ตอนที่ 13 ซ่อมเพลาเหล็กรถม้าลาก
หลังจากเรื่องทุกอย่างจบลง ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน โดยแบ่งคนไว้เฝ้ายามไว้ไม่กี่คน แต่ถึงจะไม่เหลือคนไว้เฝ้ายามหลายคนก็นอนไม่หลับอยู่แล้ว ถ้านอนหลับได้สิถึงจะแปลก เพราะมีศพจำนวนกว่า 20 ร่างนอนเรียงรายอยู่ข้างรถม้าลาก
กายเองก็นอนไม่หลับเช่นกัน ถึงเขาจะรู้ว่าโจรที่ตายคือ NPC แต่เกมราชันสงครามออนไลน์ก็ทำออกมาได้สมจริงเกินไปจนเขารู้สึกขนลุกแปลก ๆ โดยเฉพาะโจรที่เขาฆ่าตายไปคนหนึ่ง
ดึงนั้นเขาจึงพยายามคิดเรื่องอื่นและก็นึกขึ้นมาได้ ว่าถ้าพวกทหารรู้อยู่แล้วว่าจะมีโจรมาโจมตีทำไมไม่บอกกับทุกคน
“เฮ้ ฮาเกน เจ้าว่าพวกทหารเหล่านั้นตั้งใจให้โจรมาโจมตีพวกเราหรือไม่”
ฮาเกนที่นอนอยู่ด้านข้างถามอย่างแปลก ๆ “หมายความว่าไง ข้าไม่เข้าใจ”
“ก็พวกทหารหลบออกไปก่อนที่โจรจะมาโจมตี นั้นหมายความว่าพวกเขารู้ว่าจะมีโจรจู่โจม แต่ทำไมไม่เตือนพวกเรา”
ฮาเกนเงียบไป และก็ตอบมาด้วยทัศนคติที่มองโลกในแง่ดีว่า “เจ้าอย่าคิดมากนะ พวกเขาคงไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรหรอก”
กายขี้เกียจจะไปสนทนากับไอ้ยักษ์สมองหมูนี่อีกจึงพึมพำออกมาคนเดียวว่า “บางทีพวกเขาอาจจะอยากสอนบทเรียนให้กับพวกเรา จึงใช้เป็นเหยื่อล่อก็ได้ แต่บัดซบนายท่านเกือบตาย ชีวิตที่แสนสำคัญเกือบตาย คอยดูเถอะถ้าข้าแข็งแกร่งเมื่อไหร่จะใช้ให้ทหารพวกนี้ไล่ฆ่าโจรทั้งภูเขาไม่ให้หยุดเลยคอยดู”
ในขณะที่ทุกคนกลับไปพักผ่อน บาเรนก็เดินกลับมาดูศพโจรคนที่กายใช้ศิลปะการต่อสู้จัดการฆ่าไปในทีเดียว บาเรนใช้ปลายดาบตัวเองเขี่ยดูบริเวณเสื้อของโจรจนเผยให้เห็นผิวหนังใต้เสื้อ เขาก็ถึงกับขมวดคิ้วทันที
เพราะกระดูกซีกโครงทั้งหมด แตกละเอียดจนมันยุบลงผิดรูป สีของบริเวณหน้าอกเขียวค้ำจนออกม่วงอย่างน่ากลัว
บาเรนหันไปมองรถม้าคันสุดท้าย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวตระกูลเจ้าพนักงานก็หันไปมองจุดเดียวกับบาเรนเช่นกัน และเหมือนทั้งสองจะคิดอะไรบางอย่างไปด้วย
……
เช้าวันต่อมา ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นดีทุกคนก็ถูกปลุกเพื่อเตรียมตัวจะออกเดินทาง แต่ดูเหมือนจะเกิดปัญหาขึ้นทำให้บาเรนที่คุยกับคนขับรถม้าด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เพลาล้อรถม้าลากคดงอ” บาเรนถาม
“ใช่ ข้าลองตรวจดูแล้วสภาพมันแล้ว ดูเหมือนว่าเพลาเหล็กด้านหลังมันงอบิดผิดรูป” คนขับรถม้ากล่าว
