otonari asobi เล่ม 2 ch10-6 ช่วยเหลือสาวงามนักเรียนแลกเปลี่ยน
“โอ้ยย วันแรงงานแห่งชาติชัดๆ”
หลังจากจบงานอาสาสมัครครึ่งวันเช้า ผมกับคุณชาร์ล็อต เดินทางไปโรงเรียนด้วยกัน ในสภาพที่ผมโคตรจะเหนื่อยล้าสุดๆ
ความล้าร่างกายครั้งนี้เทียบเท่ากับสมัยฝึกฟุตบอลหรือเหนือกว่าด้วยซ้ำ
“อาโอยางิคุงเนื้อหอมไงคะ”
“คุณชาร์ล็อตเองก็เป็นที่รักของพวกเด็กๆด้วยไม่ใช่เหรอครับ”
ชาร์ล้อตเองตอนแรกก็ช่วยสนับสนุนครูพี่เลี้ยงดูแลแคลร์กับเอมม่า แต่พอเด็กคนอื่นๆมาเห็น ทุกคนก็มารุมล้อมคุณชาร์ล้อตไม่ต่างกับที่ผมโดน
ในขณะที่ผมโดนเด็กลากถูลู่ถุกังจนหน้าแทบคว่ำ คุณชาร์ล้็อตเป็นแม่พระ ทิวทัศน์เปล่งประกาย ดูสง่ามากตอนเล่นกับเด็ก คนละเรื่องกับผมเลย
“แต่ว่า…อาโอยางิคุง ก็เนื้อหอมในหมู่พวกครูพี่เลี้ยงด้วยนะคะ”
“เอ๋?”
จู่ๆโทนเสียงคุณชาร์ล็อตลดลงฮวบฮาบ เล่นเอาผมสะกิดใจต้องหันไปมองเธอ
“เจ้าชู้หว่านเสน่ไปทั่วเลยนะคะ”
อะไรวะเนี่ยยยย ผมนี่งงเลย แล้วเธอมีสีหน้าเหมือนจะโกรธผมซะด้วยสิ
“ไม่ได้หว่านเสน่นะครับ”
“งั้นเหรอคะ แต่ว่า ครูพี่เลี้ยงทุกคนก็เป็นคนสวยซะด้วยสิคะ”
“เอ่อ…”
เดี๋ยวนะคร้าบบบ แล้วทำไมจู่ๆผมกำลังจะกลายเป็นคนผิดขึ้นมาซะงั้น
“จะเป็นคนสวยหรือไม่สวยก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหนนะครับ อ้อ แล้วผมก็โดนพวกเด็กๆรุมล้อมซะขนาดนั้น จะเอาเวลาว่างที่ไหนไปหว่านเสน่ครับ”
ไม่รู้ทำไม หลังของผมรู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นยะเยือก ผมรีบกล่าวต่ออีก
“แล้วก็ เอมม่าก็สนิทกับพวกเด็กๆมันก็เป็นเรื่องดีนะครับ”
ไม่รู้ล่ะ ปล่อยไว้เฉยๆไม่พูดอะไร ลางบรรลัยน่าจะมาแทน ผมเลยรีบหาเรื่องเอมม่าคุยเพื่อเปลี่ยนหัวข้อ
“นั่นสินะคะ เรียนตามตรง รู้สึกโล่งใจมากเลยค่่ะ”
เยี่ยม การยกเรื่องเอมม่าม่าเปลี่ยนหัวข้อ ถือว่าประสบความสำเร็จตามที่คิดไว้เป๊ะ ยังไงเธอก้ต้องให้ความสำคัญกับเอมม่ามากว่าอยู่แล้ว
“ทุกคนเป็นเด็กดีมากเลยนะครับ”
ตอนแรกผมเกือบจะบอกว่า ครูพี่เลี้ยงทุกคนเป็นคนดีมาก แต่เปลี่ยนแผน ยั้งปากไว้ทัน เลยเปลี่ยนไปพูดเหมารวมแทน เพราะถ้าพูดครู ผมอาจจะชิบหายรีรันอีกก็ได้
“ถึงยังงั้น เรื่องวันนี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีเพราะอาโอยางิคุงนะคะ”
ชาร์ล็อตหยุดเดิน หันมาสบตาผมกล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง
ผมจึงหยุดฝีเท้ามองตาเธอกลับ
“มันเป็นเพราะเอมม่าพยายามอย่างดี ครุพี่เลี้ยงก็ช่วยดูแล บวกกับความเอาใจใส่ของคุณชาร์ล็อตนะครับ ไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลย”
“ทำไมเธอถึงชอบด้อยค่าตัวเองขนาดนั้นคะ”
“คุณชาร์ล็อต…”
ผมเอียงคอสงสัย เพราะบรรยากาศที่เปลี่ยนไปกับประโยคที่เธอพูด
สายลมพัดผ่าน เธอใช้มือซ้ายกดทรงผมตัวเองไม่ให้ปลิวไปกับลม ก้มหน้าหลบตา
“ชั้นน่ะนะ พ่อชั้นเสียไปตอนที่เอมม่ายังอยู่ในท้องแม่ โดยที่ตอนนั้นชั้นอายุราว4 ขวบกว่า”
“…..”
