CF:บทที่ 62 ศูนย์วิจัยร่วมแห่งชาติ
เมื่อได้ยินที่อู๋ฮ่าวเหรินพูด และมองที่สีหน้าของเขาแล้ว จื่อหยงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เขาน่าจะรู้ถึงความสำคัญของวัสดุมายานี้แล้ว เขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร เพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาศึกษานั้นไม่มันไม่ต่างอะไรจากงมบ่อโคลน
ถ้าอู๋ฮ่าวเหรินรู้ความคิดของจื่อหยง เขาจะบอกจื่อหยงไปแล้วว่าไอ้วัสดุมายาเนี่ยมันก็เหมือนโคลนสำหรับเขา
เพราะด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวัสดุของเขานั้น สิ่งนี้ไม่ใช่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย มันเป็นอะไรที่พูดได้ว่าควรจะทำลายทิ้งซะตั้งแต่ตอนสร้างแล้ว
“แต่ พวกเราต้องการที่จะศึกษามัน ไม่สิพวกเราต้องการมัน”
“ไป ไป ไปพร้อมๆกันนี่แหละ มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยนี่ คุณแทบไม่ต้องคิดอะไรด้วยซ้ำ”
ผู้อาวุโสคนนึงเริ่มที่จะอยู่ไม่สุข เขาดึงตัวจื่อหยงออกมาแล้วพูดขึ้น
“พ่อหนุ่ม พวกเราต้องการการร่วมมือจากเจ้าในการศึกษาเจ้าวัสดุมายานี่ ไม่สิ, ความจริงพวกเราต้องการเจ้ามาเข้าร่วมเลยล่ะ เพราะเจ้าวัสดุมายานี่มันถูกเสนอมาโดยเจ้านะ”
“อ๊า แต่ว่าตอนที่บริษัทของเราก่อตั้งเสร็จแล้ว ผมคงจะไม่มีเวลาเหลือหรอกครับ และบริษัทเราเองก็กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อยู่ด้วย ผมคงปลีกตัวไปไม่ได้แน่ๆ”
“นั่นไม่ใช่ปัญหา คุณไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ก็ได้ เพราะเป้าหมายของพวกเราคือร่วมมือกับบริษัทของคุณสร้างศูนย์วิจัยที่นี่”
“สร้างศูนย์วิจัย แล้วทำงานร่วมกับผม ล้อกันเล่นรึเปล่า?”
อู๋ฮ่าวเหรินรู้สึกตกใจ และไม่อยากจะเชื่อว่าคนพวกนี้จะมาเสนอความร่วมมือกับเขาแล้วการสร้างศูนย์วิจัยขึ้นที่นี่
“ใครจะว่างมาล้อเล่นกับเจ้า? พวกเราต้องการที่จะร่วมมือกับเจ้าในการก่อตั้งสถาบันวิจัยที่นี่เพื่อศึกษาวัสดุมายาและวัสดุเส้นใยพืชของเจ้า” ผู้อาวุโสที่ดูจริงจังกล่าว และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยพอใจเท่าไร
“แปบนะ ขอเวลาผมหน่อย เรื่องนี้มันกระทันหันเกินไปสำหรับผม”
อู๋ฮ่าวเหรินยังไม่มีความคิดจะสร้างศูนย์วิจัยของตัวเอง แต่คนในประเทศนี้มาหาเขาและต้องการความร่วมมือจากเขาในการสร้างศูนย์วิจัย
ถึงแม้ว่าเขาเคยมีความคิดจะร่วมมือกับทางรัฐมาก่อน แต่เขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจดีว่ามันมีบางอย่างที่ทำให้คิดว่าเขาไม่สามารถร่วมมือได้ เขาจึงละทิ้งความคิดนี้ไป
แต่ตอนนี้พวกเขาอุตส่าห์เดินทางมาหาถึงหน้าประตูแล้ว การจะปฏิเสธกลับไปก็ใช่ที่