“เจ้าซ่อมมันได้ไหม”
“ข้าเป็นแค่คนขับรถม้าไม่ใช่ช่างโลหะ”
“งั้นก็ชั่งมันทิ้งรถม้าไว้ที่นี่ก็แล้วกัน”
“แต่แบบนั้นจะทำให้รถม้าคันอื่น ๆ รับน้ำหนักมากขึ้นจนทำให้การเดินทางช้าลง” ทหารคนอื่น ๆ ต่างก็คิดว่าแบบนั้นพวกเขาจะเดินทางช้าลงอีก 1 วัน
“ถ้างั้นจะให้ข้าทำไง ข้าไม่ใช่ช่างโลหะที่จะซ่อมมันได้สักหน่อย”
พวกเขามองด้วยความหนักใจ สุดท้ายก็จำใจย้ายของออกจากรถม้าลากไปใส่คันอื่น ๆ ยังมีโจรอีกหลายคนที่พวกเขาต้องเขาตัวไปด้วย ส่วนศพโจรพวกเขาก็ขุดหลุ่มฝังไว้แถว ๆ นี้
ในขณะที่พวกเขาคุยกันกายก็ได้ยินอย่างชัดเจนพวกเขาบอกว่าช่างโลหะสามารถซ่อมเพลาเหล็กได้ ก็นึกอะไรขึ้นได้ว่าตัวเองก็ถือว่าเป็นช่างโลหะด้วย (มั้งนะ)
“ถ้าแค่ซ่อมเพลาเหล็กข้าอาจจะพอซ่อมได้” เสียงของกายดังผ่านกลุ่มคนไปจนถึงบาเรน
ทุกคนต่างหันมามองกายเป็นตาเดียว วิลเลียมได้ทีก็พูดเหน็บแนมกายทันทีว่า “เจ้าเนี่ยนะเป็นแค่พวกขอทานจะซ่อมมันได้อังไง หรือเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นช่างโลหะกัน”
“ใช่ข้าเป็นช่างโลหะ แล้วทำไมข้าจะซ่อมไม่ได้” กายหยิบค้อนในมือขึ้นมองวิลเลียมด้วยสายตาท้าทาย
“เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นช่างโลหะแล้วจะได้เป็นจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ…” วิลเลียมเหมือนพยัคฆ์ที่โดนหนูสกปรกท้าทายจึงพูดแดกดันไป แต่เสียงของบาเรนก็ขวางเขาไว้
“พอได้แล้ว เจ้ากลับไปที่รถม้าของเจ้าซะ” บาเรนมองวิลเลียมด้วยสายตาดุดันและก็กล่าวกับกายต่อ “ส่วนเจ้าซ่อมมันได้จริง ๆ ใช่ไหม”
“ถ้าคนขับรถม้าบอกช่างโลหะซ่อมได้ ข้าก็จะลองดูเพราะข้าคือช่างโลหะเหมือนกัน” กายพูดเผื่อทางถอยให้กับตัวเองไว้ด้วย
บาเรนหันไปมองคนขับรถม้า ทำเอาคนขับทำอะไรไม่ถูกจึงได้พูดไปว่า “ก็ช่างโลหะสร้างพวกมันก็คงจะซ่อมได้อยู่แล้ว”
“ถ้างั้นเจ้าก็ลงมือซ่อมได้เลย แต่ข้าให้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงถ้าไม่ได้พวกเราก็จะออกเดินทางกันต่อจะได้ไม่เสียเวลา” บาเรนหันไปสั่งให้คนช่วยถอดเพลาเหล็กออกมา
วางไว้หน้ากาย กายมองเหล็กตันที่มีขนาดประมาณไม้พลองธรรมดาชิ้นหนึ่ง ด้านข้างแต่ละฝั่งมีตัวยึดที่หมุนได้อย่างอิสระ แต่มุมด้านข้างหนึ่งของเพลาเหล็กมันกับมีรอยงอที่ทำลายความสมบูรณ์แบบของแท่งเหล็กอยู่
แต่แล้วเขาก็นึกได้ว่า ‘ไม่มีเตาเผาเหล็กและจะตีเหล็กได้อย่างไร’
“คงไม่ต้องให้มันสมบูรณ์แบบหรอกมั้ง” กายจึงคิดแค่ว่าจะดัดมันให้ตรงแค่พอใช้ในการเดินทางชั่วคราวเท่านั้น
