั่น อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่ตอนนี้
แต่พูดก็พูดเถอะ ถ้าเห็นได้ชัดว่าเขาสามารถบ่มเพาะกายเนื้อที่นั่นได้ ก็คงไม่มีวันละทิ้งโอกาส ขอแค่เขาทำตัวตามสบายและไม่ทำให้ทะเลสาบจันทร์กระจ่างเสียหาย ก็ไม่น่าจะมีอะไร…
“โล่งอกไปที…” ฉีหลิงเอ๋อเปรย
เมื่อแก้ปัญหาที่ค้างคาได้ ฉีหลิงเอ๋อรู้สึกเบาตัวเบาใจขึ้นมาก เธอจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็พลันรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีพละกำลังแตกต่างจากที่เคย ทั้งยังสง่างามกว่าแต่ก่อน
“เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ…สูงสุด? คุณฝ่าด่านวรยุทธได้แล้วหรือ?”
ฉีหลิงเอ๋อมึนหัวเล็กน้อย
“ผมบังเอิญส้มหล่นน่ะ” จางเซวียนตอบหน้าตาเฉย
ฉีหลิงเอ๋อยกมือขึ้นกุมหน้าอกขณะรู้สึกเหมือนจะหายใจขัด
ราวกับสวรรค์ส่งชายหนุ่มผู้นี้ลงมาเพื่อทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจ!
ถ้าฉันจำไม่ผิด ตอนที่เราพบกันเมื่อสองสามวันก่อน คุณเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ ใช่ไหม?
นี่ก็เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน คุณกลายเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างแล้ว!
วรยุทธนั่นห่างกันถึง 3 ขั้นเต็มๆเชียวนะ!
สายเลือดจอมราชันย์ไร้เทียมทานถึงขนาดทำให้ผู้นั้นก้าวข้ามด่านคอขวดได้ง่ายดายแบบนี้เชียวหรือ?
และที่เลวร้ายกว่าเดิมก็คือท่าทีของหมอนั่น!
การที่เขายกระดับวรยุทธได้อย่างง่ายดายก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เขาพูดถึงมันราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จเลยสักนิด…
คุณรู้บ้างไหมว่ามันยากเย็นแค่ไหนกว่าคนอื่นๆจะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง?
สิ่งนี้ทำให้ฉีหลิงเอ๋อแน่ใจในตัวตนของจางเซวียนยิ่งกว่าเดิม