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคิดถึงปัญหาเรื่องวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอุปกรณ์บำบัดด้วยไฟฟ้าชีวภาพ ที่จะต้องเจอในอนาคต และอาจจะมีปัญหาอื่นๆตามมาอีก
ถ้าเราร่วมมือกับพวกเขา ก็จะแก้ไขปัญหานี้ได้ และถ้ามีศูนย์วิจัยแห่งชาติหนุนหลังด้วยแล้ว ปัญหาเรื่องวัตถุดิบก็จะหมดไป
แต่การก่อตั้งศูนย์วิจัยร่วมกับพวกเขา ก็ไม่ได้อู๋ฮ่าวเหรินล้มเลิกความคิดสร้างศูนย์วิจัยของตัวเอง เพราะหากมีงานวิจัยอื่นที่เขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ เขาก็จะสามารถทำได้ในศูนย์วิจัยของตัวเอง
แน่นอนว่า มันย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากตัวเขาต้องการที่จะสั่งซื้อวัตถุดิบผ่านสถาบันวิจัย ก่อนอื่นเขาจะต้องมีชื่อเสียงเสียก่อน ยิ่งเป็นวัสถุดิบผิดกฏหมายด้วยแล้ว เขาต้องการสร้างชื่อเพื่อที่ขอจะใช้วัตถุดิบเหล่านั้น
แน่นอนว่า ย่อมต้องมีสิ่งประดิษฐ์อื่นอีกที่ต้องการวัตถุดิบพวกนี้ อู๋ฮ่าวเหรินครุ่นคิดถึงข้อมูลต่างๆในหัวของเขา และคิดว่ามันเป็นข้อเสนอที่ OK สำหรับเขา
“OK ผมตกลงที่จะสร้างห้องวิจัยร่วม แต่ผมจะบอกก่อนเลยว่าผมไม่สนใจกับศูนย์วิจัยนี้มากนัก เรื่องวัสดุมายาเดี๋ยวผมจะส่งวัสดุมายาไปให้คุณวิจัย ส่วนเรื่องวัสดุเส้นใยพืช ผมจะส่งข้อมูลให้แค่บางส่วนให้เท่านั้น”
เพราะมันเป็นแค่การร่วมมือ จึงไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องลงมือเองทั้งหมด มันขึ้นอยู่กับว่าร่วมมือแล้วได้อะไร
แน่นอนว่า ทางผู้อาวุโสทั้งสามคนเอง ก็คงยังไม่พร้อมที่จะให้อู๋ฮ่าวเหรินมาเข้าร่วมจริงจัง จุดประสงค์ของพวกเขามีแค่ไอเดียเรื่องวัสดุมายาของอู๋ฮ่าวเหรินเท่านั้น
บางครั้ง การวิวัฒนาการและการแก้ไขปัญหาก็เป็นอะไรที่เกิดมาเพียงชั่วแวบเดียวของอัจฉริยะ ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูน่าขัน แต่มันก็เป็นเรื่องจริง วัสดุมายาเองก็เช่นกัน
พวกเขามาที่นี่เพื่อพบกับอู๋ฮ่าวเหริน และต้องการที่จะความร่วมมือสร้างศูนย์วิจัย พวกเขาจะส่งคนมาเพื่อศึกษาวิจัย แต่ว่าอู๋ฮ่าวเหรินต้องเข้าร่วมด้วย
และเมื่ออู๋ฮ่าวเหรินคุยกับพวกเขา ก็ยิ่งทำให้คิดไปอีกว่า คนพวกนี้ไม่ได้ต้องการให้เขาร่วมมือวิจัย พวกเขาแค่ต้องการให้เขาเป็นคนช่วยออกไอเดียในการวิจัยเท่านั้น
หลังจากที่มองสถานการณ์ในภาพรวมได้อย่างชัดเจนแล้ว อู๋ฮ่าวเหรินก็คิดได้ว่าการร่วมมือนี้ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว ออกจะดีด้วยซ้ำ
“OK ผมตกลงจะร่วมมือด้วย และเมื่อคุณสร้างศูนย์ห้องวิจัยเสร็จแล้ว ก็บอกผมมาด้วยละกันว่าอยู่ที่ไหน แล้วก็อีกเรื่อง ผู้พันจื่อหยงครับ แล้วเรื่องการจัดการเรื่องวัสดุเส้นใยพืชเป็นยังไงบ้างแล้วครับ?”