แต่แล้วเพียงแค่กายหยิบค้อนทุบลงไปยังจุดที่เกิดการบิดงอหนึ่งครั้งมือของเขาถึงกับสั่นจนค้อนหลุดมือ ทำเอาคนที่ดูถูกกายถึงกับพากันหัวเราะกับการกระทำของชายหนุ่มแน่นอนว่ามีวิลเลียมรวมอยู่ในนั้นด้วย
“ก็แค่เด็กเรียกร้องความสนใจ” วิลเลียมยืนเยาะเย้ยถากถางอยู่ไม่ไกลนัก
แต่กายที่ได้ยินก็เลือกจะไม่สนใจ เขามองค้อนในมือและเพลาเหล็กคิดหาวิธีจัดการกับมัน
“ตกลงเจ้าทำได้ไหม” บาเรนเองก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงถามซ้ำไปอีกที กายหันไปทางบาเรนและก็เห็นหลุมศพที่ฝั่งโจรยี่สิบกว่าร่างด้านหลัง
“จริงสิ” กายถึงกับพูดออกมา
“จริงสิอะไร?” เสียงของหญิงสาวตระกูลเจ้าพนักงานถามขึ้น
“เออ…เปล่าไม่มีอะไร?” กายตกใจเล็กน้อยกับการกระทำของเธอที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ฉันมีความคิดอย่างหนึ่ง แต่ต้องลองดูก่อน” กายบอกกับหญิงสาว
“งั้นก็ลองสิ” เธอยังคงจ้องมองกายอยู่
กายรู้สึกว่าหญิงสาวนี่ดูแปลก ๆ ตอนแรกก็ดูลึกลับตอนนี้กลับมาดูสนใจการกระทำของเขา
“เออ ก็ได้” กายเปลี่ยนจากวิธีตีเหล็กแบบธรรมดามาใช้ศิลปะการต่อสู้ ทุบ แทน เพราะเขาคิดว่ายังไงซะ มันก็เป็นศิลปะการต่อสู้จากหนังสือ “บันทึกช่างโลหะ”
กายยกค้อนขึ้นสูงแรงกดดันรอบ ๆ หลอมรวมเข้าไปในค้อน มีเพียงคนแปดคนที่สัมผัสถึงมันได้นั้นก็คือ ทหารทั้ง 5 คน และลูกหลานตระกูลเจ้าพนักงานทั้งสามคนก่อนที่คนอื่น ๆ จะเห็นแสงที่เกิดจากศิลปะการต่อสู้
ปัง!
เสียงค้อนกระทบเข้ากับเพลาเหล็กดังสนั่น มันไม่ได้ดัง “เคร้ง” เหมือนกับเหล็กกระทบกัน แต่รุนแรงกว่านั้นมากนัก
หลายคนที่อยู่ใกล้ ๆ พากันอุดหูทันที จะมีก็แต่แปดคนก่อนหน้านี้ที่พูดถึงซึ่งพวกเขาเคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อนจึงไม่ได้รับผลกระทบจากศิลปะขั้น 1 แบบนี้มากนัก
กายรู้สึกถึงความหน่วงที่แขนข้างที่จับค้อน แต่เขาก็มองดูเพลาเหล็กที่งอกลับเข้าที่ไปเล็กน้อยอย่างพอใจ
“ดูเหมือนว่ามันจะได้ผล” เมื่อรู้ว่าได้ผล เขาก็ใช้ศิลปะการต่อสู้ทุบอีกครั้ง
ปัง!
การทุบครั้งที่สองกินแรงเป็นอย่างมาก เขารู้เวียนหัวขึ้นมาเล็กน้อยจากการตั้งสมาธิและอาการเหนื่อย ๆ จากการใช้ศิลปะการต่อสู้ แต่กายยังคงลงมือใช้อีกครั้งติดต่อกันถึง 4 ครั้งนี้คือขีดจำกัดสูงสุดของเขาแล้ว
ตุบ!
ค้อนในมือกายหล่นลงเขารู้สึกชาไปครึ่งซีกจากนั้นก็เกิดอาการเวียนหัวอย่างรุนแรงจนอ้วกออกมา
อ้วก!!!
