“ก็อย่างที่คุณคิดนั่นแหละ มันคือสงครามสวรรค์!” ปรมาจารย์ขงตอบ “เป็นการต่อสู้ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พละกำลังทุกรูปแบบของโลกจะรวมตัวกันและสลายไปพร้อมกับกาลเวลา นี่คือวัฏจักรของธรรมชาติที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ หากผมชนะ ผมก็จะกลายเป็นผู้หยั่งรู้คนใหม่ของสรวงสวรรค์ แต่หากแพ้ จิตวิญญาณของผมก็จะเสื่อมสลายไป และทุกอย่างจะจบลงตรงนี้”
“สงครามสวรรค์…” จางเซวียนหน้าซีด “ถ้าอย่างนั้น เธอกับผมก็…”
นั่นหมายความว่า สุดท้ายเขาก็ต้องสู้กับหลัวลั่วชิงเหมือนกันอย่างนั้นหรือ?
เขากับเธอต้องแย่งชิงความเป็นหนึ่งด้วยหรือไง?
หรือนี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอไม่เต็มใจตอบรับคำสารภาพความในใจของเขา แถมยังหาข้อบ่ายเบี่ยงมากมายเพื่อผลักไส?
ในครั้งนั้น จางเซวียนเคยคิดว่าอาจมีอำนาจบางอย่างบงการเธออยู่เบื้องหลังและห้ามไม่ให้พวกเขาสานสัมพันธ์กัน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นเสียแล้ว
ในสงครามสวรรค์ จะมีผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
เมื่อตอนที่ทั้งคู่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาเคยถามหลัวลั่วชิงหลายครั้งถึงเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเธอ แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่หนักแน่นพอ
เมื่อคิดดูอีกที ก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่เต็มใจพูด แต่เธอพูดไม่ได้ ถ้าหลัวลั่วชิงเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเธอให้เขารู้ก่อนเวลา ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสวรรค์จะต้องตอบโต้การเปิดเผยความลับครั้งนี้
ตัวเขากับเธออาจต้องดวลกันแบบชี้เป็นชี้ตายก่อนถึงเวลาอันควร!
“ถ้าผมชนะ คู่ต่อสู้คนต่อไปที่คุณจะต้องเจอก็คือผม แต่ถ้าผมแพ้ ก็จะเป็นคุณกับเธอที่ต้องสู้กัน นี่คือชะตากรรม เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขมันได้” ปรมาจารย์ขงพูดอย่างหนักแน่น
แม้สิ่งที่พวกเขากำลังพูดคุยกันคือเรื่องความเป็นความตาย แต่อีกฝ่ายก็ยังรักษาความสุขุมไว้ได้
“สวรรค์ที่คุณพูดถึง…หมายถึงสวรรค์ของสรวงสวรรค์แห่งนี้หรือเปล่า?” จางเซวียนถาม “ไม่มีวิธีหลีกเลี่ยงเลยหรือ?”
