เทพธิดาหลิงหลงภาคภูมิใจเสมอในสายตาอันเฉียบแหลมของเธอ แต่ก็ดูเหมือนยังมองการณ์ไกลได้ไม่เท่าสองคนนั้น
“นักรบที่พวกเรารับมาก็ล้วนเป็นศิษย์สายตรงของเขา แม้เขาจะเกิดมาเป็นคนธรรมดา แต่ก็มีความเป็นจอมราชันย์ที่แท้จริงอยู่ในตัว เหมือนจอมราชันย์พิชิตสวรรค์นั่นแหละ การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งของเขาคือสิ่งที่ถูกลิขิตไว้แล้วตั้งแต่ต้น…”
จอมราชันย์มังกรเมฆ จอมราชันย์จัวหยาง และคนอื่นๆถอนหายใจเฮือกใหญ่
พวกเขาเคยคิดว่าจะกดข่มราชันย์เทพเจ้าแห่ง 9 น่านฟ้าไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายก้าวหน้าไปกว่านี้ แต่ดูเหมือนความพยายามของพวกเขาจะสูญเปล่าตั้งแต่เริ่ม พวกเขาไม่มีทางบั่นทอนเจตจำนงของ 9 น่านฟ้าได้
“เขาไม่ได้ใช้ดอกบัวทองคำดึกดำบรรพ์แห่ง 9 น่านฟ้าในการฝ่าด่านวรยุทธ!” จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นอุทานออกมา
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนชะงัก
เหล่าจอมราชันย์เข้าใจโดยอัตโนมัติว่าการฝ่าด่านวรยุทธของชายหนุ่มจะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับดอกบัวทองคำดึกดำบรรพ์แห่ง 9 น่านฟ้า เพราะในความเห็นของพวกเขา มีแต่ของล้ำค่าระดับนั้นที่จะทำให้นักรบสักคนก้าวข้ามด่านคอขวดได้
ทุกคนมัวแต่รับมือกับการพังทลายของทะเลท่วมท้นจนไม่ได้สังเกตดอกบัวที่ผลิบานอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า
ดอกบัวนั้นดูหมดจดราวกับแกะสลักจากหยกชั้นดี ความงดงามของมันเย้ายวนใจแม้แต่กับเหล่าจอมราชันย์
“ถ้าเขาไม่ได้ใช้มัน ก็หมายความว่าพวกเรายังมีโอกาส ถ้าเราได้มันมาและนำมาใช้ จะต้องยกระดับวรยุทธได้แน่!” จอมราชันย์ฟู่เหมิงโพล่งออกมา
ดอกบัวทองคำดึกดำบรรพ์แห่ง 9 น่านฟ้าคือโอกาสที่พวกเขาจะได้ก้าวหน้าไปจากระดับวรยุทธที่มีอยู่ และอาจเทียบชั้นกับจอมราชันย์หลินชีได้ หากจางเซวียนใช้มันไปแล้วก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อได้รู้ว่ามันยังอยู่ ก็ไม่มีใครยั้งใจไหว
“จางเซวียนเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปหมาดๆ ยังอยู่ระหว่างการขัดเกลาวรยุทธ เขาคงซึมซับของล้ำค่าชิ้นนั้นไม่ได้ในเร็วๆนี้หรอก…ถ้าอย่างนั้น มันก็เป็นของผม!”
จอมราชันย์ฟู่เหมิงพุ่งเข้าใส่ดอกบัวทองคำดึกดำบรรพ์แห่ง 9 น่านฟ้าโดยไม่ลังเล หมายจะคว้ามาครอบครอง
“หยุดเดี๋ยวนี้เลย มันเป็นของผม!” จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นตะโกนขณะพุ่งออกไป
จอมราชันย์นรกโลกันต์ จอมราชันย์มังกรเมฆ เทพธิดาหลิงหลง และจอมราชันย์จัวหยางก็ตามไปติดๆ
ไม่มีใครยอมพลาดโอกาสทองครั้งนี้
พละกำลังทุกรูปแบบรวมตัวกันอย่างรวดเร็วกลางอากาศ เกิดการระเบิดของพลังงานที่ตรงเข้าปะทะทั้ง 6 จอมราชันย์
จอมราชันย์ทุกคนพยายามสกัดกั้นคู่แข่งเพื่อจะได้เข้าถึงดอกบัวก่อนใครและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่ทรงอำนาจอย่างไม่มีใครเทียบได้
ฟิ้ววววว!
