CF:บทที่ 21 บ้าน
มีดได้ตัดผ่านลงไป ทิ้งรอยกรีดลึกบนแผ่นเหล็กของประตูรถ เห็นเช่นนี้แล้ว อู๋ ฮ่าวเหรินก็โล่งใจสุดๆ ความสามารถของมีดทำครัวความถี่สูงนี่มันตรงตามที่พ่อค้าอาวุธพูดไว้ทุกอย่าง
หลังจากที่ยืนยันความคมของมีดแล้ว เพื่อที่จะไม่ให้ใครสงสัยในวิธีการตัด เขาจงใจฟันประตูซ้ำๆด้วยมีดในมือเพื่อทำให้มันดูเหมือนถูกตัดด้วยอาวุธมีคม
ในขณะเดียวกันก็ใช้ตัวบังสายตาของผู้คนที่กำลังมองอยู่ เพื่อกันไม่ให้พวกเขาถ่ายรูปเครื่องมือมีคมในมือเขา
เห็นคนที่อยู่ในรถกำลังหมดสติและเต็มไปด้วยเลือด แขนและขายังคงมีเลือดไหลออกมาอยู่ อู๋ ฮ่าวเหรินจึงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
ถ้าเขาไม่ปลอมร่องรอยตำแหน่งการตัดด้วยความคมของมีดทำครัวความถี่สูง และใช้เพียงมีดเล่มเดียวที่จะแก้ปัญหาทุกอย่าง แน่นอนว่าถ้าเขาทำเช่นนั้น เขาคงถูกเชิญไปดื่มน้ำชาโดยสักหน่วยงานหลังจากนี้แน่
“มานี่เร็ว ก้านประตูพังแล้ว คุณสามารถพยายามดึงประตูออกได้แล้ว”
หลังจากที่อู๋ ฮ่าวเหรินแจ้งเรื่องนี้ให้กับคนที่กำลังใช้มือถือถ่ายรูปอยู่ เขาก็เดินเข้าไปหลังฝูงชน เหลือเพียงภาพแผ่นหลังเขาให้นักถ่ายภาพ
กลับมาที่รถ เขาเห็นบางคนขับผ่านไปโดยใช้เลนด้านข้าง เขาก็ขับตามไปจนกระทั่งออกมาจากเลนด้านข้างได้
เมื่อเขาไปแล้ว ตำรวจจราจรก็มา เขาไม่ต้องออกมาก่อนก็ได้ถ้าเขาอยากอยู่ต่อ แต่เขายังอยากทำเรื่องดีๆแบบนี้โดยไม่ต้องทิ้งชื่อไว้
ไม่นานหลังจากที่อู๋ ฮ่าวเหรินไป คนพวกนั้นที่กำลังช่วยเหลือผู้คนอยู่ เห็นว่ามีใครช่วยจัดการกับผู้บาดเจ็บที่ติดอยู่ในรถแล้ว
พวกเขาทั้งหมดคือคนที่ทำความดีโดยไม่ทิ้งชื่อพวกเขาไว้ เมื่อคนอื่นๆเริ่มมาทำหน้าที่ พวกเขาก็พบว่าเหล่าคนดีที่ช่วยผู้บาดเจ็บได้ออกไปหมดแล้ว
เมื่อตำรวจจราจร รถพยายาบาลและนักข่าวมาถึง พวกเขาได้รู้ถึงเหตุการณ์กู้ภัยจากการให้ปากคำของบางคนที่ยังอยู่เท่านั้น
หลังจากที่เข้าสู่เขตเมืองหลีฉุยแล้ว อู๋ ฮ่าวเหรินก็ขับลงมาจากทางพิเศษและไปตามทางหลวง
บ้านของเขาอยู่ในภูเขาที่อยู่ในภูเขาอีกทอด มันอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมืองหลีฉุ่ย และไม่ได้รับการพัฒนาเลย
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถ้าอยากออกมาจากภูเขามันจะใช้เวลาเจ็ดหรือแปดชั่วโมงที่จะข้ามภูเขามาสู่นอกเมือง
ในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้นดีขึ้นมาก รัฐได้สร้างทางหลวงตัดผ่านภูเขาและเฉียดหมู่บ้านซูฉุ่ยของเขา และรัฐบาลก็ได้จ่ายเงินสร้างถนนเชื่อมหมู่บ้านซูฉุ่ยเข้ากับทางหลวงโดยตรง
ณ เวลาสามโมงกว่า หลังจากเข้าสู่ถนนตัดผ่านภูเขาในบ้านเกิด อารมณ์ของอู๋ ฮ่าวเหรินก็กลายมาเป็นเครียดทันที ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาอายสายตาของชาวชนบท
