ตอนที่ 65 ผู้กอบกู้โลกของเธอ
คฤหาสน์เป็นโลกทั้งใบของฉัน
ถึงคฤหาสน์หลังนั้นจะใหญ่โตพอให้คนอยู่อาศัย แต่มันเป็นโลกที่เล็กเกินไปสำหรับคนที่อาศัยอยู่ได้แค่ในนั้นไปตลอดชีวิต
ดังนั้นฉันเลยชอบหนังสือมาก
ในหนังสือจะไปที่ไหนก็ได้ แน่นอนว่า—-มีบางสถานที่ต่อให้อ่านก็ไม่สามารถจินตนาการได้
ทะเลคืออะไร?
ภูเขาคืออะไร?
ทะเลสาบคืออะไร? แม่น้ำคืออะไร?
ฉันไม่สามารถออกไปข้างนอกตั้งแต่รู้ว่ามีเวทมนตร์ที่หายาก
เมดที่ทำงานในคฤหาสน์นั้นรู้สึกสงสาร เธอเลยสอนอะไรต่างๆให้กับฉัน ทั้งการอ่านหนังสือ โลกที่เธอไม่เคยเห็น แล้วก็—-การรักผู้คน
เมดคนนั้นถูกไล่ออกเพราะ “ให้ความรู้ที่เกินความจำเป็น” กับฉัน จู่ๆวันหนึ่งเมดคนนั้นก็หายตัวไป ไม่แม้แต่จะได้บอกลา
พอถามว่าคนคนนั้นไปไหน
—-คงไม่มาปรากฎตัวต่อหน้าคุณหนูอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว
เป็นคำตอบที่เย็นชา
ฉันอ่านหนังสือไปวันๆ แล้วก็รู้จักคำพูดที่ว่า “ปลอบประโลมความเบื่อหน่ายไปวันๆ” มาจากหนังสือ
และรู้สึกได้เลยว่าหัวใจค่อยๆ เสื่อมถอยลงไป
อีกไม่นานฉันจะถูกใช้งานเยี่ยง “อาวุธ”
แล้วอนาคตเบื้องหน้าของฉันที่มีแต่ความมืดมิดรออยู่ก็เปิดออก
คืนวันที่ฝนตกหนัก
เด็กหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน มาฆ่าพ่อที่กักขังฉันไว้ในคฤหาสน์—-น่าแปลกที่ไม่ได้หวาดกลัวเขาคนนั้นเลย—-แล้วเขาก็ช่วยฉันจากการการคุมตัว
จนพาลให้คิดว่าเหมือนกับผู้กล้าที่อยู่ในนิยายผจญภัยเลย
เขาบอกว่าที่อยากจะช่วยเพราะฉันเอาแต่พูดว่าตัวเองเป็นภาระที่หนักอึ้ง
แล้วก็ไปผ่านดันเจี้ยนด้วยกัน
ฉันที่สูญเสียสีสันในชีวิต ทันใดนั้นในแต่ละวันก็พลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ป่านอกเมืองที่กว้างใหญ่ ถนนหนทางที่เหล่าพ่อค้าสัญจรไปมา แม่น้ำที่มีสะพานพาดผ่าน ฮอทดอกที่อร่อยเวอร์วัง—-ถึงฮิคารุจะบอกว่า “เผ็ดมากเกินไป” ก็ตามที
รู้อยู่แล้วว่าฮิคารุปิดบังอะไรที่สำคัญอยู่
แต่เรื่องนั้นไม่ได้ทำให้ความเชื่อมั่นในตัวฮิคารุสั่นคลอนเลยสักนิด