แต่ยังไม่ทันที่ทั้ง 6 จอมราชันย์จะได้เข้าถึงดอกบัว ปราการทรงพลังก็ปรากฏโดยรอบ มันสกัดกั้นพวกเขาไว้ แล้วดอกบัวก็เปล่งแสงเจิดจ้า 9 สีที่เรืองรองไปทั่วสรวงสวรรค์ ต่อหน้าต่อตาทุกคนที่กำลังอัศจรรย์ใจ
ราวกับมีดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่ง
การระเบิดอย่างปุบปับของลำแสงจากดอกบัวทำให้จอมราชันย์ทั้ง 6 คนกระเด็นไป พวกเขาถูกบีบให้ถอยไปหลายก้าว แรงปะทะส่งผลให้ทุกคนหน้าซีดเผือด
การปะทะครั้งนี้บอกชัดเจนว่าอย่างน้อยที่สุดดอกบัวก็มีพละกำลังทัดเทียมกับพวกเขา
วิ้งงงง!
เหล่าจอมราชันย์แทบไม่เชื่อสายตา แต่แล้วดอกบัวที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มเปลี่ยนสภาพไปเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง อีกฝ่ายบิดคออย่างเกียจคร้านก่อนจะหันไปฉุนเฉียวใส่จางเซวียน
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะฝ่าด่านวรยุทธได้ก่อนผม…แล้วผมจะไปอวดใครๆได้อย่างไร?” เขาฮึดฮัดอย่างโมโหสุดขีด จากนั้นก็เชิดหน้าขึ้นและประกาศ “ผมคือจอมราชันย์เหมือนเจ้างั่งคนนี้!”
“จอมราชันย์ 2 คน?”
“แบบนี้ก็ได้หรือ? จอมราชันย์ 2 คนปรากฏตัวในเวลาไล่เลี่ยกัน…”
“ไม่สิ ไม่ใช่หรอก มีแค่คนเดียว…คุณไม่รู้หรือว่าเขาคือตัวโคลนของจางเซวียน?”
“ตัวโคลนของเขาก็ได้เป็นจอมราชันย์?”
จอมราชันย์มังกรเมฆ เทพธิดาหลิงหลง และคนอื่นๆแทบจะคลุ้มคลั่งกว่าเดิม
จอมราชันย์คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก และเนิ่นนานมาแล้วที่ในสรวงสวรรค์มีจอมราชันย์เพียง 9 คนเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่ามันจะเป็นอย่างนั้นไปตราบชั่วกัลปาวสาน จนกระทั่งวันหนึ่งที่จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ปรากฏตัว
ในตอนนั้นเองที่พวกเขาได้รู้ว่าการฝึกฝนวรยุทธจนได้เป็นจอมราชันย์นั้นเป็นเรื่องที่ทำได้
แต่ทั้ง 9 คนก็ยังคงมั่นใจว่าตำแหน่งของพวกเขาไม่มีวันสั่นคลอน จนกระทั่ง…
วันนี้ จอมราชันย์ 2 คนปรากฏตัวในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งยังเป็นร่างต้นแบบกับตัวโคลนของกันและกันด้วย นี่มันเรื่องบ้าบออะไร?
คนเราเป็นจอมราชันย์กันง่ายๆแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ที่สำคัญกว่านั้น คำประกาศศักดาครั้งแรกของผู้ที่ได้เป็นจอมราชันย์คือโอกาสทองในการสร้างชื่อเสียงให้ผู้นั้น แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ตัวโคลนของจางเซวียนดูจะหงุดหงิดมากที่พ่ายแพ้ให้กับร่างต้นแบบ ทำให้ไม่อาจคุยโวโอ้อวดเรื่องความสำเร็จของมัน…
บ้าไปแล้ว คุณเป็นจอมราชันย์นะ!