ทางหลวงบนภูเขาที่ตัดผ่านภูเขา มองดูทิวทัศน์ของภูเขาและป่าที่ล้อมรอบ จู่ๆอู๋ ฮ่าวเหรินก็พบว่าทัศนียภาพของบ้านเกิดเขานั้นสวยกว่าจุดชมวิวในเมืองเสียอีก
โชคร้ายที่มันห่างไกลจากตัวเมือง และก็มีจุดชมวิวขึ้นชื่ออีกมากอยู่รอบๆ ดังนั้นการพัฒนาข้อดีของการท่องเที่ยวเลยไม่ค่อยโดดเด่นนัก
“บางทีฉันน่าจะคิดหาทางทำให้แหล่งท่องเที่ยวที่นี่มันพิเศษ”
อู๋ ฮ่าวเหรินก็คิดถึงระบบซองแดงในหัวเขาทันที ที่นี่มันไม่มีจุดเด่นในเรื่องจุดชมวิวหรือแหล่งท่องเที่ยว เขาก็สามารถสร้างจุดเด่นพวกนี้ที่นี่ได้
ถ้าเราไม่สามารถสร้างภูเขาและแม่น้ำชื่อดังได้ ทำไมเราไม่ปลูกพืชพันธ์ชนิดพิเศษสักอย่างล่ะ ถ้าเราไม่มีทิวทัศน์สวยๆ ทำไมเราไม่หาทางทำจุดชมแหล่งน้ำสวยๆแทนล่ะ
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา มีดาวตั้งหลายแบบในระบบซองแดง อย่างเช่นพืชพันธุ์แค่อย่างเดียวก็เยอะแล้ว
หลังจากขับรถอยู่กว่า 30 นาทีในเส้นทางบนภูเขา อู๋ ฮ่าวเหรินเห็นต้นไม้เก่าแก่ที่ตั้งอยู่ อันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเขาถึงบ้านแล้ว
ต้นไม้เก่าแก่นี้มีประวัติยาวนานกว่า 600 ปี เมื่อตอนที่ถนนปานฉางถูกสร้าง เพราะว่าต้นไม้นี่นักออกแบบจึงยืดถนนออกไปอีกหกเมตรกว่าและปล่อยต้นไม่เก่าแก่นี้ไว้
นอกจากต้นไม้นี้ก็มีถนนปูนที่นำไปสู่ภูเขา ซึ่งมันกว้างเพียงสองเมตรและมันแคบมาก
ขับไปตามถนนปูนประมาณนาทีหนึ่ง ถนนก็เปลี่ยนจากทางขึ้นเขาเป็นทางลงเขาทันที
นี่เป็นจุดที่สูงที่สุดของถนน มันถูกขยายออกจนเป็นลานกว้าง อู๋ ฮ่าวเหรินจอดรถในลานนี้ ลงมาจากรถ ไปยืนอยู่ตรงขอบลานแล้วมองลงไป
ใต้หุบเขานี้เหมือนกับสวรรค์ ถูกล้อมด้วยภูเขาสามด้าน และมีแม่น้ำอีกด้านหนึ่ง หมู่บ้านซุยฉุยนั้นตั้งอยู่กลางหุบเขานี้
ตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของหมู่บ้านซุยฉุยมาที่หุบเขานี้เมื่อแปดร้อยปีที่แล้ว พวกเขาก็ใช้ชีวิตอาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอด
บางคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านซุยฉุยเคยออกไปจากหมู่บ้านไปไกลสุดเพียงแค่เมืองที่อยู่นอกภูเขา บางคนก็ไม่เคยออกจากหมู่บ้านเลยสักครั้งในชีวิต
เมื่อก่อนประเพณีของชาวบ้านในซุยฉุยนั้นเรียบง่ายมาก แต่สิบปีก่อนคนหนุ่มสาวบางคนที่ทนความโดดเดี่ยวไม่ได้ จึงออกจากหมู่บ้านไปและประเพณีพวกนี้ก็ค่อยๆหายไปจากหมู่บ้าน
และตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือลุงของเขาเอง เขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่ออกไปจากหมู่บ้าน
เมื่ออู๋ ฮ่าวเหรินออกมาจากหมู่บ้าน เขาได้ติดต่อกับโลกภายนอกและเข้าใจว่าทำไมผู้คนที่ออกมาจากหมู่บ้านซุยฉุยถึงได้น่ารำคาญขนาดนี้
มองดูหุบเขาข้างล่าง เห็นควันลอยขึ้นมากจากระยะไกล อู๋ ฮ่าวเหรินกลับไปที่รถและขับตรงไปที่ตีนเขาในอารมณ์ที่ซับซ้อน