นั่นก็เพราะว่า ฮิคารุเป็นผู้มีพระคุณของฉัน เป็นวีรบุรุษผู้มอบอิสระให้แก่ฉัน—-บางที—-อาจจะเป็นคนคนแรกที่ฉันรักตั้งแต่เคยเกิดมาเลยก็เป็นได้
แล้วก็ได้รู้เกี่ยวกับโซลบอร์ดความสามารถพิเศษของฮิคารุ
แทบไม่อยากจะเชื่อเลยที่เขาบอกว่าจะมอบ “ลอบเร้น” ให้กับฉัน
ไม่รู้ว่าเขาจะรู้หรือเปล่า แต่ความสามารถของเขา—-มันน่าเหลือเชื่อมาก
ถ้าตั้งใจแล้วละก็จะสามารถผลิตนักดาบชั้นยอดได้มากมาย ราวกับผลงานของพระเจ้าที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้
ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
ฉันดีใจมากที่เขาเชื่อใจ—-และบอกเรื่องนี้ ทำให้ฉันหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้นฉันเลยอยากจะทพตัวให้มีประโยชน์กับฮิคารุ
ไม่จำเป็นต้องถามความต้องการของฉันก็ได้ ถ้าสามารถทำให้ความสามารถพัฒนาไปได้ด้วยแต้มที่มีแล้วละก็ ฉันก็อยากจะคอยค้ำจุนในสิ่งที่ฮิคารุทำไม่ได้
เพราะว่า—-เขาได้มอบอะไรหลายๆอย่างให้กับฉัน
* * *
เช้าวันรุ่งขึ้น ฮิคารุกับที่เตรียมตัวกับลาเวียเสร็จก็ออกไปนอกเมือง
ทุ่งหญ้าลาดเอียงที่แผ่กว้าง โดยรอบนอกนั้นเป็นผืนป่า
ถ้ามองไปทางเหนือก็เจอภูเขาเขียวขจี
ไปขึ้นรถม้าโดยสารนอกเมืองเพื่อมุ่งหน้าขึ้นเหนือ
ฮิคารุดูสดชื่นมาก กะแล้วเชียวว่าการคุยกับลาเวียมันถือเป็นเรื่องใหญ่
แล้วสภาพจิตใจของลาเวียก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ นั่นคือเข้ามาใกล้ชิดฮิคารุยิ่งกว่าทุกที และจับมือกันตลอด
วันนั้นเดินทางกันทั้งวัน
ไปพักที่โรงแรมของเมืองเล็กๆตรงเชิงเขา ตอนออกไปหาข้าวเย็น เมืองก็ถูกย้อมไปด้วยสีแสดของพระอาทิตย์ตกดิน
“เป็นดวงอาทิตย์ที่ใหญ่นะเนี่ย”
ลาเวียพูดออกมาในขณะที่มองพระอาทิตย์ตกไปตรงป่าทางทิศตะวันตก
ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กๆที่เล่นกันอยู่จากตรงไหนสักแห่ง
ฮิคารุกับลาเวียได้กลิ่นหอมของเนื้อย่าง—-จนท้องร้อง ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านอาหารของตึกแห่งหนึ่ง
“อ้า แขกตัวจ้อยนะเนี่ย นักเดินทางงั้นเหรอ?”
เจ้าของร้านที่ดูค่อนข้างใจดีมารับออเดอร์
“แบบว่า ขออาหารที่ร้านแนะนำหน่อยได้ไหม?”