พวกเราคือผู้สูงส่งที่อยู่เหนือความเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ อย่างน้อยที่สุด คุณก็ช่วยทำตัวให้กลมกลืนกับพวกเราดีกว่าไหม ไม่ใช่ฉุดชื่อเสียงของพวกเราให้ล่มจม? คุณกำลังทำให้พวกเราดูเหมือนนักเลงหัวไม้ข้างถนน!
ไม่ใช่แค่บรรดาจอมราชันย์ที่จังงัง ทุกคนในสรวงสวรรค์ก็อึ้ง คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ได้เห็นจอมราชันย์คนหนึ่งแสดงกิริยาป่าเถื่อน!
อีกอย่าง…ทำไมถึงมีจอมราชันย์โผล่มามากมายราวกับหน่อไม้ได้ฝน? ดูเหมือนเกียรติยศศักดิ์ศรีที่มาพร้อมตำแหน่งนี้จะด้อยค่าลงไปเสียแล้ว
“สองจอมราชันย์, ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า นี่แหละเจ้านายของผม!” ไก่น้อยร้องออกมาด้วยความยินดี
สมกับที่เป็นเจ้านายของมัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ทั้งเจ๋งและเท่!
ระหว่างนั้น จางเซวียนตัวจริงก็ระบายลมหายใจยาว ไม่แยแสความหลงตัวเองของตัวโคลนและอาการตกตะลึงของใครๆ
เขาคิดว่าตัวเองจบเห่แน่แล้ว แต่ในวินาทีสุดท้าย ก็ทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบระดับจอมราชันย์และสังหารยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศได้สำเร็จ ส่งผลให้เข้าถึงความเป็นจอมราชันย์
เขาเฉียดตายก็จริง แต่ก็ผ่านวิกฤติครั้งนี้มาได้
จางเซวียนหลับตา ซึมซับพลังงานดุเดือดที่ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขาขณะกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น เขารู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากเดิมมาก
ในสภาวะแบบนี้ ต่อให้บงการทั้งโลกก็คงทำได้ แค่ใช้ความคิดแวบเดียว โลกนี้อาจพังทลายในชั่วพริบตา
“ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เราแข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้ถึง 2 เท่า ต้องเป็นเพราะอิทธิพลของตัวโคลนแน่…”
เพราะตัวโคลนของเขาก็ฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ จิตวิญญาณที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนจึงได้เป็นจอมราชันย์ทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้ ทั้งกายเนื้อ จิตวิญญาณ และพลังปราณของเขาจึงเหนือชั้นกว่าจอมราชันย์คนอื่นๆ เรียกว่าอยู่ในระดับที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง
ขณะที่จางเซวียนกำลังตรวจสอบพละกำลังที่ได้มาใหม่ ท้องฟ้าก็พลันมืดมิด เมฆดำครอบคลุมไปทั่ว ราวกับเสื้อคลุมแห่งราตรีย่างกรายมาถึงสรวงสวรรค์
รอยแยกที่เหล่าจอมราชันย์สมานไว้ด้วยความเหนื่อยยากเริ่มขยายตัวอีกครั้ง ดูเหมือนการทดสอบครั้งนี้อาจทำให้สรวงสวรรค์แตกเป็นเสี่ยงๆ
“มันคือการลงทัณฑ์จากสวรรค์ต่อจอมราชันย์…” จางเซวียนหรี่ตา
เมื่อวรยุทธของนักรบคนหนึ่งเข้าถึงระดับที่โลกไม่อาจต้านทานได้ ผู้นั้นก็จะต้องเผชิญกับการลงทัณฑ์ สิ่งนี้ไม่ต่างกับการทดสอบของนักปราชญ์โบราณในทวีปแห่งปรมาจารย์และการทดสอบของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ในมิติเบื้องบน
สำหรับสรวงสวรรค์ สิ่งนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อการลงทัณฑ์จากสรวงสวรรค์ต่อจอมราชันย์
ผู้ที่อยากเป็นจอมราชันย์จะต้องผ่านการลงทัณฑ์ครั้งนี้ไปให้ได้
“สวรรค์จะลงทัณฑ์จอมราชันย์คนนี้รุนแรงไปหน่อยไหม?” เทพธิดาหลิงพึมพำด้วยริมฝีปากสั่นเทา