จื่อหยงนิ่งเงียบไป เพราะเรื่องนั้นยังไม่ได้ถูกแก้ไข ถึงแม้ว่าสัญญาจะลงถูกลงนามไปแล้วก็ตาม เนื่องจากมันยังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ
“อะไรที่ต้องจัดการ? มันมีอะไรผิดปกติงั้นรึ?” จื่อหลงทำหน้าบึ้งแล้วถามกลับ เมื่อคิดว่าคนระดับผู้นำประเทศนั้นมามีปัญหากับอู๋ฮ่าวเหริน
ขณะที่กำลังจัดการเรื่องนี้อยู่ เขาเองก็ได้ยินเรื่องจากนายกเทศมนตรีเกี่ยวกับการคัดค้านระหว่างพวกผู้นำของที่นี่กับอู๋ฮ่าวเหริน
สถานการณ์นี้นำพาสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงในหมู่พวกผู้นำที่มีความสัมพันธ์ดีกับอู๋ฮ่าวเหริน
“ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ผมพูดถึงเรื่องสื่อ” “ถ้าสื่อประโคมข่าวมากเกินไป มันก็จะเป็นเรื่องยากในการจดสิทธิบัตร” เขาชี้ให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าสื่อจะยุ่งยากมาก แต่ถ้าผู้คนสนใจมัน มันก็จะมีหนทางวิจัยจากสื่อผ่านเครื่องผลิตสื่อ ซึ่งเดิมที, ฉันต้องการที่จะพัฒนาไปอย่างช้าๆแล้วค่อยขายให้สื่อ แต่ตอนนี้คงทำไม่ได้แล้ว
แน่นอนว่าจื่อหยงเข้าใจว่าอู๋ฮ่าวเหรินพูดถึงอะไร มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าในขั้นต่อไป ประเทศจะตั้งพัฒนาวัสดุเส้นใยพืชนี้และกักตุนไว้ในเขตมณฑลเกษตรกรรม
จากนั้น ก็ใช้เวลาอีกเกินครึ่งปีในการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมพลาสติกทั้งหมด แล้วจึงดำเนินการขั้นต่อไป
“ฉันจะเอารายงานให้คุณละกัน, และจะส่งคนมาช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ด้วย”
“ดีครับ แล้วก็เรื่องของเครื่องจักรผลิตสื่อ และผมมีคู่มือวิธีใช้อยู่ด้วย คุณก็แค่เอาวัสถุดิบไป แล้วจากนั้นก็เอาส่วนที่เครื่องจักรผลิตออกมา จากนั้นคุณก็เอาแม่พิมพ์ออก คงไม่น่าจะมีปัญหาใช่มั๊ยครับ?”
จื่อหยงลูบหัวของเขา แล้วหยิบเอาเอกสารขึ้นมากจากกระเป๋าเอกสารข้างตัวเขาแล้วส่งมันให้อู๋ฮ่าวเหริน แล้วพูดขึ้น “ผมเกือบลืมไปเลย มีเจ้าหน้าที่ถูกส่งมาที่นี่เป็นกองทัพอยู่ในเมืองนี้ เอาสิ่งนี้ให้พวกเขา บอกกับผู้รับผิดชอบว่าต้องการวัตถุดิบอะไรแล้วพวกเขาจะจัดหามาให้คุณ”
อู่ฮ่าวเหรินมองดูเอกสารและพบว่าเป็นหมายสั่งการโดยกระทรวงกลาโหม เขาจึงเข้าใจได้ว่า การผลิตวัสดุเส้นใยพืชนั้น จะถูกดำเนินการโดยโรงงานของกองทัพ นั่นทำให้เขารู้สึกโล่งใจ
ปัญหานี้ถูกแก้ไขแล้ว แต่ก็ยังเหลืออีกปัญหาอื่นอีก เขาเอาวัตถุดิบที่เตรียมไว้ข้างตัวแล้วยื่นให้จื่อหยงแล้วพูดขึ้น “ผมไม่รู้หรอกนะว่า เจ้าผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นที่ต้องการของกองทัพมั๊ย?”
“หืม? ไฟฟ้าชีวภาพบำบัด?”
เมื่อจื่อหยงอ่านเอกสารข้อมูลเสร็จเสร็จ เขาก็จ้องมองอู๋ฮ่าวเหรินอย่างตกตะลึงแล้วพูดอย่างตกใจ “มีของแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ?”
“มีอะไร จื่อ คุณดูตกใจนะ ขอผมดูหน่อยสิ”
ผู้อาวุโสที่นั่งจิบฉาและอ่านเอกสารข้อมูลที่ได้มาจากจื่อหยง
หลังจากสักพัก เขาก็หันมาจ้องมองอู๋ฮ่าวเหรินด้วยความประหลาดใจและไม่คาดฝัน
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทั้งสองคน ผู้อาวุโสอีกสองคนที่เหลือ ที่ทะเลาะกันอยู่ ก็หยุดแล้วเดินมาอ่านเอกสาร
ในห้องประชุม อยู่ในความเงียบสงบไปชั่วขณะ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องน่าแปลก ทั้ง 4 คนจ้องมองมาที่อู๋ฮ่าวเหริน ราวกับว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด และตกอยู่ในสภาวะตะลึงงัน