“ไม่มี” ปรมาจารย์ขงส่ายหน้า
“แต่…สรวงสวรรค์ก็ยังคงอยู่ดีนี่นา? นักรบส่วนใหญ่ยังพัฒนาตัวเองได้ ชีวิตก็ยังคงเติบโตงอกงาม! ถ้าสวรรค์แตกเป็นเสี่ยงๆจริงๆ ก็คงไม่ใช่แบบนี้นะ!” จางเซวียนอุทาน
ถ้าสรวงสวรรค์ถูกแบ่งออกเป็นสามฝ่าย คือพวกเขาทั้งสามคน โลกนี้ก็น่าจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายครั้งใหญ่แล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จางเซวียนได้เห็น
“เติบโตงอกงาม?” ปรมาจารย์ขงส่ายหน้าอย่างขมขื่นใจ “สรวงสวรรค์น่ะหยุดเติบโตมา 40 ปีแล้วนะ พลังจิตวิญญาณค่อยๆเสื่อมถอย พืชพันธุ์ธัญญาหารและอสูรมากมายสูญพันธุ์ไป บรรดานักรบถูกบีบให้ต้องอาศัยอยู่เฉพาะภายในเมืองหลวง และประชากรส่วนใหญ่ก็ไม่มีรังสีสวรรค์มากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ นี่คือการขาดแคลนทรัพยากรสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธครั้งใหญ่ ทุกวันนี้เราอาจมีชีวิตรอด แต่หากเป็นอีกหลายร้อยปีข้างหน้าล่ะ ทุกอย่างจะต้องเหือดแห้งไม่มีเหลือ ถึงตอนนั้น แม้สิ่งมีชีวิตก็อยู่ไม่ได้…”
“คือ…” จางเซวียนพูดไม่ออก
เขารู้ว่าปรมาจารย์ขงพูดถูก
การเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณตั้งต้นตั้งแต่ 40 ปีก่อน พื้นที่ส่วนใหญ่ของสรวงสวรรค์กลายเป็นดินแดนแห้งแล้งทุรกันดาร สิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนตายและสูญพันธุ์ไป
นักรบส่วนใหญ่ไม่อาจยกระดับวรยุทธของพวกเขาได้อีกเพราะการขาดแคลนทรัพยากร
แต่เพราะสรวงสวรรค์สั่งสมทรัพยากรไว้มากมายเนิ่นนานนับปีไม่ถ้วนตั้งแต่มันถูกก่อตั้งขึ้นมา ทุกวันนี้จึงยังคงอยู่ได้ แต่ทรัพยากรทั้งหมดจะใช้ไปได้อีกนานแค่ไหน?
เมื่อนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ 40 ปีก่อนสิ้นอายุขัยไป จะมีเทพเจ้าสวรรค์สร้างอีกสักเท่าไหร่เข้ามาแทนที่พวกเขา?
แล้วยังราชันย์เทพเจ้ากับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอีกล่ะ?
เมื่อพลังจิตวิญญาณในอากาศลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ จะมีผู้คนอีกมากมายเท่าไหร่ที่ต้องเสียชีวิตเพราะความอดอยากหิวโหย?
แต่เขาไม่กล้านึกภาพเหล่านั้น!
นี่คือผลกระทบจากการที่สวรรค์แตกเป็นเสี่ยงๆหรือ?
“แต่ก็ยังมีการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณอยู่ใช่ไหม?” จางเซวียนถาม “ผมรู้มาว่าในช่วงเวลานั้น การเก็บเกี่ยวเอาทรัพยากรจำนวนมหาศาลเป็นสิ่งที่ทำได้”
การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณคือปรากฏการณ์ธรรมชาติของโลกที่เกิดขึ้นทุก 10 ปีนับตั้งแต่เกิดการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ ซึ่งในแต่ละครั้งที่เกิดการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ มันจะนำพาทรัพยากรจำนวนมหาศาลเข้าสู่สรวงสวรรค์ ทำให้พืชพรรณที่เหี่ยวแห้งและดินแดนทุรกันดารกลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
ก็เพราะเหตุนี้ ภูเขาจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ที่ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณมาเนิ่นนานจึงยังคงมีพืชพันธุ์ธัญญาหารขึ้นอยู่มากมายจนถึงทุกวันนี้
“ถ้าเทียบสรวงสวรรค์เป็นอาคารหลังหนึ่ง สวรรค์ก็คือเสาที่ค้ำจุนอาคารนั้นให้ตั้งอยู่ได้” ปรมาจารย์ขงพูด “แต่ตอนนี้ เสาถูกแบ่งแยกเป็นคุณกับผม ดังนั้น ไม่ช้าไม่นานอาคารก็จะต้องพังทลาย”
“การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณไม่ได้เป็นอะไรที่มากกว่าการค้ำจุนโครงสร้างนั้นให้มั่นคงได้ชั่วคราว แม้มันจะช่วยชะลอการพังทลายได้ แต่ก็เป็นแค่การอุดช่องว่างชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจยืนยงได้ยาวนาน”
“ยิ่งไปกว่านั้น ความยุ่งเหยิงแตกแยกครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ บรรดานักรบจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธในปริมาณที่มากขึ้น แม้มันจะดูเหมือนพลังที่ช่วยค้ำจุนความมั่นคงของสรวงสวรรค์ไว้ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นการเร่งความตายให้ใกล้เข้ามาต่างหาก คุณรู้ไหมว่ามีเทพเจ้า, เทพเจ้าสวรรค์สร้าง และราชันย์เทพเจ้ามากมายแค่ไหนที่ต้องตายไประหว่างการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ?”