“การทดสอบครั้งนี้มีพละกำลังมากมายจนแทบจะฉีกกระชากทั้งสรวงสวรรค์ได้ น่ากลัวเหลือเกิน…แม้การลงทัณฑ์ต่อจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ในครั้งนั้นก็ยังไม่หนักหน่วงขนาดนี้” จอมราชันย์มังกรเมฆรำพึง
“ตอนนั้น จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ได้เป็นจอมราชันย์เพียงคนเดียว ขณะที่จางเซวียนฝ่าด่านวรยุทธพร้อมกับตัวโคลนของเขา ส่งผลให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ก็เป็นธรรมดาที่การลงทัณฑ์จากสวรรค์จะรุนแรงกว่าเดิม” จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นตั้งข้อสังเกตพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ
การที่จางเซวียนกับตัวโคลนของเขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นจอมราชันย์ได้พร้อมกันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีก็คือพละกำลังของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ทำให้มีประสิทธิภาพการต่อสู้ทัดเทียมกับจอมราชันย์ที่แข็งแกร่งที่สุดแม้จะเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธได้ไม่นาน
ส่วนข้อเสียก็คือการทดสอบวรยุทธที่เขาต้องเจอก็ย่อมรุนแรงเป็นพิเศษ อาจทำให้เขาเสียชีวิตได้
จางเซวียนจับตาดูพลังงานทำลายล้างที่รวมตัวกันอยู่เหนือศีรษะของเขาซึ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เขายิ้มออกมา
“การลงทัณฑ์จากสวรรค์ดูน่าสะพรึงก็จริง แต่ไม่กระเทือนเราสักนิด”
โดยปกติ การที่ใครสักคนที่เพิ่งได้เป็นจอมราชันย์จะก้าวข้ามการทดสอบสายฟ้าที่แสนทรงพลังไปได้นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่ทุกอย่างจะไม่เป็นแบบนั้นสำหรับจางเซวียน
เขาทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบระดับจอมราชันย์ได้แล้ว ทำให้มีพละกำลังเหนือกว่าที่ใครจะคาดคิด ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ ลำพังการทดสอบสายฟ้าไม่อาจทำอันตรายเขาได้เลย
ฟึ่บ!
จางเซวียนชักดาบสวรรค์สีเลือดออกมาและฟาดฟันเข้าใส่การทดสอบสายฟ้าที่อยู่เหนือร่างของเขา
การโจมตีเพียงครั้งเดียวนั้นทำให้เกิดแสงสว่างเจิดจ้าที่ทะลุทะลวงเข้าสู่ความมืดมิดรอบสรวงสวรรค์ ทุกคนตาพร่าจนมองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะ
หมู่เมฆดำที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้าสลายตัวไป
เพียงกระบวนท่าเดียว จางเซวียนก็เอาชนะการลงทัณฑ์จากสวรรค์ต่อจอมราชันย์ได้!
เมื่อการทดสอบสิ้นสุด จางเซวียนได้ยินเสียงเหมือนผ้าฉีกขาดดังขึ้นรอบตัว เขาหันขวับไปมอง เห็นรอยแยกแห่งมิติที่อยู่บนท้องฟ้าเหนือทะเลท่วมท้นกำลังขยายใหญ่ขึ้น
สรวงสวรรค์ต้องเผชิญกับแรงปะทะหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งจากการพังทลายของทะเลท่วมท้นและการลงทัณฑ์จากสวรรค์ต่อจอมราชันย์ ทำให้การล่มสลายเกิดลึกลงไปจนถึงฐานราก
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรุนแรงเกินกว่าที่สรวงสวรรค์จะเยียวยาตัวเองได้ ตอนนี้ มันกำลังเผชิญกับชะตากรรมของการดับสูญ
“สมานตัว!”
จางเซวียนกระดิกนิ้ว เขาปล่อยกระแสพลังปราณเข้าสู่รอยแยกแห่งมิติ หวังจะทำให้มันสมานตัวเข้าหากัน แต่กลับได้ผลน้อยมากจนแทบจะมองไม่เห็น
ก็เหมือนกับกระจกเงาบานหนึ่งที่เกิดรอยร้าว ต่อให้กาวที่เหนียวที่สุดก็ไม่อาจซ่อมแซมให้เหมือนเดิมได้