ทำไมอยู่ๆเธอถึงได้พูดถึงเรื่องพ่อตัวเองนะ แค่ว่าในเมื่อเธอพูดออกมา จุดประสงค์คงอยากให้ผมฟัง ผมก็จะฟังเงียบๆก่อนละกัน
“วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนักมาก ทัศนวิสัยอยู่ในขั้นเลวร้าย ตอนนั้นชั้นกำลังรบเร้าพ่อให้ไปหาแม่ที่อยู่โรงพยาบาล เมื่อก่อนชั้นมักจะคุยกับพ่อเรื่องว่าน้องของชั้นจะเป็นเด็กผู้หญิงหรือเดกผู้ชาย และในระหว่างเดินทางไปก็เกิดเรื่องขึ้น….”
คุณชาร์ล็อตหยุดกล่าว หลับตานิ่ง ร่างกายสั่นเทา ภาษากายบอกชัดว่าเธอกำลังทุกข์ทรมานใจกับเรื่องที่กำลังกล่าว
ผมเห็นท่าทางของเธอ ใจก็คิดว่าอยากจะหยุดไม่ให้เธอพูดต่อ แต่ว่าในเมื่อเธอกล่าวมาถึงขนาดนี้ หากไปขัดจังหวะ บางทีมันคงไม่ใช่เรื่องที่ดี ผมเชื่อว่าเธอน่าจะข้ามผ่านไปได้ เลยเงียบและรอฟังต่อไป
“สัญญาณไฟตอนนั้นเปลี่ยนเป็นสีเขียว..ถ้าญี่ปุ่นเรียกสีน้ำเงินสินะ สัญญาณบอกว่าข้ามถนนได้ ตอนนั้นใจชั้นอยากจะไปเจอแม่กับน้องในท้องมาก จึงรีบข้ามถนน ไม่ได้ดูรอบข้าง ทว่ามีรถฝ่าไฟพุ่งสี่แยกเข้ามาหาชั้น ตัวชั้นตกใจกลัวจนขาแข็ง ขยับไม่ได้ “
พอฟังมาถึงตรงนี้ ผมจินตนาการเรื่องหลังจากนี้ออกหมดเลยว่าคุณชาร์ล็อตอยากจะกล่าวอะไร
คุณชาร์ล็อตน้ำตาไหลขณะที่กล่าวต่อ
“คุณพ่อพุ่งตัวมาหาชนชั้นที่ขยับไม่ได้ จนกระเด็นออกนอกระยะรถ ด้วยเหตุนี้ชั้นจึงไม่ถูกรถชน..แต่ว่า..พ่อของชั้นถูกรถชนตายแทนชั้น ….ถ้าหากว่า…ตอนนั้นชั้น…มองดูรอบข้างให้ดีเสียก่อน…ถ้าวันนั้น..ชั้นไม่กลัวจัดจนร่างกายขยับไม่ได้….พ่อของชั้นก็คงไม่เสียชีวิตค่ะ…ที่พ่อของชั้นตาย..ทุกอย่างเป็นเพราะชั้นเองค่ะ”
คุณชาร์ล็อตกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางเศร้าสร้อยมาก
ทำไมเธอถึงเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังนะ
เธออยากจะบอกอะไรผมกัน
ผมพยายามคิดหาคำตอบเรือ่งนี้อยู่
เรื่องนี้เป็นความทรงจำที่โหดร้ายมาก แต่ว่าผมก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเธอถึงเล่าอยู่ดี
“เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดคุณชาร์ล็อตสักหน่อยครับ คนที่ผิดคือรถที่ฝ่าไฟแดงต่างหากครับ”
สุดท้าย สิ่งที่ผมเอ่ยปาก ก็มีเพียงข้อเท็จจริงที่สรุปออกมา
“คนที่ผิดคือชั้นค่ะ ถ้าชั้นดูทางให้ดีแต่แรก…”
ว่าแล้วเชียวว่าคำพูดของผมส่งไปไม่ถึงเธอ
แต่ก็นะ มันคือเรื่องความตาย และตายจริงด้วย ถ้าพูดง่ายแล้วยอมรับง่าย โลกนี้คงสบายกว่านี้เยอะ
ผมเงียบ ไม่กล่าวอะไร รอฟังคุณชาร์ล็อตกล่าวต่อ
“คุณแม่รู้ข่าวว่าพ่อชั้นเสียชีวิต ก็อาละวาดเสียใจกับข่าวร้ายที่เกิดขึ้น ก่อนที่ร่างกายท่านจะทรุดลง ก็เกิดอาการช็อคจนเป็นภาวะคลอดลูกก่อนกำหนด”
อย่างนี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณชาร์ล็อตถึงได้อ่อนโยนกับเอมม่าเป็นพิเศษ และยอมเอาใจน้องมากขนาดนี้