คำนี้ทำให้จางเซวียนคิดหนัก
เรื่องพวกนั้นคือความลับของสรวงสวรรค์ ไม่เคยมีบันทึกไว้ในหนังสือเล่มใดก็ตามที่เขาได้อ่าน
“ไม่มีทางนับจำนวนของเทพเจ้ากับเทพเจ้าสวรรค์สร้างได้ แต่ก่อนจะเกิดการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ ในสรวงสวรรค์มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมากกว่า 300 คน และราชันย์เทพเจ้าอีกกว่า 1000 คน!”
“ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมากกว่า 300 คนกับราชันย์เทพเจ้าอีกกว่า 1000 คน?” จางเซวียนชะงัก
เท่าที่เขารู้ ตอนนี้มีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติเพียง 30 คนกับราชันย์เทพเจ้าอีกราว 100 คนเท่านั้น…
พูดอีกอย่างก็คือ สรวงสวรรค์สูญเสียผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดไปแล้วกว่า 90%
แปลว่าหลายปีที่ผ่านมา มีเทพเจ้าสวรรค์สร้างกับเทพเจ้าเสียชีวิตไปแล้วมากมายแค่ไหน?
“สรวงสวรรค์ไม่อาจอยู่ในสภาพแหว่งวิ่นแบบนี้ได้อีกแล้ว หากเราปล่อยให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆต่อไป นับวันสถานการณ์ก็จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ โลกจะตั้งอยู่ไม่ได้ และทุกสรรพสิ่งก็จะต้องทุกข์ทรมาน” ปรมาจารย์ขงพูดอย่างเคร่งขรึม
เขาไม่อาจนิ่งเฉยได้หากโลกจะต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วหรือนอกจากสละชีวิตของหนึ่งในพวกเราเพื่อรักษาโลกเอาไว้ เราจะร่วมมือกันปกป้องสวรรค์ไม่ได้หรือไง?” จางเซวียนถาม
หากสวรรค์ถูกแบ่งแยกออกจากกัน เป็นไปได้ไหมหากพวกเขาจะรวบรวมแต่ละส่วนเข้าด้วยกันและทำให้ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ?
“ไม่ได้อย่างแน่นอน! สวรรค์เป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกแบ่งแยก มันคงสภาพอยู่ได้ด้วยการผสมกลมกลืนอันแสนละเอียดอ่อน วิธีเดียวที่จะรักษาความมั่นคงของของมันไว้ได้ก็คือรวบรวมมันเข้าด้วยกันให้กลับสู่สภาพเดิม การควบคุมสวรรค์จากแต่ละเศษเสี้ยวที่แยกจากกันนั้นเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้” ปรมาจารย์ขงตอบ “ก็เหมือนกับชุดฟันเฟืองหลายอันที่อยู่ในระบบหนึ่งๆนั่นแหละ มันไม่อาจทำประโยชน์ได้หากเราหยิบออกมาใช้งานทีละชิ้น”
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพลันนึกอะไรได้บางอย่าง เขาถามต่อ “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง หลัวลั่วชิงก็คงรู้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เราอยู่ด้วยกันในทวีปแห่งปรมาจารย์แล้วว่าผมควบคุมเศษเสี้ยวหนึ่งของสวรรค์ไว้ แล้วทำไมเธอถึงไม่ฆ่าผม? คุณก็เหมือนกัน, ปรมาจารย์ขง ถ้าคุณอยากฆ่าผม ฆ่าเสียตรงนี้เลยก็ได้ แล้วนำเศษเสี้ยวของสวรรค์ที่ผมมีอยู่ออกไป ทำแบบนั้น…คุณจะไม่ได้ประโยชน์หรือ?”