“ได้เลย”
ในร้านมีคนอยู่ราวๆครึ่งหนึ่ง
มีนักกวีหรือไม่ก็นักดนตรีพเนจรถือลูทที่คล้ายๆกับกีตาร์ปรากฏตัวขึ้นมาจากมุมร้าน
เธอที่มีผมสีแดงนั่งลงตรงเก้าอี้ ก่อนจะถือลูทขึ้นมาดีดเพื่อทดสอบเสียง
แล้วค่อยร้องเพลงออกมา
—-เมื่อนานมาแล้ว มีชายผู้สืบสายเลือดมาจากนกฟินิกซ์
—-ชายคนนั้นต้องการอิสระ เลยหนีออกจากบ้านที่เข้มงวด—-
มันเป็นบทกวีที่มีชายคนนั้นเป็นตัวเอก
จากที่คำว่า “ผู้สืบสายเลือดจากเสือเหลือง” กับ “ผู้สืบสายเลือดจากมังกรแดง” ไหนจะคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเผ่าลูมาเนียด้วย
ในขณะที่กินผักที่ห่อไส้กรอกกับแฮมจากเจ้าของร้าน ก็ฟังบทเพลงไปด้วย ผลสุดท้ายของชายที่ต้องการอิสระ โดนเรียกตัวกลับมาเพราะต้องทำสงครามเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน และพี่ชายอันเป็นที่รักยิ่งได้ตายไปแล้วในสงคราม
—-ฮิคารุคิดว่าอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน
ที่ได้ฟังจากเพลงไม่ใช่จากในหนังสือ
“เพลงของลูมาเนียอีกแล้วเหรอฟะ”
“อยากฟังเพลงที่มันดีกว่านี้หน่อย”
ได้ยินเสียงจากโต๊ะรอบข้าง
เมืองนี้เป็นเมืองของลูดันช่า คงไม่ชอบฟังเพลงที่เกี่ยวกับลูมาเนียก็ได้
(ประเทศนี้……ไม่สิ จะบอกว่าเป็นประเทศดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยังสลัดจิตสำนึกจากประเทศเล็กๆไม่ได้)
แล้วฮิคารุก็หวนนึกถึงหน้าของชายผมเขียว
เขากังวลเกี่ยวกับอนาคตของประเทศนี้
—-ชายที่กังวลจนถึงขีดสุด ได้กระซิบกับยักษ์เขียว—-
ยักษ์เขียวรับเลือดของนกฟินิกซ์ และวิ่งไปรอบๆเพื่อหยุดการต่อสู้—-
(ยักษ์เขียว……จะว่าไปตระกูลของรีกก็แปลว่ายักษ์เขียวนี่……)
พอเลื่อนสายตาขึ้นมา ก็สบตากับลาเวีย
ลาเวียหยุดมือที่กินอาหาร แล้วจ้องมาที่ฮิคารุ
“……คุณหนู มีอะไรหรือครับ?”
“ฮิคารุกำลังคิดอะไรอยู่สินะ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก”
“คิดว่าจะช่วยประเทศนี้ดีหรือเปล่าสินะ? เนื้อหาเรื่องนั้นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเนอะ”
“ทำไมผมต้องคิดอย่างนั้น……”
“ถึงฮิคารุจะเย็นชาแล้วบอกว่า ‘ไม่เกี่ยวข้องกัน’ แต่ใจดีกับคนที่มีความพยายามไง”
“ถึงจะโดนบอกว่า ‘แก่แดด’ อยู่บ่อยๆ แต่เพิ่งเคยได้ยินคำว่า ‘ใจดี’ นะเนี่ย”
“เหรอ? ถ้างั้นคนอื่นคงไม่มีตามากกว่า”
ลาเวียพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ
เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน
แล้วก็คิดขึ้นมาว่า—-สีหน้าดูเป็นมิตรขนาดนี้เลยหรือ
คิดว่าการคุยเมื่อเช้าน่าจะส่งผลไม่น้อย
“……ลาเวีย แบบว่า”
“อะไรเหรอ?”
“ขอบคุณนะ ที่ฟังผมพูด”
“ไม่หรอก ฉันต่างหาก…ขอบคุณที่พูดให้ฟัง ฉันดีใจมากๆเลย”
ทั้งคำพูดและความรู้สึกที่อบอุ่น ทำให้คิดอีกครั้งว่าดีจริงๆที่พูดกับเธอ
“ดูเหมือนเพลงจะจบแล้ว”
“จริงด้วย”
ถึงเพลงจะจบไปแล้วแต่ไม่มีเสียงปรบมือเลย
เธอวางลูท ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่เคาน์เตอร์และสั่งน้ำชากับเจ้าของร้าน
“ขอไปลองคุยก่อนนะ บางที—-อาจจะได้ช่วยคนอยู่”
“อือ คิดว่าดีเหมือนกัน สมเป็นฮิคารุด้วย”
ฮิคารุที่ได้รับการสนับสนุนจากลาเวียไปหานักร้อง
“พี่สาว มีเรื่องที่อยากจะถามหน่อย”
“……เด็กคนนี้ อะไรกันเนี่ย?”
“พี่สาวเป็นคนของลูมาเนียเหรอ? ช่วยเล่าเกี่ยวกับเผ่าให้ฟังหน่อย—-”