สำหรับคุณชาร์ล็อต เอมม่าก็คือคนที่ดูแลด้วยความรู้สึกผิดในจิตใจ จึงอยากจะชดใช้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดข้างในใจ
“หลังจากหมอช่วยคุณแม่ จนคลอดเอมม่าออกมาอย่างปลอดภัย ชั้นสัญญากับแม่ว่า ชั้นจะพยายามทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน หรือการเลี้ยงเอมม่าแทนคุณพ่อให้เอง บ้านของชั้นจะให้คุณแม่เป็นคนออกไปทำงาน และชั้นจะเป็นคนที่คอยดูแลเอมม่าเอง “
มิน่าละ คุณชาร์ล็อตถึงสวมต่างหูที่หูซ้าย
ที่ต่างประเทศ การสวมต่างหูเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าการสวมข้างซ้ายข้างเดียว มันจะมีความหมายคนละอย่างเลย โดยปกติ การสวมต่างหูข้างเดียวว ถ้าเป็นผุ้ชาย จะสวมข้างซ้าย ส่วนผุ้หญิงจะสวมข้างขวา
การที่เธอสวมข้างซ้ายคือสื่อว่าเธอทำหน้าที่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งนั่นเอง
ส่วนเหตุผลที่ผมรู้ข้อมูล เป็นเพราะสมัยก่อน อากิระมันเคยบอกผมว่า มันอยากจะสวมต่างหูข้างซ้าย ผมเลยไปหาข้อมูลนี่แหละ
“ถึงตอนนี้ คุณชาร์ล็อตก็ดูแลเอมม่าเป็นอย่างดีไม่ใช่เหรอครับ คุณทำหน้าที่ทุกอย่างรวมถึงงานบ้านด้วย คุณแม่เองก็น่าจะรู้ดีที่สุดนะครับ”
ผมไม่คิดว่า ตอนนั้นที่คุณชาร์ล็อตบอกว่า คุณแม่เคียดแค้นเธอ มันจะเป็นเพราะเรื่องการตายของพ่อนะ
ผมเลยพูดมองหามุมที่สนับสนุนเธอ
ทว่า..
“ไม่เลยค่ะ สุดท้าย ชั้นก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง”
คุณชาร์ล็อตเองก็ยังไม่ยอมรับตัวเอง
“พูดอะไรออกมาครับ ผมนี่ล่ะคือคนที่เฝ้าดูคุณชาร์ล็อตมาตลอด ผมเห็นคุณชาร์ล็อตทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็งานบ้าน หรือการดูแลเอมม่า ไม่ว่าจะเป็นตอนเอมม่าขี้อ้อนเอาแต่ใจ หรือตอนที่จำเป็นต้องดุเมื่อเอมม่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม คุณทำทุกอย่างแล้วนะครับ”
“สิ่งที่ชั้นทำได้คือหน้าที่ของคุณแม่ค่ะ…และชั้น..ก็ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นคุณพ่อให้เอมม่าได้ค่ะ”
พอเธอพูดแบบนั้นมันก็ไม่ผิด สิ่งทื่เธอทำ เป็นหน้าที่ของมารดาทั้งนั้นเลย แต่ว่ามันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกันสักหน่อย สุดท้ายเธอก็ทำดีและทำเต็มที่แล้วนี่นา
“ตั้งแต่ได้พบกับอาโอยางิคุง คนที่ปกป้องเอมม่าไม่ใช่ชั้น แต่เป็นอาโอยางิคุงต่างหาก ชั้นมันไร้ประโยชน์ค่ะ”
“…คุณชาร์ล็อต”
ถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจว่า เจตนาที่เธอพูดเรื่องพ่อ มันคืออะไรกันแน่
แต่ว่าพอเห็นรอยยิ้มที่ดูไร้เรี่ยวแรงของเธอ มันทำให้หัวใจผมเจ็บแปล๊บจนทนไม่ไหว
“ขอโทษด้วยนะคะ อาโอยางิคุง ที่ชั้นพูดเรื่องพวกนี้ออกมา ไม่ได้หมายความว่าชั้นอยากแสดงท่าทางน่าสมเพชให้คุณเห็น แต่ว่า ชั้นอยากให้คุณรู้ว่า ชั้นคิดยังไงกับเอมม่า ชั้นอยากจะทำอะไรให้เอมม่าค่ะ”