จางเซวียนไม่ได้โอหังจนจะคิดว่าตัวเขามีความสำคัญมากกว่าสรวงสวรรค์ทั้งหมด ถ้าการสังหารเขาจะช่วยรักษาสรวงสวรรค์ไว้ได้ เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิงถึงไม่ทำแบบนั้น
อีกอย่าง ตอนที่เขาพบเธอเป็นครั้งแรกในทวีปแห่งปรมาจารย์ ตัวเขาก็เป็นแค่นักรบธรรมดาคนหนึ่งจากโลกเบื้องล่าง แถมทั้งคู่ยังไม่ได้มีความรู้สึกใดๆต่อกัน จึงไม่มีเหตุผลเลยที่หลัวลั่วชิงไม่จัดการเขาตั้งแต่ตอนนั้น
ส่วนปรมาจารย์ขง…ถ้าอีกฝ่ายได้หอสมุดเทียบฟ้าไป ก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เพิ่มโอกาสให้เขาพัฒนาตัวเองไปจนเหนือชั้นกว่าหลัวลั่วชิงและเอาชนะเธอได้ในการดวลที่ใกล้เข้ามาทุกที แล้วทำไมเขาถึงไม่ทำ?
ยังไม่ต้องพูดถึงการช่วยชีวิตสรวงสวรรค์ แค่การได้มีอำนาจควบคุมสรวงสวรรค์ก็หมายถึงความเป็นสุดยอดของโลกใบนี้แล้ว นั่นคือความเย้ายวนใจครั้งใหญ่ที่ไม่น่ามีใครต้านทานได้
“ฆ่าคุณ?” ปรมาจารย์ขงมองจางเซวียนด้วยนัยน์ตาเป็นประกายก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ถ้าผมจะช่วยทั้งสรวงสวรรค์ได้ด้วยการฆ่าคุณ ผมก็คงยอมเป็นคนบาปและทำแบบนั้นไปแล้ว แต่มันไม่ได้ผลหรอก อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่ตอนนี้”
“เพราะอะไร?” จางเซวียนตั้งคำถาม
เขาไม่เข้าใจว่าตัวเขากับหลัวลั่วชิงต่างกันตรงไหน
ทั้งคู่มีเศษเสี้ยวสวรรค์อยู่ในครอบครองเหมือนกัน แล้วทำไมเศษเสี้ยวสวรรค์ที่เขามีถึงยังไม่ถูกฉกฉวยไป? เพราะเขาอ่อนแอเกินไปใช่ไหม?
“คุณยังไม่ได้เป็นจอมราชันย์เหมือนพวกเรา” ปรมาจารย์ขงตอบ “ต่อเมื่อสำเร็จวรยุทธระดับนั้น เศษเสี้ยวของสวรรค์ในตัวคุณถึงจะเติบโตและมีอำนาจเต็มที่ ไม่อย่างนั้น อำนาจและพละกำลังที่ไม่สมดุลจะทำให้การหลอมรวม 2 เสี้ยวเข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่ไม่อาจทำได้ และความกลมกลืนที่เคยมีอยู่ก็อาจพังทลาย”
จางเซวียนพยักหน้า
หากจะมองเศษเสี้ยวแต่ละส่วนของสวรรค์เป็นอำนาจที่แยกจากกัน เรื่องสำคัญสูงสุดก็คือการปรับ อำนาจนั้นให้สมดุลก่อนจะผสมผสานมันเข้าด้วยกัน ไม่อย่างนั้น อำนาจหนึ่งก็จะกดข่มอีกอำนาจหนึ่ง ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและไม่ผสมกลมกลืน
ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น แทนที่จะได้ช่วยโลกใบนี้ไว้ ก็อาจลงเอยด้วยการที่เขาทำร้ายทุกคน
“สรวงสวรรค์กับสวรรค์?” จางเซวียนพึมพำอย่างขมขื่น
ไม่แปลกอะไรที่ทุกคนพูดกันว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงการดวลแบบชี้เป็นชี้ตายครั้งนี้ได้ ตอนนี้เขาพอดูออกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
นี่คือชะตากรรมที่ถูกลิขิตให้พวกเขาทั้งสามคน หากพยายามบ่ายเบี่ยงชะตากรรมนี้ ก็หมายถึงจุดจบของโลก
“ไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆหรือ?” จางเซวียนถาม