ตอนที่ 10 วิลเลียมและลูคัส
ชายหนุ่มผู้หยิ่งทะนงเดินมาปัดชามฮาเกนทิ้งอย่างไม่ไยดีพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าไม่อยากกินอาหารหม้อเดียวกับขอทาน ดังนั้นเจ้าควรไสหัวไปจากตรงนี้ซะ”
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเงียบเสียงที่พูดคุยกันมองมาทางฮาเกนและชายหนุ่มผู้หยิ่งทะนง แต่ส่วนใหญ่แล้วสายตาจะไปอยู่ที่ฮาเกนบางคนก็เห็นใจ บางคนก็มองอย่างดูถูก
กายก็มองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มผู้หยิ่งทะนงกำลังทำอะไร? ทำไมถึงมาหาเรื่องฮาเกน? เขามองมองฮาเกนที่ตอนนี้ก้มลงไปเก็บชามซุปเนื้อของตัวเองที่เหลืออยู่แค่ก้นถ้วยเท่านั้น
ฮาเกนไม่ได้ตอบโต้อะไรชายหนุ่มผู้หยิ่งทะนง แต่เลือกที่จะก้มหน้ายอมรับการกลั่นแกล้ง เมื่อเห็นแบบนั้นก็เหมือนยิ่งทำให้ชายหนุ่มผู้หยิ่งทะนงได้ใจหยิบขนมปังดำแข็ง ๆ ของตัวเองที่ปกติจะแบ่งให้คนละหนึ่งชิ้นปาใส่หัวของฮาเกนและพูดว่า “เจ้าชั้นต่ำรู้จักที่ของตัวเองแล้วอย่างนั้นหรือเอานี่ไปกิน ข้าให้”
เมื่อโดนกระทำแบบนั้นฮาเกนก็กำหมัดแน่นอย่างอดทนอดกลั้นไม่ได้ลงมือสู้กลับไป เพียงจับหัวของตัวเองอย่างเจ็บ ๆ ลุกขึ้นเดินไปหยิบขนมปังดำที่กระเด็นหล่นอยู่ไม่ไกล
ผู้คนโดยรอบได้แต่มองแต่ไม่กล้าเข้าไปช่วย เพราะทุกคนรู้ว่าชายคนนี้คือ “วิลเลียม โอมาเธีย” ผู้มีพี่ชายเป็นหัวหน้าหน่วยทหารม้าเกราะเบา อยู่ที่ป้อมปราการตะวันออก นั้นทำให้วิลเลียมกล้าที่จะทำแบบนี้กับฮาเกน
ทุกคนจึงเลือกจะดูอยู่เงียบ ๆ ไม่เข้าไปยุ่งเรื่องที่อาจจะนำปัญหามาให้พวกตัวเองในอนาคตได้ แน่นอนว่าปัญหาที่ว่าก็คือหลังจากที่พวกเขาเข้าไปอยู่ในกองทัพ มันอาจจะไม่ถึงตาย แต่คงลำบากแน่นอน
ด้านหลังของวิลเลียมยังมีชายหนุ่มที่แต่งตัวดีอีกคนที่ดูจะสนิทกับวิลเลียมอยู่ไม่น้อยมองดูอย่างสนุกสนาน เขาคือ “ลูคัส ซิทาย่า” มาจากหมู่บ้านใกล้ ๆ กับวิลเลียมซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก
“เจ้าไม่ลองทำให้มันลุกขึ้นไม่ได้สักสองสามวันดูล่ะ บางที่มันอาจจะได้ไม่มากวนใจเจ้าอีกก็ได้” ลูคัสพูดยุยงให้วิลเลียมจัดการสั่งสอนฮาเกน ส่วนตัวเองก็รอดูเรื่องสนุก
คนอื่น ๆ คิดว่าทั้งสองทำเกินไปจึงหันไปมองพวกทหารที่มากับพวกเขา ถ้าจะมีคนหยุดวิลเลียมได้ก้คงมีแค่ทหารเหล่านั้น แต่น่าแปลกที่มีทหารอยู่สองนายส่วนอีกสามนายหายไปไหนไม่ทราบ และดูเหมือนทหารทั้งสองคนนั้นจะไม่อยากยุ่งเรื่องนี้