เธออธิบายจบ น้ำตาไหลเป็นทาง เมื่อเธอเช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้า สีหน้าเธอดูสดใสขึ้น ก่อนจะกล่าว
“อาโอยางิคุงชอบเอมม่ารึเปล่าคะ”
“เอ๋?…เอ่อ น้องก้น่ารักดีครับ ผมชอบเอมม่ามากครับ”
“งั้นเหรอคะ”
จู่ๆก็เจอคำถามนี้เล่นเอางง แต่ก็ตอบไปตามตรง
คุณชาร์ล็อตหน้าแดง มองตาผมหลายรอบ ก่อนจะกล่าวว่า
“ถ้างั้นช่วยฟังคำขอเอาแต่ใจเรื่องหนึ่งจะได้มั้ยคะ”
“เอาแต่ใจเหรอ? ถ้าเป็นคำขอคุณชาร์ล็อต จะเอาแต่ใจแค่ไหนก็เต็มที่เลยครับ”
ผมพยายามหัวเราะ พยักหน้าลงเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
ทว่า จู่ๆคุณชาร์ล็อคว้ามือทั้งสองข้างของผม
“ค..คุณชาร์ล็อต”
ผมตกใจมากที่เธอคว้ามือสองข้างผมโดยไม่ทันตั้งตัว
ทว่าแววตาคุณชาร์ล็อตที่มองมาที่ผม แววตาเธอบอกชัดว่าคาดหวังอะไรบางอย่างกับคำตอบของผมอย่างเต็มที่
“ตัวชั้นน่ะ ทำหน้าที่ได้แค่คนเป็นแม่ค่ะ แต่ว่า ชั้นคิดว่าเอมม่าจำเป็นต้องมีพ่อค่ะ”
“อ..อืม.ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นครับ”
เอ๋…อย่าบอกนะว่า..
“อาโอยางิคุง ต่อจากนี้คงมีเรื่องต้องรบกวนเธอมากๆ แต่ว่า ได้โปรดช่วยชั้นเลี้ยงเอมม่าด้วยนะคะ ชั้นอยากให้เธอเป็นพ่อให้เด็กคนนั้นค่ะ”
คุณชาร์ล็อตกล่าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่ว่าไม่ได้หลบสายตา
จะบอกว่านี่เป็นคำสารภาพรักรึเปล่านะ
หรือเป็นเพียงแค่ความอยากให้เอมม่ามีพ่อช่วยดูแลเท่านั้น
ผมไม่มีเวลาจะไตร่ตรองว่า เรื่องไหนเป็นคำตอบจริง แต่ว่าสิ่งที่ผมทำได้ ก็มีแค่พยักหน้าตอบรับคำขอเธอแหละ
เพียงแค่เธอเห็นผมพยักหน้า ดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าของเธอ ก็เบิกตากลมโตเปล่งประกายด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้ง
…….ด้วยเหตุนี้ ผมเลยต้องทำหน้าที่เป็นพ่อคนตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย
เอาจริงๆอนาคตข้างหน้าจะเป็นไงผมก็ไม่รู้ แต่ว่า…
“ขออนุญาตกล่าวอีกครั้งนะคะ ต่อจากนี้ขอความกรุณาด้วยนะคะ อาโอยางิคุง”
สิ่งที่ผมคิดมีแค่อยากให้สาวน้อยตรงหน้า มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ผมจะพยายามเพื่อไม่ให้เธอต้องร้องไห้อีกต่อไป
****
จบ CH 10-5 (เล่ม2)
กดไปชั่วโมงครึ่ง ชดเชยเมื่อวาน ทีเดียวจบ
เป็นไงครับ เรื่องนี้เล่มสอง ถ้าใครชอบดราม่าก็ดี แต่ส่วนตัวผม แปลจบนี่แทบจะปิดแอพลบนิยาย 55 โคตรขัดกับฟีลตัวเอง อยากแปลเรื่องฮา เมิงล่อดราม่าซะ้เต็มเหนี่ยวเลย แต่มันก็สมเหตุสมผลแหละ จะให้อาโอยางิเป็นพ่อทั้งที นักเขียนก็เล่นหาเหตุผลมาเพื่อให้รองรับแบบชัดเจนไปเลย
เรื่องเหตุผลถือว่าผ่านนะ การอ่านแล้วไม่ได้รุ้สึกติดขัด แต่เรื่องความรักกับความฮา เล่มนี้ผมให้ 1เต็ม 10พอ อ่านแล้วมันอึมครึม (นี่ตัดไปเล็กๆน้อยๆ มั่นใจได้ว่าผมไม่ตัดสาระสำคัญออกแน่นอน)
ใครชอบไม่ชอบยังไงก็บอกกันได้นะครับผม