ยิ่งใกล้หมู่บ้านซุยฉุยเท่าไหร่ เขาก็ขับรถช้าลงเท่านั้น เมื่อเขาไปเกือบจะถึงความเร็วของรถที่เข้ามาในหมู่บ้านก็ช้าราวกับยายแก่ๆเดิน
อู๋ ฮ่าวเหรินมองดูสภาพแวดล้อมที่ล้อมที่อยู่รอบๆและนึกถึงความทรงจำสมัยเด็กๆ บ้างก็เลือนรางบ้างก็เหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
เมื่อเขาขับไปถึงหน้าหมู่บ้าน เขาก็จอดรถไว้ในที่โล่งใกล้ๆ ถนนในหมู่บ้านเป็นหินปูพื้นและรถไม่สามารถขับเข้าไปได้
เขาเห็นรถที่จอดอยู่ใกล้ๆซึ่งน่าจะเป็นรถของลุงที่ขับกลับมา
เขาแบกกล่องเก่าๆใบใหญ่ลงมาจากกระโปรงหลัง สะพายกระเป๋าที่มีเครื่องเล่นและมีดทำครัวความถี่สูง แล้วอู๋ ฮ่าวเหรินก็เดินตรงเข้าหมู่บ้าน
สำหรับของฝากในรถ เมื่อเขาไปถึงบ้านและเซอไพรส์ครอบครัวเขาแล้ว ค่อยขอให้พวกเขามาเอาของไปก็ได้
บางทีคงเป็นเพราะชุดนี่ ถ้าเขาไม่ทักทายพวกคนที่รู้จักก่อน พวกเขาจะจำเขาไม่ได้เลย
ดูดวงตาที่ประหลาดใจของชาวบ้านหลังจากที่เขาผ่านไป อู๋ ฮ่าวเหรินส่ายหัว สักพักทั้งหมู่บ้านก็คงรู้ว่าเขากลับมาในเสื้อผ้าที่ดี
ที่หน้าประตูบ้าน อู๋ ฮ่าวเหรินตะโกนอย่างตื่นเต้น “แม่ พ่อ น้อง ผมกลับมาแล้ว!”
ผ่านไปสักพัก ไม่มีใครมาเปิดประตู เขาก็พบว่าประตูนั้นล็อคอยู่ เขาตื่นเต้นเกินไปจนไม่ทันได้สังเกต
เขาส่ายหัว ลากกล่องเข้าไปด้านในที่ไม่ใช่บ้านเขา แต่เป็นบ้านของปู่ แต่ก่อนที่จะไปถึง เขาก็ได้ยินเสียงพ่อเขาดังมา “ออกไปจากที่นี่ซะ บ้านอู๋ของเราไม่มีคนอย่างแก! สำหรับจ๋วนจ๋วน อู๋ ขิงไฮ่ผู้นี้จะเลี้ยงดูเธอเองต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ตาม ฉันไม่ต้องการคนไร้หัวใจแบบแกหรอก!”
ได้ยินเสียงพ่อเขาตอนโกรธ อู๋ ฮ่าวเหรินก็ตกใจ เพราะพ่อเขาเป็นคนอารมณ์เย็น เขาแทบจะไม่อารมณ์เสียเลย
จ๋วนจ๋วนนั้นไม่ใช่ลูกของพ่อเขา แต่เป็นลูกของลุงที่วางไข่ทิ้งไว้
ณ ตอนนี้ก็มีเสียงแหลมของผู้หญิงดังมาจากลานบ้าน “จ๋วนจ๋วนเป็นลูกสาวของขิงเหอ และเรามีสิทธิ์ที่จะเลี้ยงเธอ ถ้าจ๋วนจ๋วนไปอยู่กับเราในเมือง เธอก็จะได้มีความสุขสบาย ไม่ต้องมาทนอยู่ในหมู่บ้านยากไร้นี่ในอนาคต ถ้าเธอไม่ยอมเราจะเข้ากระบวนการทางกฎหมายก็ได้”
“อู๋ ขิงเหอ แกยังเป็นลูกผู้ชายรึเปล่า งั้นตอบฉันสิว่าจ๋วนจ๋วนจะได้มีความสุขจริงๆ แกคิดว่าฉันไม่รู้หรอว่าแกจะใช้จ๋วนจ๋วนเป็นพี่เลี้ยงของลูกแกต้องหาข้าวให้ลูกแกกิน นี่ฉันตาบอดจนไปแต่งงานกับแกได้ยังไง?”
“ขิงไฮ่ แกมีหนี้ตั้งเยอะแยะเพื่อที่จะส่งฮ่าวเหรินไปเรียน แกคิดว่าแกจะส่งเสียจ๋วนจ๋วนไปจนเรียนจบมหาลัยได้งั้นหรอ? ถ้าจ๋วนจ๋วนไปอยู่กับฉันในเมือง ฉันรับประกันเลยว่าฉันจะให้เธอได้เรียนมหาลัย ตราบเท่าที่เธอมีความสามารถ ฉันก็จะส่งเสียเธอไปจนเรียนจบมหาลัยเลย”
อู๋ ขิงไฮ่หน้าเสีย เขาไม่คิดว่าพี่ชายเขาจะมีหน้ามาพูดแบบนี้
“ปัง!”
อู๋ ฮ่าวเหรินถีบประตูลานบ้านเข้ามาจากข้างนอก
“ผมไม่ต้องการให้คุณช่วยหรอก ถึงพ่อผมจะทำไม่ได้ แต่ผมทำได้!”
—————————