หญิงสาวที่เป็นลูกหลานของเจ้าพนักงานอีกคนก็มองดูการกระทำทั้งสองคนอย่างรังเกียจและดูถูก จึงคิดที่จะเข้าไปหยุดวิลเลียม
……
วิลเลียมผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนสนิทอย่างลูคัส ก็ยกเท้าถีบ ฮาเกนที่เก็บขนมปังดำอยู่อย่างแรงจนล้มลง ถ้วยและขนมปังในมือหล่นลงจนหกหมด ฮาเกนกัดฟันมองวิลเลียมเหมือนจะหมดความอดทน แต่คำพูดต่อมาของวิลเลียมเหมือนน้ำเย็นสาดใส่ฮาเกน
“เจ้ามองอะไร? หรือจะให้ข้าเขียนจดหมายไปบอกท่านพ่อว่าเจ้าลูกชายหัวขโมยคิดจะกลับคำพูดกัน”
“เจ้า…” ฮาเกนชี้หน้าจะด่าวิลเลียม แต่ก็กลืนคำพูดไป เขาจะต้องไม่หลงกลวิลเลียม จนทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากกว่านี้ ‘ข้าจะต้องอดทนก็แค่เป็นทหาร หลังจากข้าทำผลงานได้แล้วจะกลับไปหาพ่อ และนาง’
วิลเลียมที่เห็นว่าฮาเกนไม่เล่นตามแผนของตัวเอง เขาก็คิดจะลงมือให้หนักขึ้น จึงกระโจนเข้าไปกดฮาเกนลงกับพื้นหญ้าจับคอเสื้อกระชากขึ้นมาและทำท่าจะต่อยไปที่ใบหน้าของฮาเกน
“เจ้าขอทานชั้นต่ำ! ไอ้ลูกคนขโมยของ!”
วิลเลียมอ้างหมัดกะจะต่อยฮาเกน แต่แล้วก็มีคนเดินเข้ามาจับหมัดของเขาไว้และพูดว่า “พอได้แล้วมั้ง”
วิลเลียมรู้สึกแปลกใจที่มีคนกล้ามายุ่งเรื่องของเขา คนอื่น ๆ ก็แปลกใจ โดยเฉพาะหญิงสาวลูกเจ้าพนักงานอีกคนที่กำลังเดินมาช่วยก็แปลกใจเหมือนกัน แต่ดูจะมีคนหนึ่งที่ไม่สนใจว่าใครจะกล้ามายุ่งเรื่องของวิลเลียม แต่กลับรอดูอย่างคาดหวังว่าจะเห็นความวุ่นวาย ชายคนนั้นก็คือ ลูคัส
“เจ้าไปใครถึงกล้ามายุ่งเรื่องของข้า รู้หรือไม่ข้าคือใคร” วิลเลียมหันไปมองกาย ซึ่งก็คือคนที่จับข้อมือของวิลเลียมอยู่ในขณะนี้
วิลเลียมมองมือกายที่จับข้อมือของตัวเองอยู่ด้วยทาทีโมโห ‘ชายสกปรกคนนี้กล้าถูกตัวของข้า’
กายมองชายหนุ่มผู้หยิ่งทะนงที่ตอนนี้ดูจะไม่พอใจการกระทำของเขา กายจึงคิดจะพูดอะไรสักหน่อย แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปาก
ชายตรงหน้าก็ชักดาบออกมา ทำท่าจะฟันเขา กายที่ตกใจจึงหยิบของใกล้มือนั้นคือค้อนที่ไม่รู้ว่าตัวเองพกติดตัวทำไมขึ้นมากันด้านหน้า แต่ในตอนนั้นเองเสียงของ บาเรนก็ดังขึ้น
“พวกเจ้าจะทำอะไร? ไม่รู้กฎของกองทัพหรือไงว่าห้ามต่อสู้กัน” เสียงตะหวาดของบาเรนดังไปทั่ว คนที่ไม่เกี่ยวข้องรีบแยกย้ายกันถอยหนีออกไปทีใครที่มัน เพราะกลัวจะโดนลากไปเกี่ยวด้วย