กายอ้วกโดยมีอะไรออกมานอกจากน้ำย่อยสีใส ๆ ทำเอาวิลเลียมมองอย่างสมเพชและเดินกลับออกไป
คนขับรถม้าเข้ามาดูเพลาเหล็กที่กลับเข้าไปอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอีกครั้งก็หันไปบอกว่า “มันใช้ได้แล้ว เร็วมาช่วยกันใส่เข้าไปจะได้ออกเดินทางกันสักที”
หลังจากนั้นทุกคนก็ช่วยกันใส่เพลาเหล็กกลับเข้าที่ของมันที่ควรจะเป็นและขบวนก็ออกเดินทางกันอีกครั้ง โดยที่ไม่แม้แต่จะเตรียมและกินอาหารเช้ากินกัน
ดังนั้นนั่นจึงทำให้ชายหนุ่มทุกคนที่อยู่ในขบวนกินอาหารแห้งกันแทน
ขณะเดียวกันรถม้าลากคันสุดท้ายที่เต็มไปด้วยโจรเจ็ดแปดคนนั่งอัดกันแน่นโดนมัดมือมัดเท้าเชือกอุดปากกระดิกไม่ได้แม้แต่เซนเดียว โดยมีทหารสองนายนั่งคุมเชิงอยู่
ส่วนกายและฮาเกนได้ไปรวมกันที่รถม้าคันที่สี่ แม้ในรถม้าคนจะเยอะแต่ทุกคนกลับนั่งอยู่ห่างจากกายและฮาเกนพอสมควร อาจจะเป็นเพราะพวกเขากลัวความสามารถที่กายแสดงออกมา หรือไม่ก็เรื่องที่กายและฮาเกนไม่ถูกกับวิลเลียม แต่ทั้ง
เขาหยิบถุงน้ำที่ฮาเกนส่งมาให้จากนั้นก็ดื่มมันไปพอประมาณและเทใส่ศีรษะของตัวเอง
“ค่อยยังชั่ว” เขานวดขมับทั้งสองขณะที่ส่งน้ำคืนให้กับฮาเกน
“เจ้าเป็นช่างโลหะและยังฝึกศิลปะการต่อสู้อีก เจ้าปิดบังได้ดีมาก แต่ก็ดี ฮ่า ๆ ๆ เพราะตอนนี้ข้าเป็นเพื่อนกับช่างโลหะแล้ว ฮ่า ๆ ๆ”
“แน่นอน”
หลังจากนั้นตลอดการเดินทางเขาก็นั่งพักผ่อน
จนเวลาบ่ายกว่าขบวนรถม้าของพวกเขาก็มาถึงนครดาราฟ้า เขามองดูกำแพงสูงหลายสิบเมตร ด้านมีทหารยามยืนประจำการอยู่ ที่ประตูใหญ่มีผู้คนสัญจรไปมาอยู่ตลอดเวลานับพัน ๆ คน
รอบกำแพงยังมีบ้านและสิ่งปลูกสร้างอีกจำนวนมากสุดที่จะคณานับได้
แต่ก่อนที่ขบวนของพวกเขาจะไปถึงประตูเมืองก็เลี้ยวไปอีกเส้นทางหนึ่ง ตรงไปที่ค่ายกองทัพรักษานคร ข้าง ๆ นครดาราฟ้า หลังจากนั้นทุกคนก็ถูกพามาที่จุดลงทะเบียนทหารเพื่อเข้ารับการรายงานตัวอีกครั้ง
ยกเว้นก็แต่วิลเลียม ลูคัสและหญิงสาวจากตระกูลเจ้าพนักงานที่ตอนนี้เขายังไม่รู้ชื่อของเธอ ส่วนโจรก็ถูกจับไปเขาห้องขังตามระเบียบ
เขาไปพร้อมกับชายหนุ่มคนอื่น ๆ ทำให้ตอนนี้พวกเขามีสถานะทหารฝึกหัดของกองทัพรักษานครแล้ว
ขณะเดียวกันบาเรนก็ไป ไปรายงานกับหัวหน้ากองพลของตัวเองในเรื่องโจรที่จับมาและคนที่เสียชีวิตสองสามคน