ลูคัสพูดออกมาอย่างเสียดายว่า “เฮ้อหมดสนุกกัน”
ส่วนหญิงสาวลูกหลานเจ้าพนักงานผู้นั้นก็ปล่อยมือออกจากด้ามจับดาบที่อยู่ข้างเอว
วิลเลียมรีบเก็บดาบของตัวเองและหันมามองกายและฮาเกนด้วยสายตาที่เป็นศัตรูอย่างชัดเจน
ส่วนกายตอนนี้ยืนแข็งทื่อค้อนในมือสั่นไหวเล็กน้อย หลังของกายชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อโดนลมหนาวในตอนเย็นก็ทำเขาขนลุกไปหมด เมื่อกี้กายเห็นแสงสีแดง ๆ จากดาบของวิลเลียมอย่างชัดเจน แม้จะแค่เสี้ยววินาที แต่เขาคิดว่าตัวเองโดนผ่าเป็นสองส่วนโดย NPC คนนี้ซะแล้ว ‘ไม่คิดเลยว่าแค่ NPC ที่ดูท่าจะเป็นพวกลูกคุณหนูคุณชายผู้เอาแต่ใจจะร้ายกาจขนาดนี้ เมื่อกี้ต้องเป็นศิลปะการต่อสู้แน่ ๆ’
กายยกมือปาดเหงื่อออกจากหน้าของตัวเอง ขณะที่บาเรนก็หันไปมองทุกคนและพูดย้ำอีกครั้งว่า “เรื่องในวันนี้ข้าจะปล่อยไป แต่ถ้าใครกล้าต่อสู้กันเองโดยไร้เหตุผลอีก อย่าหาว่าข้าส่งเรื่องพวกเจ้าขึ้นศาลทหาร เพราะยังไงพวกเจ้าก็ลงชื่อเข้าร่วมกองทัพแล้ว แม้จะเป็นแค่ทหารฝึกหัดอย่างไม่เป็นทางการก็ตาม”
หลังจากนั้นหัวหน้าทหารก็หันไปมองเป็นเชิงตำหนิกับคนของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้พูดหรือลงโทษอะไร เพราะบาเรนรู้ว่าเรื่องทั้งหมดมาจากใคร แต่แน่นอนว่าเขาไม่มีอำนาจพอจะไปลงโทษ ทำได้แค่ห้ามปรามเท่านั้น
แน่นอนว่าบาเรนคิดว่าเมื่อกลับไปถึงค่ายจะรายงานเรื่องนี้ต่อ หัวหน้ากองพลโจเซฟอย่างแน่นอน
แต่บาเรนก็ยังไม่คิดจะปล่อยไปแบบนี้จะพูดกับวิลเลียมว่า “ถึงพี่ชายนายจะเป็นหัวหน้าทหารม้าเกราะหนัก แต่นายไม่ใช่พี่ชายของนาย”
หลังจากนั้นบาเรนก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกลับกันไปที่ของตัวเอง วิลเลียมก็ออกไปพร้อมกับลูคัส
ขณะที่ทุกคนแยกย้ายกันออกไป กายก็ยืนมือไปช่วยฮาเกนลุกขึ้น ฮาเกนผู้ที่ยิ้มรับทุกปัญหาก็จับมือของกายโดยอีกมือไม่ลืมหยิบขนมปังดำก้อนนั้นมาด้วยทั้งสองเดินกลับไปที่รถม้าคันสุดท้าย
แต่ในตอนนั้นไม่มีใครสังเกตว่าหญิงสาวลูกหลานเจ้าพนักงานยังคงยืนมองกายเดินจากไป เธอเห็นมันชัดเจนยิ่งกว่าที่กายเห็นดาบของวิลเลียมเรืองแสงซะอีก
“ค้อนในมือชายคนนั้นก็มีแสง” หญิงสาวหรี่ตามองกายและหันกลับไปที่รถม้าเช่นกัน
……ที่รถม้าลากคันหลังสุดกายและฮาเกนนั่งกินอาหารของตัวเองอยู่อย่างเงียบ ๆ ไม่ได้พูดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้แม้แต่น้อย
กายกำลังจะยกถ้วยซุปเนื้อของตัวเองดื่ม แต่เห็นว่าในถ้วยของฮาเกนไม่เหลือซุปเนื้อเข้าจึงบอกให้ฮาเกนเอาชามมานี่หน่อย ฮาเกนแปลกใจแต่ก็ส่งชามให้กาย
เขาแบ่งซุปเนื้อในชามของตัวเองให้กับฮาเกนครึ่งหนึ่งจากนั้นก็หันไปกินของตัวเองต่อ ฮาเกนเห็นแบบนั้นก็รู้สึกขอบคุณกาย รีบหยิบถ้วยที่มีซุปเนื้ออยู่ครึ่งของตัวเองขึ้นมากินเหมือนกัน
“ขนมปังดำนี่แข็งเป็นบ้าเลย เจ้าไม่เจ็บหรือไงตอนที่โดนปาใส่หัว” กายบ่นไปกำพยายามใช้ปากกัดขนมปังดำแข็ง ๆ ไป
ฮาเกนที่เห็นแบบนั้นก็มองกายเหมือนกับเข้าเป็นคนโง่ กายที่เห็นสายตาของฮาเกนก็รู้ว่าคิดอะไรรีบพูดกลับไป “หยุดมองข้าด้วยสายตาที่เหมือนข่าเป็นคนโง่ได้แล้ว”
“ก็เจ้าโง่จริง ๆ นี่ ขนมปังดำใครเขากินกันแบบนั้นมันก็แข็งตายสิ เจ้าต้องจุ่มมันลงไปในซุปพอมันอมน้ำเล็กน้อยก็นุ่มแล้วทีนี้ก็กินได้สบาย”
ฮาเกนจุ่มขนมปังลงไปในถ้วยซุปของตัวเองให้กายดูเหมือนกำลังสอนเด็กยังไงยังงั้น
“เฮ้ยเจ้าพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกก็ข้าไม่เคยกินขนมปังดำแบบนี้มาก่อนนี่” กายพูดกลับไปอย่างไม่อายกับความไม่รู้ของตัวเอง และเริ่มทำตามฮาเกน เขาจุ่มขนมปังดำลงไปในซุปเนื้อและกินมันคำใหญ่ ๆ
คำแรกที่จัดไปมันเป็นรสชาติที่สุดยอดมาก ราวกับขนมปังได้ดูดเอาเนื้อในซุปทั้งหมดมารวมกันจากนั้นก็ระเบิดออกในปากของเขาตอนที่เคี้ยว “สุดยอด นี่มันน่าเหลือเชื่อขนมปังดำที่ใช้เขวี้ยงหัวหมาพอกินกับซุปเนื้อแล้วอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ”
“เฮ้ย เจ้าว่าใครเป็นหมา”
“ข้าไปว่าเจ้าตอนไหน?”
“ก็เจ้าบอกขนมปังดำที่ใช้เขวี้ยงหัวหมา”
“เอ้าเหรอ งั้นขอโทษที แต่มันก็ไม่ผิดซะทีเดียวก็ตอนนั้นเจ้าทำตัวราวกับหมากลัวพยัคฆ์ไม่มีผิด” กายพูดจาเหน็บแนมฮาเกน
ฮาเกนไม่ได้โกรธ แต่กลับพูดย้อนไปว่า “เจ้าว่าแต่ข้า เจ้าเองก็ตัวสั่นจนทำอะไรไม่ถูกตอนที่จะโดนฟัน”
กายได้ยินก็ไม่รู้จะเถียงกลับไปยังไง “ข้าไม่คิดว่าคนซื่อ ๆ จะย้อนคำพูดเป็น”
“ใครบอกว่าข้าเป็นคนซื่อ ๆ ”
กายขี้เกียจจะไปเถียงจึงเปลี่ยนเรื่องถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“เจ้ากับไอ้หมอนั้นมีเรื่องอะไรกันแน่ ดูเหมือนมันจะจ้องเล่นงานเจ้าโดยตรง”
ฮาเกนได้ยินก็วางชามซุปเนื้อในมือลงมองไปยังทิศทางที่เคยผ่านมาอย่างเงียบ ๆ ส่วนไนเรลก็ตั้งหน้าตั้งตารอฟัง ดูเหมือนเขาจะได้รับรู้เรื่องราวของ NPC ฮาเกนเพิ่มขึ้นแล้ว